
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 59
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 59
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 59
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตามหลักของความเป็นจริง เราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเข้มแข็ง รู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้เป็นเรื่องนี้ ความคิดผุดขึ้นมาใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียวกันเป็นลักษณะอย่างนี้
เราพยายามสร้างความรู้ตัว เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา เอาไปควบคุมใจอบรมใจจนรู้เท่ารู้ทัน รู้การแยกรู้การคลาย ตามเห็นความเกิดความดับ ทำความเข้าใจกับภาษาโลกภาษาธรรมอัตตาอนัตตา สมมติวิมุตติ ลักษณะของการเจริญสติ คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ แล้วก็แก้ไขใจของเรา
แต่ละวันๆ ใจของเรามีความแข็งแกร่งแข็งกระด้าง ก็ละความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ ใจของเรามีความเสียสละมีความเห็นแก่ตัวเราก็พยายามหมั่นสำรวจ แล้วก็ค่อยแก้ไขอบรมใจของเรา จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า อันนี้เพียงแค่ความเห็นถูก หรือว่าสัมมาทิฏฐิเปิดทางในระดับของปัญญา จนสติปัญญาตามดูให้ใจรับรู้ ไม่ให้ใจเข้าไปร่วม ทุกเรื่องๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ
บุคคลมีบุญมีอานิสงส์มีสติปัญญาฟังนิดเดียวไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้น การเจริญสติเป็นอย่างนี้การก้าวการเดินความรู้สึกของการเดินเป็นอย่างนี้ ตากระทบรูปใจเป็นอย่างนี้ หูกระทบเสียงใจเป็นอย่างนี้ ทำโน่นทำนี่ใจปกติ เราทำด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล เพื่อยังประโยชน์ของสมมติไม่ให้ได้ผ่านเวลาไป ประโยชน์ของสมมติเราก็พลอยได้อานิสงส์สมมตินั้นด้วย
ไล่เข้ามาใกล้ๆ สมมติอยู่ที่กายของเรา คือร่างกายของเราเป็นก้อนสมมติ แล้วก็เห็นส่วนนามธรรม เห็นลักษณะหน้าตาอาการ ใจเกิดกิเลส ทำไมใจถึงเกิดกิเลส ทำไมใจถึงมีตั้งแต่ความอยาก มีตั้งแต่กิเลสเข้ามาบงการ เราก็พยายามหมั่นจำแนกแจกแจง เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็คอยละคอยอบรมใจของเราทีละเล็กละน้อย
ภาษาธรรมท่านว่าอย่างนี้ ภาษาโลกท่านว่าอย่างนี้ ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจว่างรับรู้อยู่จะคิดเรื่องอะไรก็เป็นปัญญาธรรมหมดถ้าใจไม่เกิด ถ้าใจเกิดเราจะพิจารณาในธรรม หรือพิจารณาในบุญในกุศล ใจก็ยังเกิดอยู่ ใจก็ยังหลงอยู่ก็เป็นปัญญาของโลกีย์ ก็ต้องพยายามจำแนกให้ชัดเจน ส่วนมากพวกเราก็เหมารวมกันทั้งใจทั้งปัญญาทั้งขันธ์ห้ารวมกันไป คิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น
หลวงพ่อก็ไม่พูดเรื่องอื่น พูดตั้งแต่เรื่องที่จะให้เขาถึงตัวใจตรงนี้แหละ ส่วนบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนสร้างกันมาดี การทำบุญ การให้ทาน ผ่านกาลผ่านเวลา มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละอยู่ในระดับของสมมติอยู่ในระดับหนึ่ง แต่บุคคลที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางต้องเป็นคนที่ขยัน ขยันหมั่นเพียร รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ขณะนี้สภาวะใจของเราเป็นอย่างไร เราก็รีบตรวจ รีบตรวจดูว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ประโยชน์ทางด้านรูปธรรมประโยชน์ทางด้านนามธรรม ทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน่นฉันจะเข้าใจในธรรมไปอยู่ที่นี่ฉันจะเห็นธรรม..มันไม่ใช่
นอกจากตัวของเราเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ทำความเข้าใจกายวิเวก กายวิเวกจากภาระหน้าที่การงาน กายวิเวกจากพันธะภาระสมมติต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว กายวิเวก วิเวกจากสถานที่อันนี้เพียงแค่สมมติ ทีนี้ลึกลงไปถึงใจ ใจของเรายังเกิด เราก็ทั้งหลง เราก็มาคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนาม แล้วก็มาดับความเกิดของใจ แล้วก็มาละกิเลสที่ใจ กิเลสตัวไหนเราละได้เราก็รู้ ตัวไหนเราละยังไม่ได้เราก็พยายามละต่อไป ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ เจริญพรหมวิหารไปเรื่อยๆ ตัวกาลเวลาก็จะทำให้ใจของเราเบาบางจากกิเลส จนกว่าจะอบรมใจ จนใจอยู่ในโอวาทของปัญญาของเราได้นั่นแหละ
เขารู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เขารู้ว่าการหลงขันธ์ห้า มันเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา ก็ปล่อยวาง เขารู้ว่ากิเลสไม่ดีเขาก็ละออก ค่อยละออก ละด้วยปัญญา ดูรู้เห็นด้วยปัญญา ใจสะอาดบริสุทธิ์ด้วยปัญญา ยืนเดินนั่งนอนก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ อยู่ที่ไหนกิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราก็จัดการได้ ตั้งแต่ตื่นขึ้น
แต่เวลานี้ความรู้ตัว หรือว่ากำลังสติของเรานี่มีนิดหน่อย เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ จะเอาไปควบคุมใจก็ได้เป็นบางครั้งเป็นบางเรื่อง เอาไปควบคุมใจบังคับใจให้อยู่อันนี้ก็ได้เป็นบางเรื่องบางครั้ง ต้องทุกอย่าง ต้องคลายออกจากขันธ์ห้า ละกิเลสแล้วก็ดับความเกิด
รู้ให้ชัดเจนว่า อันนี้ส่วนปัญญานะ อันนี้ส่วนใจนะ อันนี้อาการของขันธ์ห้าเป็นเรื่องอะไรกองไหนแต่ละวันตื่นขึ้นมา กิเลสตัวไหนมาเล่นงานเรา กิเลสภายใน หรือว่ากิเลสภายนอก เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดจากภายใน เราแก้ไขได้ในระดับไหน ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุเราก็แก้ ถ้าแก้ไขไม่ได้เราทำอย่างไร เราก็ไปแก้ไขสมมติภายนอกด้วย ดับข้างในด้วย
กิเลสต้นเหตุ เขาเกิดขึ้นที่ตรงไหน เกิดขึ้นที่ใจปรุงแต่งเริ่มต้น หรือว่าเกิดขึ้นที่กาย ใจปรุงแต่งร่วม หรือว่าเหตุจากภายนอกทำให้เกิด กายทวารทำหน้าที่อย่างไร การแยกรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ออกจากใจเป็นลักษณะอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็ล้วนแต่เป็นอาจารย์คอยสอบอารมณ์ มีสติเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเครื่องทดสอบ ทั้งดีทั้งไม่ดี ทั้งกุศลทั้งอกุศล อะไรควรละอะไรควรเจริญ ก็ต้องพยายามดำเนินกัน
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่เล่นสนุกสนานเสียดายกาลเสียดายเวลา เสียดายทรัพย์ภายในที่จะควรได้ กลับปล่อยปละละเลย มันจะเป็นทรัพย์ที่ติดตัวของพวกเราไปข้ามภพข้ามชาติ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาป
ท่านให้ละบาป สร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ สูงขึ้นไปก็สร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาป สนุกอยู่กับบุญ ยังประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ฝากเอาไว้ให้กับส่วนรวมให้กับส่วนกลาง มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนคิดดีทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม มันถึงจะเกิดประโยชน์ ถึงวาระเวลา เราก็ได้วางหมด เราต้องวางด้วยปัญญาก่อนที่จะหมดลมหายใจ แล้วก็บริหารด้วยปัญญาจนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตามหลักของความเป็นจริง เราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเข้มแข็ง รู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้เป็นเรื่องนี้ ความคิดผุดขึ้นมาใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียวกันเป็นลักษณะอย่างนี้
เราพยายามสร้างความรู้ตัว เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา เอาไปควบคุมใจอบรมใจจนรู้เท่ารู้ทัน รู้การแยกรู้การคลาย ตามเห็นความเกิดความดับ ทำความเข้าใจกับภาษาโลกภาษาธรรมอัตตาอนัตตา สมมติวิมุตติ ลักษณะของการเจริญสติ คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ แล้วก็แก้ไขใจของเรา
แต่ละวันๆ ใจของเรามีความแข็งแกร่งแข็งกระด้าง ก็ละความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ ใจของเรามีความเสียสละมีความเห็นแก่ตัวเราก็พยายามหมั่นสำรวจ แล้วก็ค่อยแก้ไขอบรมใจของเรา จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า อันนี้เพียงแค่ความเห็นถูก หรือว่าสัมมาทิฏฐิเปิดทางในระดับของปัญญา จนสติปัญญาตามดูให้ใจรับรู้ ไม่ให้ใจเข้าไปร่วม ทุกเรื่องๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ
บุคคลมีบุญมีอานิสงส์มีสติปัญญาฟังนิดเดียวไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้น การเจริญสติเป็นอย่างนี้การก้าวการเดินความรู้สึกของการเดินเป็นอย่างนี้ ตากระทบรูปใจเป็นอย่างนี้ หูกระทบเสียงใจเป็นอย่างนี้ ทำโน่นทำนี่ใจปกติ เราทำด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล เพื่อยังประโยชน์ของสมมติไม่ให้ได้ผ่านเวลาไป ประโยชน์ของสมมติเราก็พลอยได้อานิสงส์สมมตินั้นด้วย
ไล่เข้ามาใกล้ๆ สมมติอยู่ที่กายของเรา คือร่างกายของเราเป็นก้อนสมมติ แล้วก็เห็นส่วนนามธรรม เห็นลักษณะหน้าตาอาการ ใจเกิดกิเลส ทำไมใจถึงเกิดกิเลส ทำไมใจถึงมีตั้งแต่ความอยาก มีตั้งแต่กิเลสเข้ามาบงการ เราก็พยายามหมั่นจำแนกแจกแจง เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็คอยละคอยอบรมใจของเราทีละเล็กละน้อย
ภาษาธรรมท่านว่าอย่างนี้ ภาษาโลกท่านว่าอย่างนี้ ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจว่างรับรู้อยู่จะคิดเรื่องอะไรก็เป็นปัญญาธรรมหมดถ้าใจไม่เกิด ถ้าใจเกิดเราจะพิจารณาในธรรม หรือพิจารณาในบุญในกุศล ใจก็ยังเกิดอยู่ ใจก็ยังหลงอยู่ก็เป็นปัญญาของโลกีย์ ก็ต้องพยายามจำแนกให้ชัดเจน ส่วนมากพวกเราก็เหมารวมกันทั้งใจทั้งปัญญาทั้งขันธ์ห้ารวมกันไป คิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น
หลวงพ่อก็ไม่พูดเรื่องอื่น พูดตั้งแต่เรื่องที่จะให้เขาถึงตัวใจตรงนี้แหละ ส่วนบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนสร้างกันมาดี การทำบุญ การให้ทาน ผ่านกาลผ่านเวลา มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละอยู่ในระดับของสมมติอยู่ในระดับหนึ่ง แต่บุคคลที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางต้องเป็นคนที่ขยัน ขยันหมั่นเพียร รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ขณะนี้สภาวะใจของเราเป็นอย่างไร เราก็รีบตรวจ รีบตรวจดูว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ประโยชน์ทางด้านรูปธรรมประโยชน์ทางด้านนามธรรม ทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน่นฉันจะเข้าใจในธรรมไปอยู่ที่นี่ฉันจะเห็นธรรม..มันไม่ใช่
นอกจากตัวของเราเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ทำความเข้าใจกายวิเวก กายวิเวกจากภาระหน้าที่การงาน กายวิเวกจากพันธะภาระสมมติต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว กายวิเวก วิเวกจากสถานที่อันนี้เพียงแค่สมมติ ทีนี้ลึกลงไปถึงใจ ใจของเรายังเกิด เราก็ทั้งหลง เราก็มาคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนาม แล้วก็มาดับความเกิดของใจ แล้วก็มาละกิเลสที่ใจ กิเลสตัวไหนเราละได้เราก็รู้ ตัวไหนเราละยังไม่ได้เราก็พยายามละต่อไป ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ เจริญพรหมวิหารไปเรื่อยๆ ตัวกาลเวลาก็จะทำให้ใจของเราเบาบางจากกิเลส จนกว่าจะอบรมใจ จนใจอยู่ในโอวาทของปัญญาของเราได้นั่นแหละ
เขารู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เขารู้ว่าการหลงขันธ์ห้า มันเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา ก็ปล่อยวาง เขารู้ว่ากิเลสไม่ดีเขาก็ละออก ค่อยละออก ละด้วยปัญญา ดูรู้เห็นด้วยปัญญา ใจสะอาดบริสุทธิ์ด้วยปัญญา ยืนเดินนั่งนอนก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ อยู่ที่ไหนกิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราก็จัดการได้ ตั้งแต่ตื่นขึ้น
แต่เวลานี้ความรู้ตัว หรือว่ากำลังสติของเรานี่มีนิดหน่อย เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ จะเอาไปควบคุมใจก็ได้เป็นบางครั้งเป็นบางเรื่อง เอาไปควบคุมใจบังคับใจให้อยู่อันนี้ก็ได้เป็นบางเรื่องบางครั้ง ต้องทุกอย่าง ต้องคลายออกจากขันธ์ห้า ละกิเลสแล้วก็ดับความเกิด
รู้ให้ชัดเจนว่า อันนี้ส่วนปัญญานะ อันนี้ส่วนใจนะ อันนี้อาการของขันธ์ห้าเป็นเรื่องอะไรกองไหนแต่ละวันตื่นขึ้นมา กิเลสตัวไหนมาเล่นงานเรา กิเลสภายใน หรือว่ากิเลสภายนอก เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดจากภายใน เราแก้ไขได้ในระดับไหน ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุเราก็แก้ ถ้าแก้ไขไม่ได้เราทำอย่างไร เราก็ไปแก้ไขสมมติภายนอกด้วย ดับข้างในด้วย
กิเลสต้นเหตุ เขาเกิดขึ้นที่ตรงไหน เกิดขึ้นที่ใจปรุงแต่งเริ่มต้น หรือว่าเกิดขึ้นที่กาย ใจปรุงแต่งร่วม หรือว่าเหตุจากภายนอกทำให้เกิด กายทวารทำหน้าที่อย่างไร การแยกรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ออกจากใจเป็นลักษณะอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็ล้วนแต่เป็นอาจารย์คอยสอบอารมณ์ มีสติเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเครื่องทดสอบ ทั้งดีทั้งไม่ดี ทั้งกุศลทั้งอกุศล อะไรควรละอะไรควรเจริญ ก็ต้องพยายามดำเนินกัน
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่เล่นสนุกสนานเสียดายกาลเสียดายเวลา เสียดายทรัพย์ภายในที่จะควรได้ กลับปล่อยปละละเลย มันจะเป็นทรัพย์ที่ติดตัวของพวกเราไปข้ามภพข้ามชาติ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาป
ท่านให้ละบาป สร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ สูงขึ้นไปก็สร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาป สนุกอยู่กับบุญ ยังประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ฝากเอาไว้ให้กับส่วนรวมให้กับส่วนกลาง มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนคิดดีทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม มันถึงจะเกิดประโยชน์ ถึงวาระเวลา เราก็ได้วางหมด เราต้องวางด้วยปัญญาก่อนที่จะหมดลมหายใจ แล้วก็บริหารด้วยปัญญาจนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ