หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 56
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 56
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 56
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน วันนี้เห็นญาติโยมมากันเยอะ มาจากหน่วยงาน มาจากหน่วยงานสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อยู่กันคนละทิศละที่มารวมกันในจังหวัดขอนแก่นนี่ใช่ไหม มาประมาณสักกี่คน มาประมาณ 100 กว่าคน 3 หน่วยงาน มาทำจิตอาสา มาทำจิตอาสาอาสาพัฒนาทั้งภายนอกทั้งภายใน วันนี้จะมาพัฒนาช่วยพัฒนาวัด จะทำอะไรดีน้อ ทำได้หมดเนาะ ทำได้หมดเพราะว่าลุยงานมาแล้ว ฝึกงานมาแล้ว พัฒนามาแล้ว พัฒนาทางด้านจิตใจก็พัฒนามาแล้ว จิตเป็นบุญเป็นกุศล จิตฝักใฝ่ในความเสียสละ นั่นแหละคือฐานของบุญ แต่ขาดอยู่สิ่งเดียวที่ยังทำกันไม่ได้ ใจ คือใจยังไม่นิ่ง
ใจยังไม่นิ่ง ยังเกิด ยังวิ่งอยู่ตลอด ทำอย่างไรใจของเราถึงจะนิ่ง เราต้องมารู้จักเจริญสติ รู้จักเจริญสติ รู้จักอบรมใจ รู้จักชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจคลายออกจากความคิด หรือว่าเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิได้นั่นแหละถึงจะเข้าใจในจิตวิญญาณในกาย ส่วนมากก็ไปมั่นหมายเอาความคิดว่าเป็นตัวใจที่แท้จริง ใจนั้นยังเกิดอยู่ ยังหลงอยู่ ยังเกิดยังหลงอยู่ ทำไมถึงว่าหลง เพราะว่าการเกิด
ความเกิดนั่นแหละ คือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ความเกิดหลายชั้น เกิดมาในมนุษย์ ในภพมนุษย์ก็คือร่างกายนี่มีก้อนรูป มีร่างกายของเรานี่แหละเขาเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ ภพมนุษย์ ใจก็เลยมายึดในร่างกาย ในขันธ์ห้าตรงนี้อีก ยึดแล้วก็ยังไม่พอนะ ยังเกิดต่ออีกคือความคิดส่งออกไปภายนอกอีก ส่งไปยังไม่พออีก ยังเป็นทาสกิเลสอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสกุศลอกุศล สารพัดอย่างมันเล่นงานเอา
ถ้าเราไม่เจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ ยากที่จะเข้าถึง ยากที่จะเข้าใจว่าอะไรคือใจอะไรคือสติปัญญา อะไรคือสมมติวิมุตติ การแก้ไขได้อย่างไร เราอาจจะแก้ไขอยู่เพียงแค่ระดับของสมมติ แต่ระดับของวิมุตตินี่ยังหลงอยู่ เพราะว่าการเกิดของใจก็มีอยู่ พากันทำการทำงานมานานน้อ อยู่ขอนแก่นกันหมดทุกคนหรือเปล่า หรือว่าอยู่ที่จังหวัดอื่นก็มี… อยู่ที่ขอนแก่น ทำงานหลายปีแล้วน้อ อย่างน้อยๆ คนละ 4-5 ปี อย่างต่ำเนาะ คงจะรวยกันแล้วมั้งเนี่ย
ให้หลวงพ่อถามอะไรสักหน่อย พากันขยันหมั่นเพียรทำการทำงาน อันนี้เขาเรียกว่าทำงานเป็นอยู่ระดับหนึ่งนะ แต่ใช้ตังค์ยังไม่เป็นว่ะ ทำงานใหม่ๆ เดือนแรกเนี่ยเงินเดือนน้อยทำไมมันเหลือตั้งเยอะ พอทำไปทำมาเงินเดือนเขาก็ขึ้นให้อีกตั้งเยอะแต่กลับไม่พอใช้ บางทีก็เป็นหนี้เป็นสินก็มี มันเป็นอย่างไร ความไม่พอดีหรืออย่างไร
ผ่านกาลผ่านเวลา ทำการทำงาน เรียนจบได้รับการศึกษา ใหม่ๆ ก็ตั้งใจอย่างดีเลย พอเอาไปเอามาติดหนี้ตั้งเยอะ นั่นเขาเรียกว่ายังทำงานไม่เป็น คนที่ทำงานเป็น เขาไม่ทุกข์ เดี๋ยวค่อยพูดกันเน้อ พูดไปพูดมา แล้วเดี๋ยวจะจับฝึก จับบวชให้หมดเสียก่อนค่อยปล่อยกลับ
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็ดูแลหนาตาขึ้นเยอะ ญาติโยมมาฝนฟ้าก็ตก คนบุญมากก็อย่างนี้แหละเน้อ คนมีบุญมาก็นำพาความร่มรื่นร่มเย็นมาให้ ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่ความร่มเย็น เย็นทั้งภายนอก ฝนฟ้าเทวดาก็ปล่อยลงมาไม่ให้ร้อน เย็นทั้งภายใน ภายในจะเย็นได้ก็ต้องดูแลแก้ไขกันเอานะ ไม่ใช่ไปวิ่งให้คนโน้นเขาแก้ให้คนนี้เขาแก้ให้ เราต้องแก้ด้วยตัวของเราเอง ครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ เป็นแค่เพียงตำราชี้แนะวิธีการแนวทาง
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งหลายร้อยหลายพันปีก็ยังปรากฏอยู่ ความจริงอันประเสริฐ สัจจะความจริงก็ยังมีอยู่ พวกเราจะไขว่คว้าทำความเข้าใจให้รู้ให้ถึงได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรที่ถูกทาง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ได้ค้นพบมานาน ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น
ที่พากันมาวันนี้ก็มาด้วยจิตอาสา เป็นพื้นฐานในการที่จะทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ได้ ถ้าเราไม่มีจิต ไม่มีความเสียสละ ไม่มีความอาสา หรือว่าไม่ฝักใฝ่ไม่สนใจ ใจของเราก็ยากที่จะเสียสละได้ อันนี้เราเสียสละการงาน เสียสละเวลา รวบรวมกันมา มาทำมายังประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ช่วยเหลือสังคม เหมือนกับหน่วยงานที่ตั้งชื่อว่าพัฒนาสังคมเพื่อความมั่นคงของมนุษย์ แล้วก็พัฒนาสังคม พัฒนาตัวเราด้วย พัฒนาจิตใจของเราด้วย มันก็จะเกิดประโยชน์มีความสุข
ถ้าเราเข้าใจในชีวิตตามแนวทางของพระพุทธเจ้าเราก็จะยิ่งมีความสุข ภายในใจของเราก็ไม่ทุกข์ งานสมมติที่เราทำก็ยิ่งเพิ่มประโยชน์มากมายโดยที่จิตใจไม่ได้ไปกังวลไปทุกข์ แต่ส่วนมากก็ยังเข้าถึงไม่ถึงใจของตัวเองเท่าไหร่ สอนใจยังไม่ได้ มีตั้งแต่ตามอำเภอใจอยู่ ไปโน่นไปนี่หนีไปเที่ยว ตั้งแต่เช้ามาใจหนีไปเที่ยว ใจเกิดสักกี่ครั้ง นับไม่ถ้วนนั่นแหละเขาเรียกว่าตามใจอันโน้นบ้างอันนี้บ้าง กิเลสมารต่างๆ
ใจเขาก็ไม่ยอมแพ้นะ เพราะว่าใจนี่เขาหลงมาตั้งนานแล้ว เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดโน่น เขาหลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ วนเวียนอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งถึงเวลาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ด้วยแรงบุญด้วยแรงกรรม ซึ่งมีร่างกายธาตุสี่ ขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครองตรงนี้แหละที่พวกเรายังไม่เข้าใจ จนกระทั่งพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย ชี้ลงที่เหตุที่ผล ตั้งแต่ต้นเหตุ ต้นเหตุของการเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ทีนี้วิญญาณ ใจของเรานี้หลงมาเกิดมาเกิดแล้วก็มาสร้างขันธ์ห้า มาสร้างร่างกาย เป็นหญิงเป็นชาย ธาตุสี่ ขันธ์ห้า แล้วก็มายึดติดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก ยึดติดตัวตนยังไม่พอนะ ยังเป็นทาสกิเลสอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก ยังมีตั้งแต่ความทะเยอทะยาน การเกิดอีก มีเยอะในกายของเราเนี่ย
ถ้าเราจะศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจได้ก็ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ เป็นบุคคลที่มีความเสียสละเป็นเลิศ รู้จักอบรมใจ ชี้ เห็นเหตุเห็นผล จนใจมองเห็นความเป็นจริงว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสกิเลสเขาก็ไม่เอา ไปหลงไปยึดเขาก็ไม่เอา เขาจะอยู่ในความสะอาดความบริสุทธิ์ จะเอา จะมี จะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา ปัญญาเอาไปใช้ เอาไปใช้อบรมใจของเรา แล้วก็ไปใช้ก็สมมติกับโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยใจที่ไม่ทุกข์ ถ้าเราไม่เข้าถึงจริงๆ รู้เห็นจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจในคำที่หลวงพ่อพูด นอกจากบุคคลที่ฝักใฝ่สนใจจริงๆ
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ตรงนี้ก็ยังทำกันยากอยู่ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็หายใจอยู่แต่เราไม่รู้ว่าสัมผัสของลมหายใจเป็นอย่างไร หายใจหยาบหายใจละเอียดเป็นอย่างไร ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร เราอาจจะมีสติควบคุมใจของเราได้เป็นบางเรื่องบางครั้งบางคราว แต่เราไม่ได้ควบคุมได้ตลอด แล้วก็ชี้เหตุที่ผลให้เห็นตลอด ให้จำแนกแจกแจงได้ ให้ปรากฏขึ้นที่ใจได้
ท่านถึงบอกให้เชื่อ แต่เวลานี้เราเชื่ออยู่ในระดับของสมมติ เห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ก็ต้องเข้าถึงต้นเหตุของการเกิดการดับ การแยกการคลายซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน มันถึงจะเข้ารู้จักจุดละ จุดปล่อย จุดวางได้ แล้วก็มีความสุขพิจารณาน้อมดูใจของตัวเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราชนะกิเลสได้กี่ครั้ง กิเลสมันเล่นงานเราสักกี่เที่ยว หน้าตากิเลสเป็นอย่างไรส่วนมากก็มีตั้งแต่กิเลสวิ่งมาอ้าแขนรับไปด้วยกันทันทีโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะว่าความหลงยังครอบงำอยู่
ความหลงนี่เป็นกิเลสอันละเอียดที่สุด หลงหลายชั้น หลงตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิด หลงวนเวียนอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ แล้วก็หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ แล้วก็มายึดติดตรงนี้อีก ใจก็ยังเกิดต่ออีกถ้าดับความเกิดไม่ได้นี่มันก็ไปเกิดต่อ กายเนื้อแตกดับก็ไปหาที่พึ่งอันอื่น
ทีนี้ถ้าคนสร้างบุญไว้เยอะ สร้างอานิสงส์ไว้เยอะ แรงบุญก็จะมาเป็นวิบากนำทางให้ใจไปสู่สุคติ ถ้าอกุศลเยอะแรงอกุศลก็จะมาเป็นอุคคหนิมิตนำทางให้ไปสู่ความลำบาก ท่านถึงบอกว่าให้ละบาป สร้างบุญ แล้วก็สูงขึ้นไปก็สร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ ทำความเข้าใจด้วยปัญญา ละด้วยปัญญา อยู่เหนือบุญเหนือบาป เหนือกรรม เหนือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ใจของเราก็จะมีความสะอาดความบริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ถ้าเราดับความเกิดได้ ละความเกิดได้ ละกิเลสได้
มันพูด พูดง่ายอยู่ แต่การกระทำต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร แต่ละวันเรามีความเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ เรามีการฝักใฝ่ เรามีการสนใจ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีพรหมวิหาร มีความเมตตาหรือไม่ ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่นหรือเปล่า เราต้องพยายามแก้ไขขัดเกลา เรามีความตั้งมั่น มีสัจจะกับตัวเองหรือไม่ เราต้องหัดวิเคราะห์พิจารณา อะไรคือใจ อะไรคือเรา คำว่าตนเป็นที่พึ่งของตนเป็นลักษณะ นี่แหละเราอาจจะมองในภาพรวมว่าตัวเรานี่คือตน ใช่ ในภาพรวมนั้นใช่
แต่พระพุทธองค์นั้นให้เจริญสติ มาสร้างความรู้ตัว คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เราอาจจะไปมั่นหมายว่าเป็นนาทีนี้ เป็นชั่วโมงนี้ เป็นวันนี้ อันนี้เป็นปัจจุบันธรรมในทางโลก ปัจจุบันในทางธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออก แล้วก็ทุกขณะจิต อันนี้เขาเรียกว่าปัจจุบันธรรม ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ถึงทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ทุกขณะจิต นี่แหละตรงนี้แหละ เราต้องมามีมีศรัทธาพร้อมหรือไม่ มีความเสียสละน้อมกายของเราเข้ามาฝึก คำว่า ‘ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ เป็นลักษณะอย่างไร
อย่างเช่น เราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ เวลาเราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เวลาหายใจออกก็มีสัมผัสกระทบปลายจมูกของเรา หายใจเข้าหายใจออก อันนี้เขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เขาเรียกว่าทุกขณะลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ทุกขณะลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่
นี่แหละถ้าพลั้งเผลอตรงนี้ก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่จนฝึกให้เกิดความเคยชิน เพียงแค่ลมหายใจ ถ้าเราจะดู จะรู้ ทำไมหายใจอึดอัด ทำไมหายใจพร่อง ทำไมหายใจไม่เต็ม สารพัดอย่างที่มันจะเล่นงานเอา ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียร หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หายใจเข้าหายใจออก ความรู้สึกไม่ชัดเจนเราก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไปก็เริ่มใหม่ เพียงแค่การฝึกสติให้ต่อเนื่องสักนาที 2 นาที 3 นาที ตรงนี้ก็พากันทำยาก พากันทำยาก วันทั้งวันล่ะ เวลาอื่นล่ะ เวลาอื่นสติพลั้งเผลอ กิเลสมันเล่นงานเรามันเยอะกว่า
ทั้งที่พวกเราก็มีศรัทธามีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ฝักใฝ่ในการทำบุญ ฝักใฝ่ในการให้ทานพากันสร้างบารมี ทุกคนก็ประพฤติปฏิบัติมาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ คือความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายจากเด็กเป็นเด็กโตเด็กใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลาผ่านร้อนผ่านหนาว อันนี้ก็เป็นการฝึกหัดปฏิบัติในระดับของสมมติ อันนี้ดี อันนี้ชั่ว อันนี้ก็พอที่จะรู้กันอยู่ จนถึงอายุปูนนี้ได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบกันมากมาย รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบต่อส่วนรวม มีความเสียสละฝักใฝ่ อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นกุศล อะไรควรละอะไรควรเจริญตรงนี้มีอยู่
แต่การเจริญสติที่หลวงพ่อพูดเมื่อกี้นี้ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ เพราะว่าอะไร เพราะว่าวิบากกรรมสมมติมันยังไม่คลาย บางครั้งก็ว่าไม่มีเวลาบ้าง บางครั้งสมมติอันนู้นอันนี้ก็บีบรัดบ้าง อันนั้นก็ยังติดขัดอันนี้ก็ยังติดขัด เพราะว่าพวกเราไปสร้างสมมติ ไปยึดติดตั้งแต่ยังไม่เกิดโน่น ถ้าเราคลายใจของเราออกมาได้ รู้จักบริหารกาย รู้จักบริหารใจ เอาสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนใจได้ ให้ใจอยู่ในความสะอาดในความบริสุทธิ์ มีความสุขกับการกับงาน นั่นแหละเราถึงจะเข้าถึงใจของตัวเราได้ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ใจบงการ มีตั้งแต่ขันธ์ห้าบงการ มีตั้งแต่กิเลสบงการ เราเป็นมิตรกับกิเลสมาตั้งนานโดยไม่รู้ตัว
เราต้องมาเจริญสติเข้าไปจำแนกแจกแจง ชี้เหตุชี้ผล กายทำหน้าที่อย่างไร ตาหูจมูกลิ้นทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร แต่เวลานี้เขายังเกิดเขายังหลงอยู่ เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ รู้ไม่ทันต้นเหตุก็รู้จักดับเอาไว้ รู้จักใช้สมถะดับ เขาเรียกว่าดับ เขาเรียกว่าควบคุม ควบคุมใจของเราให้อยู่ในความสงบอยู่ในระดับหนึ่ง ควบคุมบ่อยๆ ใจของเรามันเร็วไว เดี๋ยวก็วิ่งไปโน่น เดี๋ยวก็วิ่งไปนี่ เดี๋ยวก็มีเรื่องเป็นเรื่องบ้างเป็นราวบ้าง เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง เขาเกิดอยู่ตลอดเวลา บางทีขันธ์ห้ากับใจเขาก็รวมกันเกิด บางทีก็รวมกับปัญญา รวมกันไปทั้งก้อน แต่เราไม่รู้ เรารู้อยู่ระดับเพียงแค่ว่าเราคิดเราทำ ทั้งที่ใจนั้นหลงเกิดอยู่ตลอดเวลาความหลง
นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง เอาสติปัญญาที่เราเจริญนี้ไปสังเกตไปวิเคราะห์ ไปใช้การใช้งาน จนใจคลายออกจากขันธ์ห้านี่แหละเขาเรียกว่า ‘คลายความหลง’ เห็นตรงนี้เห็นถูกตรงนี้ สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจก็จะหงาย ใจก็จะว่าง กายก็จะเบากำลังสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละตามเห็นความเกิด ความดับ เขาเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า’ ตามดูทุกเรื่อง เราก็จะเห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า เห็นความเกิดขึ้น เห็นความตั้งอยู่ เห็นความดับไป เวลาดับไปนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘อนัตตา’ ความว่างเปล่า เรื่องใหม่ก็เข้ามา ใจของเราไปรวมไปหลงเป็นสิ่งเดียวกัน ก็เลยรู้เพียงแค่ว่าเราคิด รู้เพียงแค่ว่าเราทำ อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ
แต่ระดับของวิมุตติ ใจยังไม่หลุดพ้น ใจยังไม่ได้คลาย ยังหลงอยู่ ยังหลงนี่แหละ หลงขันธ์ห้ากายก็เลยหนักใจ ทีนี้ก็เป็นทาสของกิเลสอีก ความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยาก ทั้งไม่อยากอีก เพราะว่าใจยังไม่นิ่ง ใจไม่ยังไม่อยู่ในความเป็นกลาง
ถ้าใจเพียงแค่สงบ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ถ้าใจละกิเลสได้หมดจด ดับความเกิดได้หมดจดปล่อยวางให้ใจเป็นอิสรภาพอันนี้เขาเรียกว่าใจมีความสะอาดบริสุทธิ์ด้วยปัญญา วิปัสสนา แต่มันก็ยากถ้าคนไม่ขยันหมั่นเพียร มันก็ง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร มีความเสียสละ มีความฝักใฝ่ มีความสนใจ
แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมากายของเราเป็นอย่างไร ภาระหน้าที่การงานของเราเป็นอย่างไร เรามีความขาดตกบกพร่องตรงไหนก็รีบแก้ไข ไม่ใช่จะวิ่งไปให้คนโน้นคนนี้เขาแก้ไขให้ เราต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ช่วยเหลือตัวเรา ท่านถึงว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ตนตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมา ตนตัวที่ 2 คือใจ
แต่เวลานี้ใจของเราทั้งหลงทั้งเกิดทั้งยึดทั้งเป็นทาสของกิเลส เราต้องมาฝึกตนตัวแรกคือฝึกสติฝึกผู้รู้ ใหม่ๆ ก็เพียงแค่การฝึกนี่ก็ยัง ก็ยังยาก ต้องมีความเพียรในการสร้าง ในการทำความเข้าใจ ในการทำให้ต่อเนื่อง ถ้าทำด้วยความอยากของกิเลสอีกมันก็ปิดกั้นตัวเองไว้หมด เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผลเห็นเหตุเห็นผลตั้งแต่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเอาปลายเหตุ กลางเหตุ แต่ส่วนมากก็ไปค้นคว้าที่ปลายเหตุกลางเหตุ ไม่ลงที่ต้นเหตุ เหมือนพระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะให้ลงที่ต้นเหตุคือตัวใจเสียก่อน ลงที่ต้นเลย ชี้เหตุชี้ผล จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ ใจของเราถึงจะปล่อยจะวางได้ แล้วก็มาดับความเกิดที่ใจ ละกิเลสที่ใจ
ใจเกิดกิเลส เกิดความโลภเราก็ละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการบริจาค ด้วยการเอาออก ใจเกิดความโกรธก็ดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่นละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา ไม่ใช่ว่าจะฝึกตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักละกิเลส ฝึกตั้งแต่สติ แต่ไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีเหตุมีผลหมด ถ้าถึงวาระถ้าถึงเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีวาสนาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อันนี้ก็นับว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐอยู่ในระดับหนึ่ง
ทีนี้เราก็พยายามค้นคว้าลงไปตามแนวทางของพระพุทธองค์ คำว่า ‘ศีล’ ความปกติเป็นลักษณะอย่างไรปกติระดับสมมติ คือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไม่เบียดเบียนตนเบียดเบียนคนอื่น ไม่ทำใจของเราให้ไปสู่ทางอคติ มีสติมีปัญญาเข้าไปบริหารใจของเรา กายกรรมเราก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น วจีกรรมเราก็ไม่ได้ไปพูดไปด่าไปว่าคนอื่น มโนกรรมล่ะ ความคิดล่ะไล่เรียงลงไป คิดเราก็ไม่คิดอคติ คิดเป็นโทษ คิดใส่ร้าย คิดในทางอาฆาตพยาบาท
ทำอย่างไรเราถึงเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราได้ เราก็หมั่นวิเคราะห์ มีเรื่องเดียวที่มนุษย์ได้เกิดมาที่จะต้องทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าส่วนมากก็ไปที่สร้างเหตุสร้างผลมาปิดบังดวงใจของตัวเองเอาไว้ ครอบคลุมเอาไว้ ครอบคลุมเอาไว้หมดจนมืดมิด จนมองไม่เห็น
เคยอ่านหนังสือหลวงพ่อพุทธทาสไหม ‘ในโลกนี้มีแต่คนบ้า’ ท่านเขียนว่าอย่างนั้น ไม่รู้ว่าบ้าอย่างไร พอที่จะรู้จักว่าบ้าไหม ในโลกนี้มีแต่คนหลง ในโลกนี้มีแต่คนบ้า ที่ว่าหลงคือใจของเรา หลงเกิด หลงยึด เรายังคลายยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ อันนี้เขาเรียกว่า ‘หลง’ หลงแล้วก็เป็นบ้า มีอัตตา มีทิฏฐิ มีมานะสารพัดอย่าง เข้าห้ำหั่นกันตีกันทุกวัน แทนที่จะเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ละกิเลสออกจากใจ ชนะตัวเราแล้วเราก็ชนะหมด
สนุก มีความสุขกับการกับงาน ทำงานไปด้วยดูใจไปด้วย ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอตื่นขึ้นมาปุ๊บ รู้ใจปุ๊บ รู้ลมหายใจเข้าออกปั๊บ จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำใจสงบอยู่นะ สติปัญญาเป็นตัวสั่งพากายไป ใจรับรู้ กายไม่อยู่ในอำนาจของใจเป็นอย่างไร เราก็ต้องหัดวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผลจนรู้ความเป็นจริงได้ เราถึงจะมองเห็นชีวิตของเรา ก็จะดำเนินไปอย่างไรมา มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ทุกคนก็มีบุญ อย่าไปทิ้งบุญเด็ดขาด พยายามหมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์ ทำมากก็เป็นของเราทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็มีส่วนแห่งบุญ ไม่ใช่ว่าจะไปเอาบุญที่โน่นที่นี่ ต้องเอาบุญภายในที่ใจของเราให้ได้เสียก่อน จิตใจของเรามีความสุขความร่มรื่นร่มเย็น แล้วจะล้นออกไปสู่ภายนอก เผื่อแผ่ไปสู่ภายนอก พวกท่านก็ได้สร้างบุญสมมติภายนอกก็ได้ช่วยเหลือหมู่คณะช่วยเหลือสังคม นี่แหละบุญระดับของสมมติ
แต่เราต้องไปแก้ไขที่ใจของเราอีกว่าทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง หลงความคิด หลงขันธ์ห้าเราก็ว่าเราไม่หลงหรอก นอกจากบุคคลที่เจริญสติต่อเนื่องได้ เอาไปจำแนกแจกแจงแยกแยะได้ถึงจะรู้ว่าหลง ถ้าเราสร้างสติต่อเนื่องกันได้สัก 5 นาที 10 นาที เราก็จะรู้เลยว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นเป็นแค่เพียงปัญญาโลกีย์ ถ้าเราฝึกให้ต่อเนื่องเอาไปใช้การใช้งานได้จนแยกแยะได้ ตามดูเหตุผลได้ ค้นคว้าจะหมดไม่มีอะไรสงสัย กำลังสติที่เราฝึกก็จะเริ่มกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะเริ่มกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็เริ่มกลายเป็นปัญญารอบรู้ รอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในวิญญาณในกาย รอบรู้ในปัจจัยสี่ รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราก็ไปยุ่งเกี่ยว
ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรคนดำเนิน เอาไปใช้กับชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เราจะทำภาระหน้าที่การงานด้วยวิธีไหนด้วยใจที่ไม่ทุกข์ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญา บริหารดำเนินชีวิตให้ถึงจุดหมายปลายทางทั้งโลกทั้งธรรม โลกก็เป็นอยู่อย่างนี้ ธรรมก็เป็นอยู่อย่างนี้ แต่เวลานี้เขารวมกันหมด ปนเปกันไปหมดเพราะว่าเรายังเดินปัญญาแยกแยะภายในไม่ได้ก็เลยรวมกันไปหมด แต่ถึงจะรวมก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ก็จะได้เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวพวกเราไป
อะไรที่จะเป็นบุญเราก็รีบทำ อย่าพากันปล่อยปละละเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่บ้าน อยู่ไร่ อยู่นาอยู่ที่ทำการทำงาน หรือว่าอยู่กับหมู่กับคณะ เรามีความอิจฉาริษยาหรือไม่ เรามีความเสียสละให้หมู่ให้คณะหรือไม่ ตื่นขึ้นมาเราก็จะอยู่กับบุญทันที ไปที่ทำงานเราก็จะอยู่กับบุญทันที เราไปที่ทำงาน ที่ทำงานมันสกปรกรกรุงรังตรงไหนเราไปทำ ไปทำความสะอาดให้เป็นความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ถึงสิ้นเดือนมาเราประชุมกันเงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ เรามาช่วยกันพัฒนาบ้านของเรา ออกเดือนละเท่าไหร่ 5 บาท 10 บาท คนละ 100-200 เราจะทำประโยชน์ให้อะไรกับบ้านของเรา กับที่ทำงานของเรา ซื้อไม้กวาดหรือซื้อเครื่องทำความสะอาด หรือซื้อตู้เย็น หรือซื้อกาแฟมาตั้งเอาไว้ให้หมู่ให้คณะได้อยู่ได้กิน ต่างคนก็ต่างมีความสมัครสมานสามัคคีมันก็มีความสุข
แทนที่สิ้นเดือนปุ๊บ มีตั้งแต่โพยหวยยาวเป็นวา ไปซื้อตัวโน้นบ้างตัวนี้บ้าง แข่งกัน คนโน้นพูดก็เหมือนจะถูก คนนี้พูดก็เหมือนจะถูก เอาแล้วคือไม่มีก็ติดหนี้ติดสิน เอาไปซื้อ แทนที่จะเอาเงินส่วนนั้นมารวมกัน มาซื้อต้นไม้ปลูกในสถานที่ของเรา ต้นไหนสวยๆ มาปรับปรุง มาตกแต่ง พวกเราอยู่ก็เหมือนกับอยู่บ้านของตัวเองนั่นแหละ ที่ทำงานก็บ้านนั่นแหละ ที่อยู่ที่กิน เราก็ทำตรงนั้นให้ดีๆ แล้วก็ช่วยกันดูแล ปลูกต้นไม้ตรงไหนไม่สวย ตรงไหนมันสวยก็ไปทำ ถ้าเราปลูกเอาไว้ถ้าเราจากไปรุ่นหลังเขาก็มาสานต่อ มันก็จะมีตั้งแต่ความดีความงามความร่มรื่นร่มเย็นขึ้นไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ว่า ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ฉันไปทำงานกินเงินเดือน อันอื่นเขาทำไม่ได้เดินไปเห็นเศษกระดาษก็เก็บไม่ได้ เห็นเศษแก้วเศษหนามก็เก็บไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่งานของเราไม่ใช่ เป็นงานของทุกคน ชำระใจของเราให้สะอาด แล้วก็ภาระหน้าที่สมมติด้วย แก้ไขตัวเองด้วย ปรับปรุงตัวเองด้วย มันถึงจะได้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน
ทีนี้คำสอนของพระพุทธองค์ก็ปรากฏอยู่ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ การสร้างบารมีเป็นอย่างนี้ เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่า เรามีความเห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบคนอื่น เราก็พยายามแก้ไขอุปนิสัยของตัวเรา มันก็จะเกิดประโยชน์มากมาย
เพียงแค่พูด คำไหนที่จะเป็นบุญเป็นกุศล พูดออกไปแล้วเกิดประโยชน์กับเราไหม เกิดประโยชน์กับหมู่กับคณะไหม ทำก็ให้คนอื่นเขาเดือดร้อนหรือไม่ เราเดือดร้อนหรือเปล่า
เราก็ต้องดู ต้องพิจารณาเอาตามอัตภาพของเรา ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บนะ
ต้องค่อยทำค่อยเป็นค่อยไปค่อยแก้ไข
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน วันนี้เห็นญาติโยมมากันเยอะ มาจากหน่วยงาน มาจากหน่วยงานสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อยู่กันคนละทิศละที่มารวมกันในจังหวัดขอนแก่นนี่ใช่ไหม มาประมาณสักกี่คน มาประมาณ 100 กว่าคน 3 หน่วยงาน มาทำจิตอาสา มาทำจิตอาสาอาสาพัฒนาทั้งภายนอกทั้งภายใน วันนี้จะมาพัฒนาช่วยพัฒนาวัด จะทำอะไรดีน้อ ทำได้หมดเนาะ ทำได้หมดเพราะว่าลุยงานมาแล้ว ฝึกงานมาแล้ว พัฒนามาแล้ว พัฒนาทางด้านจิตใจก็พัฒนามาแล้ว จิตเป็นบุญเป็นกุศล จิตฝักใฝ่ในความเสียสละ นั่นแหละคือฐานของบุญ แต่ขาดอยู่สิ่งเดียวที่ยังทำกันไม่ได้ ใจ คือใจยังไม่นิ่ง
ใจยังไม่นิ่ง ยังเกิด ยังวิ่งอยู่ตลอด ทำอย่างไรใจของเราถึงจะนิ่ง เราต้องมารู้จักเจริญสติ รู้จักเจริญสติ รู้จักอบรมใจ รู้จักชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจคลายออกจากความคิด หรือว่าเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิได้นั่นแหละถึงจะเข้าใจในจิตวิญญาณในกาย ส่วนมากก็ไปมั่นหมายเอาความคิดว่าเป็นตัวใจที่แท้จริง ใจนั้นยังเกิดอยู่ ยังหลงอยู่ ยังเกิดยังหลงอยู่ ทำไมถึงว่าหลง เพราะว่าการเกิด
ความเกิดนั่นแหละ คือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ความเกิดหลายชั้น เกิดมาในมนุษย์ ในภพมนุษย์ก็คือร่างกายนี่มีก้อนรูป มีร่างกายของเรานี่แหละเขาเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ ภพมนุษย์ ใจก็เลยมายึดในร่างกาย ในขันธ์ห้าตรงนี้อีก ยึดแล้วก็ยังไม่พอนะ ยังเกิดต่ออีกคือความคิดส่งออกไปภายนอกอีก ส่งไปยังไม่พออีก ยังเป็นทาสกิเลสอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสกุศลอกุศล สารพัดอย่างมันเล่นงานเอา
ถ้าเราไม่เจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ ยากที่จะเข้าถึง ยากที่จะเข้าใจว่าอะไรคือใจอะไรคือสติปัญญา อะไรคือสมมติวิมุตติ การแก้ไขได้อย่างไร เราอาจจะแก้ไขอยู่เพียงแค่ระดับของสมมติ แต่ระดับของวิมุตตินี่ยังหลงอยู่ เพราะว่าการเกิดของใจก็มีอยู่ พากันทำการทำงานมานานน้อ อยู่ขอนแก่นกันหมดทุกคนหรือเปล่า หรือว่าอยู่ที่จังหวัดอื่นก็มี… อยู่ที่ขอนแก่น ทำงานหลายปีแล้วน้อ อย่างน้อยๆ คนละ 4-5 ปี อย่างต่ำเนาะ คงจะรวยกันแล้วมั้งเนี่ย
ให้หลวงพ่อถามอะไรสักหน่อย พากันขยันหมั่นเพียรทำการทำงาน อันนี้เขาเรียกว่าทำงานเป็นอยู่ระดับหนึ่งนะ แต่ใช้ตังค์ยังไม่เป็นว่ะ ทำงานใหม่ๆ เดือนแรกเนี่ยเงินเดือนน้อยทำไมมันเหลือตั้งเยอะ พอทำไปทำมาเงินเดือนเขาก็ขึ้นให้อีกตั้งเยอะแต่กลับไม่พอใช้ บางทีก็เป็นหนี้เป็นสินก็มี มันเป็นอย่างไร ความไม่พอดีหรืออย่างไร
ผ่านกาลผ่านเวลา ทำการทำงาน เรียนจบได้รับการศึกษา ใหม่ๆ ก็ตั้งใจอย่างดีเลย พอเอาไปเอามาติดหนี้ตั้งเยอะ นั่นเขาเรียกว่ายังทำงานไม่เป็น คนที่ทำงานเป็น เขาไม่ทุกข์ เดี๋ยวค่อยพูดกันเน้อ พูดไปพูดมา แล้วเดี๋ยวจะจับฝึก จับบวชให้หมดเสียก่อนค่อยปล่อยกลับ
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็ดูแลหนาตาขึ้นเยอะ ญาติโยมมาฝนฟ้าก็ตก คนบุญมากก็อย่างนี้แหละเน้อ คนมีบุญมาก็นำพาความร่มรื่นร่มเย็นมาให้ ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่ความร่มเย็น เย็นทั้งภายนอก ฝนฟ้าเทวดาก็ปล่อยลงมาไม่ให้ร้อน เย็นทั้งภายใน ภายในจะเย็นได้ก็ต้องดูแลแก้ไขกันเอานะ ไม่ใช่ไปวิ่งให้คนโน้นเขาแก้ให้คนนี้เขาแก้ให้ เราต้องแก้ด้วยตัวของเราเอง ครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ เป็นแค่เพียงตำราชี้แนะวิธีการแนวทาง
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งหลายร้อยหลายพันปีก็ยังปรากฏอยู่ ความจริงอันประเสริฐ สัจจะความจริงก็ยังมีอยู่ พวกเราจะไขว่คว้าทำความเข้าใจให้รู้ให้ถึงได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรที่ถูกทาง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ได้ค้นพบมานาน ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น
ที่พากันมาวันนี้ก็มาด้วยจิตอาสา เป็นพื้นฐานในการที่จะทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ได้ ถ้าเราไม่มีจิต ไม่มีความเสียสละ ไม่มีความอาสา หรือว่าไม่ฝักใฝ่ไม่สนใจ ใจของเราก็ยากที่จะเสียสละได้ อันนี้เราเสียสละการงาน เสียสละเวลา รวบรวมกันมา มาทำมายังประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ช่วยเหลือสังคม เหมือนกับหน่วยงานที่ตั้งชื่อว่าพัฒนาสังคมเพื่อความมั่นคงของมนุษย์ แล้วก็พัฒนาสังคม พัฒนาตัวเราด้วย พัฒนาจิตใจของเราด้วย มันก็จะเกิดประโยชน์มีความสุข
ถ้าเราเข้าใจในชีวิตตามแนวทางของพระพุทธเจ้าเราก็จะยิ่งมีความสุข ภายในใจของเราก็ไม่ทุกข์ งานสมมติที่เราทำก็ยิ่งเพิ่มประโยชน์มากมายโดยที่จิตใจไม่ได้ไปกังวลไปทุกข์ แต่ส่วนมากก็ยังเข้าถึงไม่ถึงใจของตัวเองเท่าไหร่ สอนใจยังไม่ได้ มีตั้งแต่ตามอำเภอใจอยู่ ไปโน่นไปนี่หนีไปเที่ยว ตั้งแต่เช้ามาใจหนีไปเที่ยว ใจเกิดสักกี่ครั้ง นับไม่ถ้วนนั่นแหละเขาเรียกว่าตามใจอันโน้นบ้างอันนี้บ้าง กิเลสมารต่างๆ
ใจเขาก็ไม่ยอมแพ้นะ เพราะว่าใจนี่เขาหลงมาตั้งนานแล้ว เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดโน่น เขาหลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ วนเวียนอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งถึงเวลาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ด้วยแรงบุญด้วยแรงกรรม ซึ่งมีร่างกายธาตุสี่ ขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครองตรงนี้แหละที่พวกเรายังไม่เข้าใจ จนกระทั่งพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย ชี้ลงที่เหตุที่ผล ตั้งแต่ต้นเหตุ ต้นเหตุของการเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ทีนี้วิญญาณ ใจของเรานี้หลงมาเกิดมาเกิดแล้วก็มาสร้างขันธ์ห้า มาสร้างร่างกาย เป็นหญิงเป็นชาย ธาตุสี่ ขันธ์ห้า แล้วก็มายึดติดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก ยึดติดตัวตนยังไม่พอนะ ยังเป็นทาสกิเลสอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก ยังมีตั้งแต่ความทะเยอทะยาน การเกิดอีก มีเยอะในกายของเราเนี่ย
ถ้าเราจะศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจได้ก็ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ เป็นบุคคลที่มีความเสียสละเป็นเลิศ รู้จักอบรมใจ ชี้ เห็นเหตุเห็นผล จนใจมองเห็นความเป็นจริงว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสกิเลสเขาก็ไม่เอา ไปหลงไปยึดเขาก็ไม่เอา เขาจะอยู่ในความสะอาดความบริสุทธิ์ จะเอา จะมี จะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา ปัญญาเอาไปใช้ เอาไปใช้อบรมใจของเรา แล้วก็ไปใช้ก็สมมติกับโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยใจที่ไม่ทุกข์ ถ้าเราไม่เข้าถึงจริงๆ รู้เห็นจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจในคำที่หลวงพ่อพูด นอกจากบุคคลที่ฝักใฝ่สนใจจริงๆ
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ตรงนี้ก็ยังทำกันยากอยู่ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็หายใจอยู่แต่เราไม่รู้ว่าสัมผัสของลมหายใจเป็นอย่างไร หายใจหยาบหายใจละเอียดเป็นอย่างไร ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร เราอาจจะมีสติควบคุมใจของเราได้เป็นบางเรื่องบางครั้งบางคราว แต่เราไม่ได้ควบคุมได้ตลอด แล้วก็ชี้เหตุที่ผลให้เห็นตลอด ให้จำแนกแจกแจงได้ ให้ปรากฏขึ้นที่ใจได้
ท่านถึงบอกให้เชื่อ แต่เวลานี้เราเชื่ออยู่ในระดับของสมมติ เห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ก็ต้องเข้าถึงต้นเหตุของการเกิดการดับ การแยกการคลายซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน มันถึงจะเข้ารู้จักจุดละ จุดปล่อย จุดวางได้ แล้วก็มีความสุขพิจารณาน้อมดูใจของตัวเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราชนะกิเลสได้กี่ครั้ง กิเลสมันเล่นงานเราสักกี่เที่ยว หน้าตากิเลสเป็นอย่างไรส่วนมากก็มีตั้งแต่กิเลสวิ่งมาอ้าแขนรับไปด้วยกันทันทีโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะว่าความหลงยังครอบงำอยู่
ความหลงนี่เป็นกิเลสอันละเอียดที่สุด หลงหลายชั้น หลงตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิด หลงวนเวียนอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ แล้วก็หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ แล้วก็มายึดติดตรงนี้อีก ใจก็ยังเกิดต่ออีกถ้าดับความเกิดไม่ได้นี่มันก็ไปเกิดต่อ กายเนื้อแตกดับก็ไปหาที่พึ่งอันอื่น
ทีนี้ถ้าคนสร้างบุญไว้เยอะ สร้างอานิสงส์ไว้เยอะ แรงบุญก็จะมาเป็นวิบากนำทางให้ใจไปสู่สุคติ ถ้าอกุศลเยอะแรงอกุศลก็จะมาเป็นอุคคหนิมิตนำทางให้ไปสู่ความลำบาก ท่านถึงบอกว่าให้ละบาป สร้างบุญ แล้วก็สูงขึ้นไปก็สร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ ทำความเข้าใจด้วยปัญญา ละด้วยปัญญา อยู่เหนือบุญเหนือบาป เหนือกรรม เหนือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ใจของเราก็จะมีความสะอาดความบริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ถ้าเราดับความเกิดได้ ละความเกิดได้ ละกิเลสได้
มันพูด พูดง่ายอยู่ แต่การกระทำต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร แต่ละวันเรามีความเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ เรามีการฝักใฝ่ เรามีการสนใจ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีพรหมวิหาร มีความเมตตาหรือไม่ ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่นหรือเปล่า เราต้องพยายามแก้ไขขัดเกลา เรามีความตั้งมั่น มีสัจจะกับตัวเองหรือไม่ เราต้องหัดวิเคราะห์พิจารณา อะไรคือใจ อะไรคือเรา คำว่าตนเป็นที่พึ่งของตนเป็นลักษณะ นี่แหละเราอาจจะมองในภาพรวมว่าตัวเรานี่คือตน ใช่ ในภาพรวมนั้นใช่
แต่พระพุทธองค์นั้นให้เจริญสติ มาสร้างความรู้ตัว คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เราอาจจะไปมั่นหมายว่าเป็นนาทีนี้ เป็นชั่วโมงนี้ เป็นวันนี้ อันนี้เป็นปัจจุบันธรรมในทางโลก ปัจจุบันในทางธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออก แล้วก็ทุกขณะจิต อันนี้เขาเรียกว่าปัจจุบันธรรม ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ถึงทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ทุกขณะจิต นี่แหละตรงนี้แหละ เราต้องมามีมีศรัทธาพร้อมหรือไม่ มีความเสียสละน้อมกายของเราเข้ามาฝึก คำว่า ‘ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ เป็นลักษณะอย่างไร
อย่างเช่น เราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ เวลาเราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เวลาหายใจออกก็มีสัมผัสกระทบปลายจมูกของเรา หายใจเข้าหายใจออก อันนี้เขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เขาเรียกว่าทุกขณะลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ทุกขณะลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่
นี่แหละถ้าพลั้งเผลอตรงนี้ก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่จนฝึกให้เกิดความเคยชิน เพียงแค่ลมหายใจ ถ้าเราจะดู จะรู้ ทำไมหายใจอึดอัด ทำไมหายใจพร่อง ทำไมหายใจไม่เต็ม สารพัดอย่างที่มันจะเล่นงานเอา ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียร หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หายใจเข้าหายใจออก ความรู้สึกไม่ชัดเจนเราก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไปก็เริ่มใหม่ เพียงแค่การฝึกสติให้ต่อเนื่องสักนาที 2 นาที 3 นาที ตรงนี้ก็พากันทำยาก พากันทำยาก วันทั้งวันล่ะ เวลาอื่นล่ะ เวลาอื่นสติพลั้งเผลอ กิเลสมันเล่นงานเรามันเยอะกว่า
ทั้งที่พวกเราก็มีศรัทธามีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ฝักใฝ่ในการทำบุญ ฝักใฝ่ในการให้ทานพากันสร้างบารมี ทุกคนก็ประพฤติปฏิบัติมาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ คือความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายจากเด็กเป็นเด็กโตเด็กใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลาผ่านร้อนผ่านหนาว อันนี้ก็เป็นการฝึกหัดปฏิบัติในระดับของสมมติ อันนี้ดี อันนี้ชั่ว อันนี้ก็พอที่จะรู้กันอยู่ จนถึงอายุปูนนี้ได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบกันมากมาย รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบต่อส่วนรวม มีความเสียสละฝักใฝ่ อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นกุศล อะไรควรละอะไรควรเจริญตรงนี้มีอยู่
แต่การเจริญสติที่หลวงพ่อพูดเมื่อกี้นี้ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ เพราะว่าอะไร เพราะว่าวิบากกรรมสมมติมันยังไม่คลาย บางครั้งก็ว่าไม่มีเวลาบ้าง บางครั้งสมมติอันนู้นอันนี้ก็บีบรัดบ้าง อันนั้นก็ยังติดขัดอันนี้ก็ยังติดขัด เพราะว่าพวกเราไปสร้างสมมติ ไปยึดติดตั้งแต่ยังไม่เกิดโน่น ถ้าเราคลายใจของเราออกมาได้ รู้จักบริหารกาย รู้จักบริหารใจ เอาสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนใจได้ ให้ใจอยู่ในความสะอาดในความบริสุทธิ์ มีความสุขกับการกับงาน นั่นแหละเราถึงจะเข้าถึงใจของตัวเราได้ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ใจบงการ มีตั้งแต่ขันธ์ห้าบงการ มีตั้งแต่กิเลสบงการ เราเป็นมิตรกับกิเลสมาตั้งนานโดยไม่รู้ตัว
เราต้องมาเจริญสติเข้าไปจำแนกแจกแจง ชี้เหตุชี้ผล กายทำหน้าที่อย่างไร ตาหูจมูกลิ้นทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร แต่เวลานี้เขายังเกิดเขายังหลงอยู่ เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ รู้ไม่ทันต้นเหตุก็รู้จักดับเอาไว้ รู้จักใช้สมถะดับ เขาเรียกว่าดับ เขาเรียกว่าควบคุม ควบคุมใจของเราให้อยู่ในความสงบอยู่ในระดับหนึ่ง ควบคุมบ่อยๆ ใจของเรามันเร็วไว เดี๋ยวก็วิ่งไปโน่น เดี๋ยวก็วิ่งไปนี่ เดี๋ยวก็มีเรื่องเป็นเรื่องบ้างเป็นราวบ้าง เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง เขาเกิดอยู่ตลอดเวลา บางทีขันธ์ห้ากับใจเขาก็รวมกันเกิด บางทีก็รวมกับปัญญา รวมกันไปทั้งก้อน แต่เราไม่รู้ เรารู้อยู่ระดับเพียงแค่ว่าเราคิดเราทำ ทั้งที่ใจนั้นหลงเกิดอยู่ตลอดเวลาความหลง
นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง เอาสติปัญญาที่เราเจริญนี้ไปสังเกตไปวิเคราะห์ ไปใช้การใช้งาน จนใจคลายออกจากขันธ์ห้านี่แหละเขาเรียกว่า ‘คลายความหลง’ เห็นตรงนี้เห็นถูกตรงนี้ สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจก็จะหงาย ใจก็จะว่าง กายก็จะเบากำลังสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละตามเห็นความเกิด ความดับ เขาเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า’ ตามดูทุกเรื่อง เราก็จะเห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า เห็นความเกิดขึ้น เห็นความตั้งอยู่ เห็นความดับไป เวลาดับไปนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘อนัตตา’ ความว่างเปล่า เรื่องใหม่ก็เข้ามา ใจของเราไปรวมไปหลงเป็นสิ่งเดียวกัน ก็เลยรู้เพียงแค่ว่าเราคิด รู้เพียงแค่ว่าเราทำ อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ
แต่ระดับของวิมุตติ ใจยังไม่หลุดพ้น ใจยังไม่ได้คลาย ยังหลงอยู่ ยังหลงนี่แหละ หลงขันธ์ห้ากายก็เลยหนักใจ ทีนี้ก็เป็นทาสของกิเลสอีก ความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยาก ทั้งไม่อยากอีก เพราะว่าใจยังไม่นิ่ง ใจไม่ยังไม่อยู่ในความเป็นกลาง
ถ้าใจเพียงแค่สงบ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ถ้าใจละกิเลสได้หมดจด ดับความเกิดได้หมดจดปล่อยวางให้ใจเป็นอิสรภาพอันนี้เขาเรียกว่าใจมีความสะอาดบริสุทธิ์ด้วยปัญญา วิปัสสนา แต่มันก็ยากถ้าคนไม่ขยันหมั่นเพียร มันก็ง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร มีความเสียสละ มีความฝักใฝ่ มีความสนใจ
แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมากายของเราเป็นอย่างไร ภาระหน้าที่การงานของเราเป็นอย่างไร เรามีความขาดตกบกพร่องตรงไหนก็รีบแก้ไข ไม่ใช่จะวิ่งไปให้คนโน้นคนนี้เขาแก้ไขให้ เราต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ช่วยเหลือตัวเรา ท่านถึงว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ตนตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมา ตนตัวที่ 2 คือใจ
แต่เวลานี้ใจของเราทั้งหลงทั้งเกิดทั้งยึดทั้งเป็นทาสของกิเลส เราต้องมาฝึกตนตัวแรกคือฝึกสติฝึกผู้รู้ ใหม่ๆ ก็เพียงแค่การฝึกนี่ก็ยัง ก็ยังยาก ต้องมีความเพียรในการสร้าง ในการทำความเข้าใจ ในการทำให้ต่อเนื่อง ถ้าทำด้วยความอยากของกิเลสอีกมันก็ปิดกั้นตัวเองไว้หมด เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผลเห็นเหตุเห็นผลตั้งแต่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเอาปลายเหตุ กลางเหตุ แต่ส่วนมากก็ไปค้นคว้าที่ปลายเหตุกลางเหตุ ไม่ลงที่ต้นเหตุ เหมือนพระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะให้ลงที่ต้นเหตุคือตัวใจเสียก่อน ลงที่ต้นเลย ชี้เหตุชี้ผล จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ ใจของเราถึงจะปล่อยจะวางได้ แล้วก็มาดับความเกิดที่ใจ ละกิเลสที่ใจ
ใจเกิดกิเลส เกิดความโลภเราก็ละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการบริจาค ด้วยการเอาออก ใจเกิดความโกรธก็ดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่นละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา ไม่ใช่ว่าจะฝึกตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักละกิเลส ฝึกตั้งแต่สติ แต่ไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีเหตุมีผลหมด ถ้าถึงวาระถ้าถึงเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีวาสนาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อันนี้ก็นับว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐอยู่ในระดับหนึ่ง
ทีนี้เราก็พยายามค้นคว้าลงไปตามแนวทางของพระพุทธองค์ คำว่า ‘ศีล’ ความปกติเป็นลักษณะอย่างไรปกติระดับสมมติ คือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไม่เบียดเบียนตนเบียดเบียนคนอื่น ไม่ทำใจของเราให้ไปสู่ทางอคติ มีสติมีปัญญาเข้าไปบริหารใจของเรา กายกรรมเราก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น วจีกรรมเราก็ไม่ได้ไปพูดไปด่าไปว่าคนอื่น มโนกรรมล่ะ ความคิดล่ะไล่เรียงลงไป คิดเราก็ไม่คิดอคติ คิดเป็นโทษ คิดใส่ร้าย คิดในทางอาฆาตพยาบาท
ทำอย่างไรเราถึงเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราได้ เราก็หมั่นวิเคราะห์ มีเรื่องเดียวที่มนุษย์ได้เกิดมาที่จะต้องทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าส่วนมากก็ไปที่สร้างเหตุสร้างผลมาปิดบังดวงใจของตัวเองเอาไว้ ครอบคลุมเอาไว้ ครอบคลุมเอาไว้หมดจนมืดมิด จนมองไม่เห็น
เคยอ่านหนังสือหลวงพ่อพุทธทาสไหม ‘ในโลกนี้มีแต่คนบ้า’ ท่านเขียนว่าอย่างนั้น ไม่รู้ว่าบ้าอย่างไร พอที่จะรู้จักว่าบ้าไหม ในโลกนี้มีแต่คนหลง ในโลกนี้มีแต่คนบ้า ที่ว่าหลงคือใจของเรา หลงเกิด หลงยึด เรายังคลายยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ อันนี้เขาเรียกว่า ‘หลง’ หลงแล้วก็เป็นบ้า มีอัตตา มีทิฏฐิ มีมานะสารพัดอย่าง เข้าห้ำหั่นกันตีกันทุกวัน แทนที่จะเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ละกิเลสออกจากใจ ชนะตัวเราแล้วเราก็ชนะหมด
สนุก มีความสุขกับการกับงาน ทำงานไปด้วยดูใจไปด้วย ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอตื่นขึ้นมาปุ๊บ รู้ใจปุ๊บ รู้ลมหายใจเข้าออกปั๊บ จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำใจสงบอยู่นะ สติปัญญาเป็นตัวสั่งพากายไป ใจรับรู้ กายไม่อยู่ในอำนาจของใจเป็นอย่างไร เราก็ต้องหัดวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผลจนรู้ความเป็นจริงได้ เราถึงจะมองเห็นชีวิตของเรา ก็จะดำเนินไปอย่างไรมา มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ทุกคนก็มีบุญ อย่าไปทิ้งบุญเด็ดขาด พยายามหมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์ ทำมากก็เป็นของเราทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็มีส่วนแห่งบุญ ไม่ใช่ว่าจะไปเอาบุญที่โน่นที่นี่ ต้องเอาบุญภายในที่ใจของเราให้ได้เสียก่อน จิตใจของเรามีความสุขความร่มรื่นร่มเย็น แล้วจะล้นออกไปสู่ภายนอก เผื่อแผ่ไปสู่ภายนอก พวกท่านก็ได้สร้างบุญสมมติภายนอกก็ได้ช่วยเหลือหมู่คณะช่วยเหลือสังคม นี่แหละบุญระดับของสมมติ
แต่เราต้องไปแก้ไขที่ใจของเราอีกว่าทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง หลงความคิด หลงขันธ์ห้าเราก็ว่าเราไม่หลงหรอก นอกจากบุคคลที่เจริญสติต่อเนื่องได้ เอาไปจำแนกแจกแจงแยกแยะได้ถึงจะรู้ว่าหลง ถ้าเราสร้างสติต่อเนื่องกันได้สัก 5 นาที 10 นาที เราก็จะรู้เลยว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นเป็นแค่เพียงปัญญาโลกีย์ ถ้าเราฝึกให้ต่อเนื่องเอาไปใช้การใช้งานได้จนแยกแยะได้ ตามดูเหตุผลได้ ค้นคว้าจะหมดไม่มีอะไรสงสัย กำลังสติที่เราฝึกก็จะเริ่มกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะเริ่มกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็เริ่มกลายเป็นปัญญารอบรู้ รอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในวิญญาณในกาย รอบรู้ในปัจจัยสี่ รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราก็ไปยุ่งเกี่ยว
ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรคนดำเนิน เอาไปใช้กับชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เราจะทำภาระหน้าที่การงานด้วยวิธีไหนด้วยใจที่ไม่ทุกข์ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญา บริหารดำเนินชีวิตให้ถึงจุดหมายปลายทางทั้งโลกทั้งธรรม โลกก็เป็นอยู่อย่างนี้ ธรรมก็เป็นอยู่อย่างนี้ แต่เวลานี้เขารวมกันหมด ปนเปกันไปหมดเพราะว่าเรายังเดินปัญญาแยกแยะภายในไม่ได้ก็เลยรวมกันไปหมด แต่ถึงจะรวมก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ก็จะได้เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวพวกเราไป
อะไรที่จะเป็นบุญเราก็รีบทำ อย่าพากันปล่อยปละละเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่บ้าน อยู่ไร่ อยู่นาอยู่ที่ทำการทำงาน หรือว่าอยู่กับหมู่กับคณะ เรามีความอิจฉาริษยาหรือไม่ เรามีความเสียสละให้หมู่ให้คณะหรือไม่ ตื่นขึ้นมาเราก็จะอยู่กับบุญทันที ไปที่ทำงานเราก็จะอยู่กับบุญทันที เราไปที่ทำงาน ที่ทำงานมันสกปรกรกรุงรังตรงไหนเราไปทำ ไปทำความสะอาดให้เป็นความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ถึงสิ้นเดือนมาเราประชุมกันเงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ เรามาช่วยกันพัฒนาบ้านของเรา ออกเดือนละเท่าไหร่ 5 บาท 10 บาท คนละ 100-200 เราจะทำประโยชน์ให้อะไรกับบ้านของเรา กับที่ทำงานของเรา ซื้อไม้กวาดหรือซื้อเครื่องทำความสะอาด หรือซื้อตู้เย็น หรือซื้อกาแฟมาตั้งเอาไว้ให้หมู่ให้คณะได้อยู่ได้กิน ต่างคนก็ต่างมีความสมัครสมานสามัคคีมันก็มีความสุข
แทนที่สิ้นเดือนปุ๊บ มีตั้งแต่โพยหวยยาวเป็นวา ไปซื้อตัวโน้นบ้างตัวนี้บ้าง แข่งกัน คนโน้นพูดก็เหมือนจะถูก คนนี้พูดก็เหมือนจะถูก เอาแล้วคือไม่มีก็ติดหนี้ติดสิน เอาไปซื้อ แทนที่จะเอาเงินส่วนนั้นมารวมกัน มาซื้อต้นไม้ปลูกในสถานที่ของเรา ต้นไหนสวยๆ มาปรับปรุง มาตกแต่ง พวกเราอยู่ก็เหมือนกับอยู่บ้านของตัวเองนั่นแหละ ที่ทำงานก็บ้านนั่นแหละ ที่อยู่ที่กิน เราก็ทำตรงนั้นให้ดีๆ แล้วก็ช่วยกันดูแล ปลูกต้นไม้ตรงไหนไม่สวย ตรงไหนมันสวยก็ไปทำ ถ้าเราปลูกเอาไว้ถ้าเราจากไปรุ่นหลังเขาก็มาสานต่อ มันก็จะมีตั้งแต่ความดีความงามความร่มรื่นร่มเย็นขึ้นไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ว่า ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ฉันไปทำงานกินเงินเดือน อันอื่นเขาทำไม่ได้เดินไปเห็นเศษกระดาษก็เก็บไม่ได้ เห็นเศษแก้วเศษหนามก็เก็บไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่งานของเราไม่ใช่ เป็นงานของทุกคน ชำระใจของเราให้สะอาด แล้วก็ภาระหน้าที่สมมติด้วย แก้ไขตัวเองด้วย ปรับปรุงตัวเองด้วย มันถึงจะได้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน
ทีนี้คำสอนของพระพุทธองค์ก็ปรากฏอยู่ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ การสร้างบารมีเป็นอย่างนี้ เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่า เรามีความเห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบคนอื่น เราก็พยายามแก้ไขอุปนิสัยของตัวเรา มันก็จะเกิดประโยชน์มากมาย
เพียงแค่พูด คำไหนที่จะเป็นบุญเป็นกุศล พูดออกไปแล้วเกิดประโยชน์กับเราไหม เกิดประโยชน์กับหมู่กับคณะไหม ทำก็ให้คนอื่นเขาเดือดร้อนหรือไม่ เราเดือดร้อนหรือเปล่า
เราก็ต้องดู ต้องพิจารณาเอาตามอัตภาพของเรา ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บนะ
ต้องค่อยทำค่อยเป็นค่อยไปค่อยแก้ไข