หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 39

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 39
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 39
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 39
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 เมษายน 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็มีความสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็พยายามสร้างความรู้ตัวให้เกิดความเคยชิน อย่าไปคิดว่า ถึงไม่ดูเราก็หายใจอยู่แล้วอันนั้นก็เป็นจริงอยู่ แต่หายใจทิ้งไปเปล่าๆ ไม่ใช่หายใจด้วยผู้รู้ เรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ลมหายใจเข้าเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ลมหายใจออกเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ถ้าหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความเชื่อมต่อความต่อโยง รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ คนเราขาดการสร้างความรู้ตัว ที่ต่อเนื่อง ที่จะเอาไปใช้การใช้งาน เอาไปอบรมใจของเรา เอาไปชี้เหตุ เห็นเหตุเห็นผล เห็นเหตุ เห็นผล เห็นการเกิดของใจ เห็นการเกิดของขันธ์ห้า เห็นขันธ์ห้ากับใจเคลื่อนเข้าไปรวมกัน จนใจแยกออกจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมาเขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

ถ้ายังเข้าไม่ถึงตรงนี้ เราก็จะเข้าไม่ถึงคำสอนของพระพุทธองค์ เราก็จะไม่เข้าใจคำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เราก็จะไม่เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของตัวเรา เราอาจจะรู้ก็แต่ชื่อว่า ‘อนิจจัง ทุกขังอนัตตา’ ‘อัตตา อนัตตา’ ‘สมมติ วิมุตติ’ เราเข้าใจด้วยปัญญา แต่เราไม่เห็นลักษณะหน้าตาอาการของการเกิด การแยก การคลาย ก็เลยเข้าไม่ถึงคำสอน

แต่บารมีส่วนอื่น การฝักใฝ่ การสนใจ การทำความเข้าใจ อะไรผิดอะไรถูกอยู่ระดับของสมมติตรงนั้นมีอยู่ แต่เข้าไม่ถึงธรรม ก็พากันสร้างอานิสงส์สร้างบารมี อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่งเสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามายมายมหาศาล ว่าคนเราเกิดมา..เกิดมาแล้วจะอยู่อย่างไร ไปอย่างไร ในเมื่อเรามีโอกาสได้มีกายเนื้อ พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กาย ก็เพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจ

ใจของคนเรานี้หลงมานาน หลงเกิดมานาน แล้วก็เกิดเร็วไว เกิดเร็วไวยังไม่พอก็ยังยึดอีกด้วยยึดในอัตตาตัวตน แล้วก็มีทิฎฐิ มีมานะ มีกิเลสเข้ามาเล่นงาน กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมากมายท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล ดูตั้งแต่ต้นเหตุ เห็นตั้งแต่เหตุ เห็นการแยกการคลาย การตามดูการรู้ สร้างตบะบารมีเข้าไปแก้ไขกิเลส ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนโยนอ่อนน้อมหนักแน่น รับรู้ ไม่ให้เกิด

การได้ยิน การได้ฟัง ทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลย ไม่ใช่ว่าทำๆ ทิ้งๆ ขว้างๆ เราต้องทำให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้ด้วย เห็นด้วย แล้วก็เข้าถึงด้วย แล้วก็ละได้ด้วย คนเราเกิดมาก็มีแต่เรื่องนี้แหละที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ

กายของเรานี้เป็นก้อนทุกข์ นั่งนานก็ทุกข์ ยืนนานก็ทุกข์ หิวก็ทุกข์ ท่านถึงให้ทำความเข้าใจดูแลรักษาเขาไปจนกว่าเขาจะหมดวาระของเขา ตรงนั้นแหละถึงจะได้พรากจากใจกันจริงๆ

ทีนี้ความเกิดความดับของใจ ความเกิดนั่นแหละ คือความหลงอันละเอียด เกิดก็ยังไม่พอ ก็ยังเป็นทาสของความทะเยอทะยานอยากอีก กิเลส ทั้งอยากทั้งไม่อยาก เป็นกิเลสหมด เราก็ต้องพยายามเอาไม่เหลือวิสัย

ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี บุญสมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ขณะที่เรายังมีลมหายใจ ส่วนการขัดเกลากิเลส แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งนาน พวกเราก็พยายามดำเนินให้ถึง ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็พรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ไม่ถึงจริงๆ ไปต่อเอาภพหน้าเพราะว่าสิ่งที่พวกเราทำไม่สูญหายไปไหน ก็ต้องพยายามกัน

สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยงให้ต่อเนื่อง เพียงแต่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ขาดการดูการรู้ที่เกิดความชำนาญ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง