หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 23
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 23
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 23
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 มีนาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ได้เข้าไปรู้กาย รู้ใจของเรา เข้าไปวิเคราะห์การเกิดการดับของใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มพยายามทำ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน พยายามน้อมเข้าไปดูรู้ในกายของเรา มีอะไรดีๆ เยอะ
ในกายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไร อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม ความเกิดความดับของวิญญาณในกายของเรา ความเกิดความดับของอาการของขันธ์ห้า ซึ่งมีอยู่ในกายของเราเรารู้อยู่ เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ คิดก็รู้ ทำก็รู้ เกิดก็รู้ ความเกิดนั่นแหละ คือความหลงที่ปกปิดตัวใจเอาไว้
ใจของคนเราเนี่ยหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ที่ยังไม่ได้เกิด อย่าเพิ่งไปนึกถึงมัน เอาที่อยู่ในกายของเราเนี่ยเจริญสติลงที่กายของเรา ส่วนการเกิดการดับของใจของเรามีอยู่เดิม ความคิดเก่าก็มีอยู่เดิม เราพยายามมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง เราก็จะรู้ลึกลงไปอีก รู้ลักษณะของใจ
การเกิดของใจ ใจส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร อาการหน้าตาอาการของใจ อาการของความคิดเป็นลักษณะอย่างไร เราก็จะได้รู้เท่า รู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ใจหงายจากของที่คว่ำ ใจก็จะโล่ง กายก็จะเบา สติปัญญาเราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องชีวิตการดำเนินชีวิตอัตภาพร่างกายของคนเรามีอะไรบ้าง ที่ว่าธาตุสี่ ขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง
วิญญาณของคนเรานี้ แต่เดิมนั้นเขาบริสุทธิ์ เพราะความไม่เข้าใจเขาถึงเกิด เกิดแล้วก็ยังไม่พอแล้วก็ไปยึดในสิ่งต่างๆ แล้วก็เป็นทาสกิเลสอีก กิเลสความอยาก ความโลภ ความโกรธ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดอีกมากมาย ถ้าเราเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จนใจคลายออก ดูรู้เห็นตามความเป็นจริง
ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ เราก็ทำความเข้าใจแล้วก็ค่อยละ มีเรื่องเดียวนี่แหละที่คนเราปรารถนาเกิดมาก็เพื่อที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่ยิ่งหาเท่าไหร่ก็ยิ่งห่างไกล ยิ่งเหมือนกับพอกพูนกิเลส ทั้งดี ทั้งไม่ดี ทั้งความเกิด ทั้งอยาก ทั้งไม่อยาก เป็นกิเลสหมดเลย ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่
ท่านถึงบอกให้สร้างตบะบารมี ละขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราทีละเล็กทีละน้อย สร้างความเพียรทีละเล็กทีละน้อย น้อมใจของเราเข้ามา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในบุญในบาปละอายเกรงกลัวต่อบาป สร้างบุญสูงขึ้นไป ก็ไม่ยึดติดในบุญ ยังประโยชน์ให้เต็มเปี่ยมประโยชน์ภายนอกประโยชน์ภายใน ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ เราก็พยายามวิเคราะห์
เพียงแค่การเจริญสติรู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการวิเคราะห์ให้ต่อเนื่อง อาจจะรู้ได้เป็นบางช่วงครั้ง นิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่สนใจกัน สนใจในการทำบุญให้ทาน บารมีส่วนอื่นนั้นพากันสร้างกันมาดี แต่การเจริญสติ เอาสติปัญญาไปใช้ ไปอบรมใจ
ใจที่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ เราละกิเลสได้หรือไม่ เราละกิเลสได้ในระดับไหน เราควบคุมใจของเราได้ในระดับไหน จนใจไม่เกิด จนไม่ได้เข้าไปวิเคราะห์นู่นแหละ แต่เวลานี้ใจทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด สารพัดอย่าง กิเลสก็มีทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าจะมีน้อยๆ กิเลสก็มีเยอะแยะ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นเยอะ กิเลสตัวใหญ่ก็เยอะ ตัวน้อยก็เยอะ สารพัดอย่าง แม้แต่ความเกิดของใจก็เป็นกิเลส ถ้าไม่อาศัยอานิสงส์บุญญาบารมี
สติปัญญาของพระพุทธองค์ก็ยากที่จะเข้าถึง ในเมื่อเราเดินดำเนินตามท่าน เราก็ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ
แต่ละวันๆ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความรับผิดชอบ ความเสียสละ ละความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ว่าสะสมตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เห็นแก่ตัว ท่านถึงบอกให้ฝึกให้มากๆ ปฏิบัติให้มากๆ นอนน้อย พูดน้อย กินน้อย ปฏิบัติให้มากๆ ถ้าเราถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็ค่อยพักผ่อนกัน ทุกคนก็มีบุญมีอานิสงส์อยู่แล้ว หมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเราเอง หมั่นเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจเป็นเพื่อนใจอยู่ตลอดเวลา ไปไหนมาไหนก็มีสติ เป็นเพื่อนใจ รูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ ก็เป็นครูบาอาจารย์ทดสอบใจของเราตลอดเวลา สติก็คอยดูแลใจ อบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล แล้วก็ลงที่หลักของไตรลักษณ์ ลงที่หลักของความว่างสูงที่สุด ศาสนาอื่นนั้นก็สอนอยู่ในคุณงามความดี ทุกศาสนาเป็นสิ่งที่ดี ให้มนุษย์ของเราอยู่ในคุณงามความดี แต่มีศาสนาพุทธศาสนาเดียวที่ถึงหลักของอนัตตา หลักของการปล่อยของการวาง
ปล่อยวาง ปล่อยวางที่ไหนล่ะ ถ้าเราไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวาง ก็วางไม่ได้ วางภายในของเรา วางส่วนนามธรรม ส่วนวิญญาณ ส่วนความคิดอารมณ์ กายของเรานี้จะเป็นก้อนรูป ถึงเวลาแตกดับมันถึงจะแตกดับ ถ้าไม่ถึงเวลาเราก็ดูแลรักษา อาศัยอานิสงส์กายก้อนนี้ เขาเรียกว่า ‘ก้อนบุญก้อนกรรม’ เราต้องทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักหนทางเดิน มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิด ไม่กลับมาเกิดกัน ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศล อยู่ในกองศีล กองธรรม อยู่ในกองบุญไม่ตกไปสู่โลกที่ชั่ว เราก็พยายามนะ
หลวงพ่อก็เพียงแค่กล่าวแค่บอก วิธีการแนวทางทุกคนก็มีสติปัญญา ครูบาอาจารย์ ตำราก็เป็นแค่เพียงแผนที่ ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าพวกเราไม่ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเรา มันก็ยากที่จะเข้าใจ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจ ให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 มีนาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ได้เข้าไปรู้กาย รู้ใจของเรา เข้าไปวิเคราะห์การเกิดการดับของใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มพยายามทำ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน พยายามน้อมเข้าไปดูรู้ในกายของเรา มีอะไรดีๆ เยอะ
ในกายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไร อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม ความเกิดความดับของวิญญาณในกายของเรา ความเกิดความดับของอาการของขันธ์ห้า ซึ่งมีอยู่ในกายของเราเรารู้อยู่ เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ คิดก็รู้ ทำก็รู้ เกิดก็รู้ ความเกิดนั่นแหละ คือความหลงที่ปกปิดตัวใจเอาไว้
ใจของคนเราเนี่ยหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ที่ยังไม่ได้เกิด อย่าเพิ่งไปนึกถึงมัน เอาที่อยู่ในกายของเราเนี่ยเจริญสติลงที่กายของเรา ส่วนการเกิดการดับของใจของเรามีอยู่เดิม ความคิดเก่าก็มีอยู่เดิม เราพยายามมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง เราก็จะรู้ลึกลงไปอีก รู้ลักษณะของใจ
การเกิดของใจ ใจส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร อาการหน้าตาอาการของใจ อาการของความคิดเป็นลักษณะอย่างไร เราก็จะได้รู้เท่า รู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ใจหงายจากของที่คว่ำ ใจก็จะโล่ง กายก็จะเบา สติปัญญาเราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องชีวิตการดำเนินชีวิตอัตภาพร่างกายของคนเรามีอะไรบ้าง ที่ว่าธาตุสี่ ขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง
วิญญาณของคนเรานี้ แต่เดิมนั้นเขาบริสุทธิ์ เพราะความไม่เข้าใจเขาถึงเกิด เกิดแล้วก็ยังไม่พอแล้วก็ไปยึดในสิ่งต่างๆ แล้วก็เป็นทาสกิเลสอีก กิเลสความอยาก ความโลภ ความโกรธ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดอีกมากมาย ถ้าเราเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จนใจคลายออก ดูรู้เห็นตามความเป็นจริง
ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ เราก็ทำความเข้าใจแล้วก็ค่อยละ มีเรื่องเดียวนี่แหละที่คนเราปรารถนาเกิดมาก็เพื่อที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่ยิ่งหาเท่าไหร่ก็ยิ่งห่างไกล ยิ่งเหมือนกับพอกพูนกิเลส ทั้งดี ทั้งไม่ดี ทั้งความเกิด ทั้งอยาก ทั้งไม่อยาก เป็นกิเลสหมดเลย ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่
ท่านถึงบอกให้สร้างตบะบารมี ละขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราทีละเล็กทีละน้อย สร้างความเพียรทีละเล็กทีละน้อย น้อมใจของเราเข้ามา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในบุญในบาปละอายเกรงกลัวต่อบาป สร้างบุญสูงขึ้นไป ก็ไม่ยึดติดในบุญ ยังประโยชน์ให้เต็มเปี่ยมประโยชน์ภายนอกประโยชน์ภายใน ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ เราก็พยายามวิเคราะห์
เพียงแค่การเจริญสติรู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการวิเคราะห์ให้ต่อเนื่อง อาจจะรู้ได้เป็นบางช่วงครั้ง นิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่สนใจกัน สนใจในการทำบุญให้ทาน บารมีส่วนอื่นนั้นพากันสร้างกันมาดี แต่การเจริญสติ เอาสติปัญญาไปใช้ ไปอบรมใจ
ใจที่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ เราละกิเลสได้หรือไม่ เราละกิเลสได้ในระดับไหน เราควบคุมใจของเราได้ในระดับไหน จนใจไม่เกิด จนไม่ได้เข้าไปวิเคราะห์นู่นแหละ แต่เวลานี้ใจทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด สารพัดอย่าง กิเลสก็มีทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าจะมีน้อยๆ กิเลสก็มีเยอะแยะ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นเยอะ กิเลสตัวใหญ่ก็เยอะ ตัวน้อยก็เยอะ สารพัดอย่าง แม้แต่ความเกิดของใจก็เป็นกิเลส ถ้าไม่อาศัยอานิสงส์บุญญาบารมี
สติปัญญาของพระพุทธองค์ก็ยากที่จะเข้าถึง ในเมื่อเราเดินดำเนินตามท่าน เราก็ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ
แต่ละวันๆ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความรับผิดชอบ ความเสียสละ ละความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ว่าสะสมตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เห็นแก่ตัว ท่านถึงบอกให้ฝึกให้มากๆ ปฏิบัติให้มากๆ นอนน้อย พูดน้อย กินน้อย ปฏิบัติให้มากๆ ถ้าเราถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็ค่อยพักผ่อนกัน ทุกคนก็มีบุญมีอานิสงส์อยู่แล้ว หมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเราเอง หมั่นเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจเป็นเพื่อนใจอยู่ตลอดเวลา ไปไหนมาไหนก็มีสติ เป็นเพื่อนใจ รูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ ก็เป็นครูบาอาจารย์ทดสอบใจของเราตลอดเวลา สติก็คอยดูแลใจ อบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล แล้วก็ลงที่หลักของไตรลักษณ์ ลงที่หลักของความว่างสูงที่สุด ศาสนาอื่นนั้นก็สอนอยู่ในคุณงามความดี ทุกศาสนาเป็นสิ่งที่ดี ให้มนุษย์ของเราอยู่ในคุณงามความดี แต่มีศาสนาพุทธศาสนาเดียวที่ถึงหลักของอนัตตา หลักของการปล่อยของการวาง
ปล่อยวาง ปล่อยวางที่ไหนล่ะ ถ้าเราไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวาง ก็วางไม่ได้ วางภายในของเรา วางส่วนนามธรรม ส่วนวิญญาณ ส่วนความคิดอารมณ์ กายของเรานี้จะเป็นก้อนรูป ถึงเวลาแตกดับมันถึงจะแตกดับ ถ้าไม่ถึงเวลาเราก็ดูแลรักษา อาศัยอานิสงส์กายก้อนนี้ เขาเรียกว่า ‘ก้อนบุญก้อนกรรม’ เราต้องทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักหนทางเดิน มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิด ไม่กลับมาเกิดกัน ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศล อยู่ในกองศีล กองธรรม อยู่ในกองบุญไม่ตกไปสู่โลกที่ชั่ว เราก็พยายามนะ
หลวงพ่อก็เพียงแค่กล่าวแค่บอก วิธีการแนวทางทุกคนก็มีสติปัญญา ครูบาอาจารย์ ตำราก็เป็นแค่เพียงแผนที่ ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าพวกเราไม่ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเรา มันก็ยากที่จะเข้าใจ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจ ให้รู้ทุกอิริยาบถ