หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 52 วันที่ 29 กรกฏาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 52 วันที่ 29 กรกฏาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 52
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องประนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ หายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น สัมผัสความรู้สึกรับรู้ที่ลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกนั่นแหละ มีความรู้สึกรับรู้อยู่เขาเรียกว่า สติรู้กาย ถ้าหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เหมือนกับนายประตูทวารคอยดูอยู่ที่หน้าประตู รถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้ รถคันไหนวิ่งออกก็รู้ ไม่ต้องตามถึงในท้อง เรารู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราก็พอ ความรู้สึกไม่ชัดเจนเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกด้วยการหายใจเข้าไปยาวๆ
เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกพวกเราก็ศึกษาให้ละเอียด ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเพราะว่าหายใจก็หายใจอยู่แล้ว ถ้าไม่ค่อยจะสนใจกันก็เลยไม่รู้ลักษณะคำว่า สติรู้ตัว เป็นอย่างไร ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องจากหนึ่งครั้งสองครั้งสามครั้ง เป็นนาที 2 นาที เป็น 4 นาที 5 นาที เป็น 10 นาที จนต่อเนื่องกันเป็นครึ่งชั่วโมงเป็นชั่วโมง ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องนี่แหละเขาเรียกว่า สติสัมปชัญญะ
ถ้าความรู้ตัวตรงนี้ไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่าง ความคิดเก่าปัญญาเก่านั้นเขาเรียก ปัญญาโลกีย์ ปัญญาโลกียะ ปัญญาดูแลรักษาเราอยู่ในระดับของโลกีย์ คำสอนของพระพุทธองค์นั้นต้องสูงขึ้นไปอีก ต้องเจริญสติเข้าไปรู้ เข้าไปเห็น เห็นลักษณะอาการของใจ การเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปร่วมได้อย่างไร ตรงนี้มีกันทุกคน บางทีก็มีมากบางทีก็มีน้อย แต่ละวันเนี่ยความคิดเกิดขึ้นมาไม่รู้ว่าเรื่องอะไร สารพัดเรื่อง เราพยายามเจริญสติเข้าไปให้รู้ รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมาซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม อันนี้เพียงเริ่มต้นของความเห็นถูก
ในหลักธรรมท่านว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกแล้วก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเห็นการเกิด การดับ การตั้งอยู่ดับไป ซึ่งเรียกว่า ความไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในส่วนนามธรรม ในส่วนของความคิด ใจของเราไปหลงตรงนั้นใจก็เลยหนัก กายก็เลยหนัก ถ้าใจคลายออกได้ใจก็เลยเบา กายก็เลยเบา ใจจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ใจจะเข้าไปร่วมเขาเรียกว่า เข้าไปเสวย เราก็รู้จักดับ รู้จักอบรม ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ให้ใจรับรู้ เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ เราต้องมาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผลจนใจมองเห็นความเป็นจริงใจ เขาจะปล่อยจะวาง
ใจเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ใจเกิดความโลภเราก็ละความโลภ เกิดความเกียจคร้านเราก็สร้างความขยันหมั่นเพียร เราก็สร้างความรับผิดชอบ สร้างพรหมวิหาร ความเมตตา ทำให้ใจของเราอ่อนโยน หนักแน่นไม่หวั่นไหวในสิ่งต่างๆ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ทำความเข้าใจกับคำว่า ศีล ศีลสมมติ ศีลวิมุตติ ความปกติ ปกติอยู่ในระดับไหน ระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ กิเลสเกิดขึ้นกับใจของเรา กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ลงไปเรื่อยๆ จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์
ถ้าเราไม่ฝักใฝ่ ไม่สนใจ ไม่วิเคราะห์ ไม่แก้ไขตัวเราแล้วก็ยากที่จะคนอื่นจะมาทำให้ ส่วนแนวทาง วิธีการแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งนาน ถ้าเราปฏิบัติตามคำสอนของท่านก็จะเข้าถึงความเป็นจริง มองเห็นความเป็นจริง ทะลุปรุโปร่งในหนทางเดิน เราก็ต้องพยายามกันนะ
แม้แต่การทำบุญการให้ทานเราก็อย่าไปทิ้ง ความหมายของการให้ทานหมายถึงอะไร หมายถึงเพื่อกำจัดความตระหนี่เหนียวแน่น เพื่อละกิเลส ละความยึดมั่นถือมั่น การอโหสิกรรม ให้อภัยทาน มีสัจจะ มีความจริงใจต่อตัวของตัวเรา เราก็พยายามหมั่นแก้ไขอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องประนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ หายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น สัมผัสความรู้สึกรับรู้ที่ลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกนั่นแหละ มีความรู้สึกรับรู้อยู่เขาเรียกว่า สติรู้กาย ถ้าหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เหมือนกับนายประตูทวารคอยดูอยู่ที่หน้าประตู รถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้ รถคันไหนวิ่งออกก็รู้ ไม่ต้องตามถึงในท้อง เรารู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราก็พอ ความรู้สึกไม่ชัดเจนเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกด้วยการหายใจเข้าไปยาวๆ
เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกพวกเราก็ศึกษาให้ละเอียด ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเพราะว่าหายใจก็หายใจอยู่แล้ว ถ้าไม่ค่อยจะสนใจกันก็เลยไม่รู้ลักษณะคำว่า สติรู้ตัว เป็นอย่างไร ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องจากหนึ่งครั้งสองครั้งสามครั้ง เป็นนาที 2 นาที เป็น 4 นาที 5 นาที เป็น 10 นาที จนต่อเนื่องกันเป็นครึ่งชั่วโมงเป็นชั่วโมง ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องนี่แหละเขาเรียกว่า สติสัมปชัญญะ
ถ้าความรู้ตัวตรงนี้ไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่าง ความคิดเก่าปัญญาเก่านั้นเขาเรียก ปัญญาโลกีย์ ปัญญาโลกียะ ปัญญาดูแลรักษาเราอยู่ในระดับของโลกีย์ คำสอนของพระพุทธองค์นั้นต้องสูงขึ้นไปอีก ต้องเจริญสติเข้าไปรู้ เข้าไปเห็น เห็นลักษณะอาการของใจ การเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปร่วมได้อย่างไร ตรงนี้มีกันทุกคน บางทีก็มีมากบางทีก็มีน้อย แต่ละวันเนี่ยความคิดเกิดขึ้นมาไม่รู้ว่าเรื่องอะไร สารพัดเรื่อง เราพยายามเจริญสติเข้าไปให้รู้ รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมาซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม อันนี้เพียงเริ่มต้นของความเห็นถูก
ในหลักธรรมท่านว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกแล้วก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเห็นการเกิด การดับ การตั้งอยู่ดับไป ซึ่งเรียกว่า ความไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในส่วนนามธรรม ในส่วนของความคิด ใจของเราไปหลงตรงนั้นใจก็เลยหนัก กายก็เลยหนัก ถ้าใจคลายออกได้ใจก็เลยเบา กายก็เลยเบา ใจจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ใจจะเข้าไปร่วมเขาเรียกว่า เข้าไปเสวย เราก็รู้จักดับ รู้จักอบรม ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ให้ใจรับรู้ เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ เราต้องมาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผลจนใจมองเห็นความเป็นจริงใจ เขาจะปล่อยจะวาง
ใจเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ใจเกิดความโลภเราก็ละความโลภ เกิดความเกียจคร้านเราก็สร้างความขยันหมั่นเพียร เราก็สร้างความรับผิดชอบ สร้างพรหมวิหาร ความเมตตา ทำให้ใจของเราอ่อนโยน หนักแน่นไม่หวั่นไหวในสิ่งต่างๆ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ทำความเข้าใจกับคำว่า ศีล ศีลสมมติ ศีลวิมุตติ ความปกติ ปกติอยู่ในระดับไหน ระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ กิเลสเกิดขึ้นกับใจของเรา กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ลงไปเรื่อยๆ จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์
ถ้าเราไม่ฝักใฝ่ ไม่สนใจ ไม่วิเคราะห์ ไม่แก้ไขตัวเราแล้วก็ยากที่จะคนอื่นจะมาทำให้ ส่วนแนวทาง วิธีการแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งนาน ถ้าเราปฏิบัติตามคำสอนของท่านก็จะเข้าถึงความเป็นจริง มองเห็นความเป็นจริง ทะลุปรุโปร่งในหนทางเดิน เราก็ต้องพยายามกันนะ
แม้แต่การทำบุญการให้ทานเราก็อย่าไปทิ้ง ความหมายของการให้ทานหมายถึงอะไร หมายถึงเพื่อกำจัดความตระหนี่เหนียวแน่น เพื่อละกิเลส ละความยึดมั่นถือมั่น การอโหสิกรรม ให้อภัยทาน มีสัจจะ มีความจริงใจต่อตัวของตัวเรา เราก็พยายามหมั่นแก้ไขอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ