หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 91

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 91
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 91
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 91
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 23 สิงหาคม 2562

มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันพระ ญาติโยมก็สมาทานศีลกันเสียก่อน อากาศฝนฟ้าก็เพิ่งจะเริ่มตกโปรยๆ ลงมาอากาศก็ตกมาไม่แรง แล้งก็เยอะปีนี้ต้องแล้งเยอะ พระเราชีเราก็พยายามไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนความสะอาดเนี่ยต้องสำคัญ เศษขยะก็เหมือนกัน พยายามช่วยกันเก็บ นักท่องเที่ยวมาเยอะ คนมาเที่ยววัดเยอะก็ทิ้งขยะกันเกลื่อน เราพยายามเห็นเราก็พยายามช่วยกันเก็บดูแลรักษาทำให้เห็นเป็นตัวอย่างเก็บไปลงถังแยกขยะ ถ้าเราไม่ช่วยกันไม่ช่วยกันดูแล คนทิ้งคนละเล็กละน้อยก็มากขึ้นๆ เอาไปเอามาก็หมักหมมสะสมหมักดองในสันดาน

ความรับผิดชอบต่อตัวเองต่อตัวเราไม่มี แล้วก็จะให้ไปรับผิดชอบต่อส่วนรวมก็ยาก เราก็ต้องช่วยกันไม่ว่าอยู่ที่ไหน อย่าไปปล่อยปละละเลยเดินไปที่ไหนเจอสิ่งไม่ดีเราก็ช่วยกันแก้ไข เจอขวดแตกเจอเหล็กเจออะไรต่างๆ คนจะไปเหยียบไปย่ำทำให้อันตราย เราก็เก็บ เศษขยะเราก็เก็บ เก็บที่โน้นที่นี่ เดี๋ยวก็ค่อยสะอาด เรื่องขยะนี่เป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองเลยทีเดียวของโลกเลยทีเดียว ถ้าคนไม่รู้จักไปมองข้าม

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าคนเรารักเป็นระเบียบจากภายในก็ส่งผลถึงภายนอก เป็นคนมีความเป็นระเบียบ ระเบียบทั้งภายนอกระเบียบทั้งภายใน แก้ไขจิตใจของเราให้มีความสงบให้มีสุขขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป

ถ้าเราทำความเข้าใจรู้ความเป็นจริงก็ ละทั้งบุญ ละทั้งบาป สร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ ยกระดับใจของเราให้อยู่เหนือบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ ประโยชน์มากประโยชน์น้อยประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกนี้ฝากเอาไว้เป็นเสบียงเครื่องเดินทางในโลกหน้าวันนี้มีพรุ่งนี้มี ภพนี้มีภพหน้ามี

ขณะนี้เราอยู่ในภพของมนุษย์ ใจของเรามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มนุษย์นี้เป็นโอกาสที่ดีได้ศึกษาเล่าเรียนทำความเข้าใจมีสติปัญญาพอที่จะบรรลุถึงเป้าหมายคือความหลุดพ้น อันอื่นนั้นเขาก็อยู่ในวิบากของกรรม บางทีก็กรรมดีก็หลงไป บางทีก็กรรมไม่ดีก็ลำบากยากที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ให้เรารีบแก้ไขเสียขณะที่ยังมีลมหายใจ รีบตักตวงสร้างกำไรในกายก้อนนี้ให้ได้มันไม่สาย

ตื่นขึ้นมาเราก็อบรมใจของเรา ตั้งแต่ความเกิด-ความคิด ความคิดนู้นตั้งแต่การเกิด-ความคิดใจเกิดอย่างไรปรุงแต่งส่งออกไปอย่างไร ถ้าเป็นอกุศลเราก็ดับ ทั้งกุศลทั้งอกุศลเราก็ดับไม่ให้เกิดเลยทีเดียว หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทนไปทำหน้าที่แทน ถ้าสติปัญญาของเราเป็นอกุศลเราก็ไม่ให้เกิดอีก มันหลายชั้น ใจของเราหลงมาหลายชั้น ไม่ใช่หลงมาแค่นิดๆ หน่อยๆ เราก็ว่าเราไม่หลงหรอก

ตราบใดที่แม้แต่การเจริญสติ ถ้าเราสร้างความรู้ตัวไม่ต่อเนื่องเราก็ว่าเรามีสติ มีปัญญา ก็มีอยู่แต่เป็นสติปัญญาของโลกีย์ของสมมติ เอาไปใช้จนเป็นทาสของกิเลส

กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร กิเลสเกิดขึ้นที่กาย เกิดขึ้นที่ใจเยอะแยะ ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปเข้าไปศึกษาอบรมจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ คนที่จะรู้ความเป็นจริงก็ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศเลยทีเดียว มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอดทน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความแข็งแรงไม่แข็งกระด้าง พยายามอบรมใจของตัวเราแก้ไขใจของเรา เรามีความเกียจคร้านละความเกียจคร้านสร้างความขยัน เราไม่มีความรับผิดชอบสร้างความรับผิดชอบ เราทำความเข้าใจภาษาโลกภาษาธรรมให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลามีตั้งแต่เรื่องของเรา ทำหน้าที่ของเราให้จบ เจริญสติเป็นเพื่อนใจอบรมใจมีความสุขอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรม

ตั้งแต่ตื่นขึ้นเราเกียจคร้าน เราก็ละความเกียจคร้าน เราก็ได้แล้ว จิตใจของเรามีความสงบมีความสุข จิตใจของเราก็เป็นสมาธิ เราก็ได้แล้ว ที่นี่ใจของเราเกิดกิเลส เราก็ละกิเลสให้เบาบางลงไป ใจก็จะถึงความสะอาดบริสุทธิ์ได้สักวันหนึ่ง เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ เราก็ได้ ถ้าการละการทำความเข้าใจของเรามี

ต่อไปก็ให้คุณหมอพาสมาทานศีลไหว้พระกันเสียก่อน

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ อดทนนั่งต่อไปสักนิดหนึ่งกับทุกขเวทนาทางด้านร่างกาย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว

การสูดลมหายใจยาวผ่อนลมหายใจยาวความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากใจก็จะหยุด ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกก็จะชัดเจน กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกก็จะชัดเจนนั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่

ความสืบต่อความต่อเนื่องทั้งหายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าหายใจออกได้สักนาที 2 นาทีเพิ่มเป็น 5 นาที 10 นาทีเพิ่มเป็นชั่วโมงเพิ่มเป็นวัน เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม

เพียงแค่การเจริญ การสร้าง การทำให้มีให้เกิดขึ้น ตรงนี้ก็ยังลำบากอยู่ ทั้งที่ใจของทุกคนนั้นก็ปรารถนาอยากจะได้บุญอยากทำบุญ อยากสร้างประโยชน์ อยากสร้างอานิสงส์ ความอยากความเกิดอันนั้นแหละคือความหลง

ในหลักธรรมท่านให้ละ ทั้งอยาก ทั้งไม่อยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก แล้วก็ให้ตั้งสติ สร้างความรู้ตัว ให้รู้เท่ารู้ทัน ใหม่ๆ ก็ให้มีสติให้ได้เสียก่อน ให้รู้เท่ารู้ทัน

ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม ความคิดเก่าที่เกิดจากปัญญาเก่า เกิดจากตัวใจหรือว่าอาการของขันธ์ห้าซึ่งเป็นความคิดของโลกียะซึ่งใจยังหลงอยู่ ใจยังเข้าไปหลงเข้าไปยึด ยึดมั่นถือมั่น แต่เราก็ไม่รู้ว่าเรายึดหรอกเพราะว่าใจยังไม่ได้คลาย ยังไม่ได้แยก

ถ้าเจริญสติให้ต่อเนื่องได้เมื่อไหร่เราก็จะรู้ว่าช่วงที่ผ่านมานั้น เรามีสติอยู่เป็นแค่เพียงสติดูแลในระดับของสมมติไม่ใช่เป็นสติปัญญาที่จะเข้าไปสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ไม่ใช่สติปัญญาที่จะไปทำความเข้าใจชี้เหตุชี้ผล

เราจงมาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ เดินตามทางอริยมรรค อริยมรรคคือทางอันประเสริฐ ด้วยใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าให้ได้ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นั่นแหละใจหงายขึ้นมาเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก เห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า เห็นความเกิด-ความดับของขันธ์ห้า เข้าใจคำว่า ‘อัตตา-อนัตตา’ เข้าใจ เห็นอนิจจัง เห็นลักษณะหน้าตาอาการของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของตัวเรา แล้วก็ให้ใจยอมรับความเป็นจริงว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่มีสาระประโยชน์อะไร เป็นแค่เพียงอาการ เป็นแค่เพียงมายา ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปยึดก็เลยกลายเป็นภพ ภพเป็นชาติ เดี๋ยวนี้อยู่ในภพของมนุษย์มีขันธ์ห้าซึ่งเป็นกองเป็นขันธ์มาห่อหุ้มเอาไว้ มีวิญญาณหรือว่าตัวใจมายึดครอง ขณะที่ยังอาศัยกายอยู่ ก็ยังคิดต่อ ส่งต่อ ไปยึดอันนั้นอันนี้ต่อ

เราต้องมาเจริญสติเข้าไปสะสาง เข้าไปอบรม เข้าไปชี้เหตุชี้ผล บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น เป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อตัวเรา ต่อสมมติ ต่อสังคม ต้องเป็นบุคคลที่ปรารถนาที่จะเข้าถึงความสงบความสุขความหลุดพ้นจริงๆ มีความขยันหมั่นเพียร หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา ให้ใจของเราเข้าสู่สภาวะเดิม คือความสะอาดความบริสุทธิ์ เพราะว่าใจดวงเดิม ใจดวงแท้ๆ จริงๆ นั่นเขาไม่มีกิเลส เขาว่าง เขาว่างเขามีความบริสุทธิ์ แต่เวลานี้เขาหลงมานานไม่รู้ว่าเท่าไหร่ หลงมาเท่าไหร่ หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอแล้วก็มาควบคุมได้เฉพาะอยู่ในกายของเรานี่แหละ

ท่านถึงบอกว่าให้รีบตักตวงสร้างกำไรขณะที่ร่างกายยังแข็งแรง ยังมีกำลัง ยังมีลมหายใจอยู่หมดลมหายใจแล้วก็มีตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องของกรรม เราจงมาทำความเข้าใจกับกรรมเสีย กรรมคือขันธ์ห้าซึ่งเป็นกรรมที่มาปรุงแต่งใจของเรา แล้วก็ใจของเราตัวกรรมปรุงแต่งต่อแล้วก็ไปยึดไปหลงต่อ

ทำความเข้าใจกับร่างกายก้อนนี้ให้ได้ อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม อะไรคือสมาธิ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจที่มีความสงบความสุขเป็นอย่างไร นี่ถ้าเรารู้ด้วยเห็นด้วย เข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย เราจะมีความสุข

กิเลสตัวไหนมาหลอกเราเราก็รู้ เราจะแพ้หรือจะชนะเราก็เริ่มต้นใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นใหม่พลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นใหม่จนความจริงปรากฏ ท่านถึงบอกให้เชื่อไม่ให้เชื่อแบบงมงาย พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีปัญญาไม่ใช่ว่าเป็นศาสนาที่ไม่มีปัญญา ปัญญา รู้ความจริง

จากความไม่มี ใจของเราก็มาหลง มาสร้างให้มี ให้เกิดปิดกั้นตัวเอง แล้วก็พยายามคลาย แล้วก็มาเจริญสติคลายออกจนเข้าไปสู่ความไม่มีอีก ความไม่มี จากความไม่มีแล้วก็สร้างความหนักแน่นความเต็มรอบให้ใจของเรา แล้วก็มีใหม่ มีด้วยเหตุด้วยผล มีด้วยสติ มีด้วยปัญญา เพื่อยังสมมติของเราไม่ให้ลำบาก

ในขณะที่เรายังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจก็วางหมดอีก ให้เราวางหมดขณะที่ยังมีกำลังกายอยู่นี่แหละ วางความยึดมั่นถือมั่น จะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญาเข้าไปบริหาร เข้าไปทำหน้าที่แทนไม่ให้สมมติของเราลำบาก เพียงแค่สมมติเราก็พยายามรับผิดชอบ ขยันหมั่นเพียร ทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่กับสมมติเคารพสมมติ เราขาดตกบกพร่องตรงไหนเราก็รีบทำ

การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์ใจของเรา อบรมใจของเรา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น เป็นที่พึ่งของใจให้ได้ เป็นที่พึ่งของกายให้ได้ แล้วก็สมมติ แล้วก็ยังสมมติของเราให้เป็นที่พึ่งในระดับของสมมติ พึ่งหลายสิ่งหลายอย่างแต่ให้พึ่งด้วยปัญญา ไม่ให้เข้าไปหลงไปยึด

ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่ รู้ด้วย เห็นด้วย สักวันหนึ่งเราก็คงเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน เดินไม่ถึงวันนี้ ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็เดือนนี้เดือนหน้า ไม่ถึงจริงๆ ไปต่อเอาภพหน้า ตราบใดที่เรายังเจริญสติเจริญปัญญาก็ย่อมจะเข้าสู่ที่สูงตลอดจนกว่าจะไม่ได้กลับมาเกิดกัน

สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดสักหน่อยก็ยังดี ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง