หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 53 วันที่ 31 กรกฏาคม 2561

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 53 วันที่ 31 กรกฏาคม 2561
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 53 วันที่ 31 กรกฏาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 53
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2561


ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา อันนี้เป็นการย้ำเป็นการเตือน เป็นการชี้แนะวิธีการแนวทางให้เรารู้จักลักษณะของการเจริญสติ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องประนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ ให้หายใจเป็นธรรมชาติที่สุด


การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อของร่างกาย สัมผัสความรู้สึกรับรู้ของลมที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้สึกรับรู้นั่นแหละเขาเรียกว่า สติรู้กาย หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เขาเรียกว่า ปัจจุบัน ขณะลมหายใจเข้า เวลาหายใจออก ลมกระทบปลายจมูก เขาก็เรียกว่า ปัจจุบันธรรม หายใจเข้าหายใจออกเขาเรียกว่า ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ถ้าเรารู้ให้ได้จาก 1 นาที 2 นาที 3 นาที ขึ้นไป เป็นห้า เป็นสิบ เขาเรียกว่า สัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม


ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม การเกิดของความคิดของขันธ์ห้านั้นมีอยู่เดิม ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เราก็จะมองเห็นว่าตั้งแต่ผ่านมาความรู้ตัวตรงนี้ หรือว่าสติตัวนี้ อาจจะมีบ้างเป็นบางครั้งบางคราวไม่ต่อเนื่อง ความสืบต่อความต่อเนื่องเอาไปใช้ ใช้การใช้งาน รู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้ความปกติ เวลาใจจะเกิดปรุงแต่งส่งไปภายนอก อาการของใจจะเริ่มเกิด ความรู้ตัวก็จะรู้ทัน เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ ความสงบของใจก็เกิดขึ้น บางทีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ตัวนี้แหละสำคัญ ผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมเขาเรียกว่า เข้าไปเสวย


ถ้าเรามีสติรู้ตัวทุกขณะลมหายใจเข้าออก เราก็จะเห็นความเกิด ความเคลื่อนเข้าไปรวม รู้ทันขณะใจเข้าไปรวม ใจก็จะดีดออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ใจก็จะหงาย ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวหรือว่าสติของเราที่เข้าไปเห็นนี่แหละ ตามเห็นการเกิดการดับของความคิด เขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า บางทีก็เป็นเรื่องอดีต บางทีก็เป็นเรื่องอนาคต บางทีก็เป็นกลางๆ เรื่องอดีตเขาก็เรียกว่า กองของสัญญา เป็นเรื่องอดีต ความมั่นหมาย ความระลึกรู้ ด้วยสติด้วยปัญญา ตามดูเห็นการเกิดการดับ ใจก็ว่างรับรู้อยู่ เราก็จะเข้าใจเห็นอนิจจัง คือความไม่เที่ยง


อนิจจังในหลักธรรม คือความไม่เที่ยง ความไม่ได้ตั้งอยู่นาน ความเปลี่ยนแปลง อนิจจัง ทุกขัง มันเป็นทุกข์ เวลามันดับไปแล้วมันก็หายไป เรื่องใหม่ก็เข้ามา เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมาไม่รู้กี่เดือนกี่ปี กี่ภพกี่ชาติแล้ว พวกเราขาดการวิเคราะห์ก็เลย ใจก็เลยไปหลงไปรวมทำให้เกิดอัตตาตัวตน ส่วนร่างกายของเรานี่ก็เป็นส่วนของกองรูป เราต้องพยายามดูกองนาม รู้กองนาม คือความคิด ตัววิญญาณเป็นแค่เพียงอาการ เป็นแค่เพียงนามธรรม ไม่มีตัวไม่มีตน แต่เรารู้ด้วยการเจริญสติ รู้ด้วยการสังเกต รู้ด้วยการวิเคราะห์


ท่านถึงบอกให้วิเคราะห์จำแนกแจกแจงออกเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณ กองสังขาร กองรูป กองนาม กองอดีต กองอนาคต มันเห็นที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เราต้องจำแนกแจกแจงดูให้ได้ เราก็จะเห็น ใจเกิดกิเลสเราก็พยายามละกิเลส กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงมลทิน นิวรณธรรมต่างๆ มีอยู่ในใจของเราหมดเลย


ใจเดิม ใจตัวเดิม ใจแท้ ใจตัวเดิมนั้นบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้ ความหลง ทำให้ใจเกิดเป็นทาสของกิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด สารพัดอย่าง หมักหมมจนเป็นสันดอนสันดาน ขัดเกลาเอาออกยาก เราต้องมาพยายามขัดเกลาเอาออกด้วยการเจริญสติ การเจริญภาวนา สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น เรามีความเกียจคร้าน ละความเกียจคร้าน เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น ละความตระหนี่เหนียวแน่น เรามีความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยทาน อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่สอนเรา เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา ไม่มีใครจะทำให้เราได้หรอกนอกจากตัวของเรา รู้จักวิธีการรู้จักแนวทางแล้วก็ทำ


คำว่า ปัจจุบันธรรม เป็นลักษณะอย่างนี้ ทวารทั้งหก หู ตา จมูก ลิ้น กาย ทำหน้าที่อย่างนี้ ตาก็มีหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูก็มีหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ เราไปห้ามใจของเรา ตากระทบรูปสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง ใจเกิดความยินดีหรือไม่ ถ้าเกิดความยินดีดึงเข้ามาไหม ต้องการไหม ผลักไสหรือไม่ หรือว่าเป็นกลางๆ เราก็ต้องดูขัดเกลากิเลสออกไปเรื่อยๆ มีศรัทธาน้อมใจน้อมกายเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ความเชื่อมั่นเขาเรียกว่า ศรัทธา เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ อย่าเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าแบบโลกๆ เข้ามาโต้แย้ง อย่าเอามานึกคิด อย่าเพิ่งไปนึกไปคิด เจริญสติเข้าไปดูรู้ความคิดตัวเก่าให้ทัน รู้ความเกิดของจิตวิญญาณ รู้ความเกิดของขันธ์ห้าให้ได้ ทีนี้จะคิด จะพิจารณาเป็นเรื่องของปัญญา


แต่เวลานี้กำลังสติมีไม่เพียงพอ ทั้งมีไม่เพียงพอด้วย ทั้งไม่มีกำลังด้วย มีตั้งแต่ศรัทธา แต่ขาดการรู้การเห็น การแยกการคลาย การตามทำความเข้าใจ และการละ ปัญญา วิปัสสนา การละกิเลส มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันก็ได้แค่บุญ ได้ทำบุญ บุญสมมติ แต่บุญวิมุตติใจมันไหลเกิดอยู่ตลอดเวลา ใจไหลเกิดทั้งๆ ความเกิดทั้งรวมกับขันธ์ห้า ทั้งรวมกับสติปัญญาเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นวงกลมหมุนไปอยู่อย่างนั้น เขาเรียกว่า วัฏจักร หมุนไปอย่างนั้น ถ้าเราเจริญสติเข้าไปแยกได้เหมือนกับตัดวงกลมออก ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจให้รู้ความจริง แล้วก็ละอีก มันก็รวมเข้าไปสู่สภาพเดิม


ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราต้องแก้ไขปรับปรุงจนยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ภายในให้ถึงจุดหมายปลายทาง จนไม่มีอะไรที่จะเข้าไปละ จนไม่มีอะไรที่จะต้องเข้าไปแก้ไข มีแต่ดูกับรู้ ทำความเข้าใจจนกว่าจะหมดลมหายใจ เราก็รักษาประคับประคองธาตุขันธ์ไป หมดลมหายใจ ใจของเราก็จะไม่ต้องกลับมาเกิด เพราะว่าเราดับความเกิดได้ ดับขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่


การพูดง่าย การได้ปฏิบัติเนี่ยมันยาก ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความขยันหมั่นเพียร ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย ความเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว ความเกิดแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ ความเกิดนั่นแหละเป็นกิเลสที่ละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาเกิดมาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเราแล้วก็ เราก็ไปดับแยกแยะขันธ์ห้า ทำความเข้าใจขันธ์ห้า ละขันธ์ห้า แล้วไปดับความเกิดตัววิญญาณซึ่งอาศัยในกายของเราอีก ไปละกิเลสให้หมดจด เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินอยู่ เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติทำงานไปด้วย มีความสุขไปด้วย รับรู้ไปด้วย สติปัญญาอบรมใจของเราไปด้วย อย่าไปเที่ยวให้คนนู้นคนนี้เขาสอน จงเจริญสติเข้าไปสอนใจของเรา


รู้จักวิธีการแนวทางแล้วก็พยายามรีบแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา จะประพฤติวัตรปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะคลายความหลง ก็เพื่อที่จะละกิเลสออกจากใจของเรา ไม่ใช่ว่าปฏิบัติเพื่อเคร่ง เก่ง เพื่อทิฏฐิมานะ เราละออกให้มันหมดจนไม่เหลืออะไร จนเหลือตั้งแต่ธรรมชาติธรรมชาติของสมมติ ธรรมชาติของวิมุตติ จนกว่าธาตุขันธ์ของเราจะแตกดับนั่นแหละถึงจะได้วางสมมติก้อนนี้จริงๆ ก็ต้องพยายามกันนะ อานิสงส์บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม ทั้งวิมุตติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม


วันนี้เอาเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง