หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 125

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 125
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 125
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 125
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 ธันวาคม 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบายวางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราดับความเกิดหรือว่าหยุดความคิดไม่ได้ตลอด ก็ขอให้หยุดขณะที่เรากำลังเจริญสติอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ภาระหน้าที่ทางสมมติทางบ้านทางช่องพวกเราก็วางกัน มีใจน้อมเข้ามาทำบุญถวายทาน ทีนี้เราก็มาเจริญสติทำความสงบให้มีให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งก็จะหยุดไป การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายใจขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ ที่ภาษาธรรมท่านเรียกว่า 'สติรู้กาย' ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาก็เรียกว่า 'สัมปชัญญะ'

แต่เวลานี้ความรู้ตัวตรงนี้เราอาจจะมีบ้างเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว เรามีไม่ต่อเนื่อง ทำอย่างไรเราถึงจะทำให้ต่อเนื่อง ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา พยายามทำ ไม่เข้าใจเท่าไหร่เราก็พยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ การหายใจเข้า หายใจออก หายใจหยาบ หายใจละเอียด ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้สัมผัสของลมหายใจปุ๊บ จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำก็รู้ว่าใจปกติ ขอให้สร้างผู้รู้ หรือว่าเจริญสติตัวใหม่ให้ชัดเจน

ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นมีอยู่ตลอด การเกิดการดับของขันธ์ห้ามีอยู่ตลอด ความคิดที่เกิดจากใจ ความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้าบ้าง บางทีก็รวมกันไปทั้งสมองทั้งปัญญา รวมกันไปทั้งก้อน เราก็รู้อยู่ทั้งก้อน ทั้งที่ใจของเราก็หลง รวมอยู่ทั้งก้อนนั่นแหละ ท่านถึงให้มาเจริญสติตัวใหม่ สร้างผู้รู้ไปอบรมใจของเรา แต่เวลานี้ผู้รู้ของเรามีกำลังไม่เพียงพอก็เลยพลั้งเผลอเสียส่วนมาก ท่านถึงให้มีความอดทน สร้างตบะสร้างบารมี

แต่ละวันๆ ไม่ใช่ว่าเจริญสติเฉยๆ เราต้องพยายามวิเคราะห์ใจของเรา ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ ใจของเรามีความละอายเกรงกลัวต่อบาปหรือเปล่า เรามีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอดทน มีสัจจะกับตัวเราหรือไม่ เรามีความเห็นแก่ตัวหรือเปล่า เราก็พยายามขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา ใจของเรามีความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก ตราบใดที่มีการเกิด การเกิดของใจ เราก็พยายามควบคุมใจ อบรมใจบ่อยๆ แก้ไขใจตัวเรา เราควบคุมใจของเรายังไม่ได้ เราก็ใช้สมถะเข้าไปควบคุม อยู่กับลมหายใจบ้าง อยู่กับคำบริกรรมบ้าง แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคล อยู่กับการเดินบ้าง รู้จักวิธีการรู้จักแนวทางแล้วก็ไปเร่งทำความเพียร

อยู่คนเดียวเราก็พยายามรู้เรา อยู่หลายคนเราก็พยายามรู้เรา ไม่ใช่ว่าเราจะไปแสวงหาธรรมที่โน่นหาธรรมที่นี่ ก็แสวงหาอยู่ในกายของเรานี่แหละ ตั้งสติลงที่กายของเรานี่แหละ ควบคุมใจของเราให้ได้ ใช้ใจของเราให้เป็น ใจของเรานั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ทั้งหลงทั้งเกิด ทั้งเป็นทาสของกิเลส ถ้ากำลังสติของเรามีต่อเนื่อง สักวันหนึ่งเราก็คงจะเห็นการเคลื่อนของใจเข้าไปรวมกับขันธ์ห้า ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน

เราต้องเจริญสติลงที่รูป คือลงที่กายของเรา สติของเราก็จะเห็นการเกิดของใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับอาการของขันธ์ห้า หรือความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ขณะที่เขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันถ้าเรารู้ทัน ใจเขาจะดีดออกจากความคิด แล้วเขาก็จะหงายขึ้นมา เหมือนกับเราตัดเชือกขึงตึงๆ เราตัดแล้ว มันก็จะดีดออกจากกัน ใจก็จะหงายขึ้นมา เราไม่จำเป็นต้องจับเขาแยกยากเลย ใจก็จะเบา กายก็จะเบา ใจก็จะว่าง

สติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะเห็นการเกิดการดับของความคิด ของขันธ์ห้า นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง’ เห็นลักษณะหน้าตาอาการ อนิจจัง-ความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า ใจก็ว่างรับรู้อยู่ เห็นความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป บางทีก็เป็นกุศลบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ บ้าง เขาเรียกว่า 'กองสังขาร' ซึ่งมีอยู่ในร่างกายของเราทุกคน ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม ถ้าใจคลายออกจากความคิดตรงนี้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เป็นอย่างนี้ ‘สมมติ วิมุตติ’ เป็นอย่างนี้ ภาษาธรรมภาษาโลก เราต้องจำแนกแจกแจงให้เห็นชัดเจนก่อน เราถึงจะรู้เรื่อง

ช่วงที่เรายังแยกแยะไม่ได้นี่แหละ เราต้องพยายามมีความเพียรให้เป็นเลิศเลยทีเดียว ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ดูไม่ทันต้นเหตุของความเกิดของใจเราก็ดับ หยุด ใช้สมถะหยุด ใหม่ๆ จะอึดอัด อึดอัดมากที่สุด อึดอัดจนถึงที่สิ้นสุด กำลังสติของเราเร็วไวมากขึ้น ใจของเราถึงจะคลายออกจากขันธ์ห้า เพียงแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก เห็นถูกในหลักธรรมเขาเรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ' ข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปด เห็นถูกแล้วก็ทำความเข้าใจ สติชอบ ทำงานชอบ พูดจาชอบ ไปเรื่อยๆ จนครบ ถ้าเห็นผิดตั้งแต่แรกก็ผิดหมด ถ้าเราเห็นถูกใจของเราคลายออก เราก็จะตามดูว่าใจของเราเกิดกิเลสตัวหยาบตัวละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เกิดขึ้นที่กายใจส่งเสริมหรือไม่ เกิดขึ้นที่ใจเรารู้จักดับรู้จักควบคุม หาวิธีแก้ไข เราก็ต้องพยายาม

ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีใครที่จะสอนเราได้เลย นอกจากตัวของเรา จะไปวิ่งหาธรรมที่โน่นหาธรรมที่นี่ ถ้าไม่เจริญสติลงที่กายเราจะไม่รู้ความเป็นจริง ร่างกายเรานี้แหละเป็นสนามรบอันใหญ่ ร่างกายของเรานี่แหละเป็นก้อนบุญก้อนธรรม เราพยายามแสวงหากำไรในชีวิตขณะที่ยังมีกำลังกายอยู่ บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม ทั้งบุญสมมติบุญวิมุตติ

การขัดเกลากิเลสความอยากเล็กๆ น้อยๆ ความเกิดเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ ตัวปิดบังอำพรางใจของเราเอาไว้ไม่ให้เข้าถึงตัวใจของเราได้ เราพยายามวิเคราะห์ขัดเกลา ฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่เราก็ยิ่งทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ทุกลมหายใจเข้าออก จนกว่ากำลังสติของเราจะเป็นมหาสติ ค้นคว้า ตามดู รู้เห็นตามความเป็นจริง กำลังสติของเราก็จะกลายเป็นปัญญา จากปัญญาก็จะกลายเป็นมหาปัญญา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นเหตุเห็นผลของขันธ์ห้า การเกิดการดับ การละกิเลส จนใจของเราไม่มีความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก ดับความเกิด ความเกิดนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด

ปัญญาเก่าทางโลกเรามีกันเต็มเปี่ยม มีทั้งร้อยเราก็พยายามคลายปัญญาเก่า หรือว่าความคิดเก่าๆ ที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้าของเราออกให้มันหมด ยิ่งดับไปเท่าไหร่ยิ่งควบคุมใจของเราเท่าไหร่ ใจของเราก็จะสั้นลงๆๆ เพียงแค่ใจก่อตัวนิดเดียวเราก็พยายามดับความเกิดของใจ ก็จะเข้าถึงตัวใจ ตัวใจนั้นคือความว่าง ทีนี้ใจของเราว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากขันธ์ห้า ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ

การพูดง่ายสำหรับบุคคลที่รู้ที่เห็นที่เข้าถึง แต่มันยากสำหรับบุคคลที่ฝึก ต้องฝ่าฟันอุปสรรค ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข สารพัดอย่าง แก้ไขทั้งทางสมมติ สมมติโลกต่างๆ ความเป็นอยู่ของเรา ปัจจัยที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราต้องพยายามแก้ไขในทางสมมติของเรา อะไรขาดตกบกพร่องเราก็พยายามรีบทำให้สมบูรณ์

สมมติสมบูรณ์แบบการปฏิบัติใจก็ง่าย ไม่จำเป็นต้องไปร่ำรวยมหาศาลอะไร เพียงแค่สมมติของเราไม่ได้เดือดร้อน ที่พักที่อาศัย ที่อยู่ที่นอน ที่หลับที่กิน ปัจจัยในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ลำบาก การปฏิบัติใจก็จะไปได้เร็วได้ไว ยิ่งใจของเรามีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในคุณงามความดี แล้วก็เจริญสติ

รู้จักลักษณะของคำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ก็ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป รู้จักวิธีการแล้ว กายวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้ กายวิเวกคือวิเวกจากพันธะภาระหน้าที่ทางสมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราถึงปลีกตัวออกมาแสวงหา แสวงหาสถานที่แสวงหาครูบาอาจารย์ ถ้าเราเข้าใจแล้วสติของเรานั่นแหละจะเป็นครูบาอาจารย์คอยอบรมใจของเรา ค่อยแก้ไขใจของเรา คอยเป็นเพื่อนใจของเรา คอยชี้เหตุชี้ผล ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ละกิเลส เราจะเห็นชัดเจน กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสตัวไหนมาหลอกเรา

เราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน เราก็พยายามแก้ไข นิวรณธรรมเป็นลักษณะอย่างไร สติพลั้งเผลอเป็นอย่างไร ใจมีความกังวลมีความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร เราก็พยายามดับ เหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือว่าเกิดขึ้นจากภายใน เราก็ต้องแก้ไข แก้ไขทั้งภายนอกแล้วก็ดับทั้งภายใน เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม มองโลกในทางที่ดีคิดดีทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์

ดูเรื่องของเราให้จบ ทำหน้าที่ของเราให้จบ ส่วนมากก็มีตั้งแต่เรื่องของคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ เอาเรื่องของคนอื่นมาใส่ใจตัวเอง แทนที่จะแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ขัดเกลาตัวเราอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากก็ให้กิเลสมาเล่นงานอยู่ตลอดเวลา ความอยากเล่นงานอยู่ตลอดเวลา ความอยากความทะเยอทะยานอยาก อยากมีโน่นอยากมีนี่ อยากได้นู่นอยากได้นี่ อยากร่ำอยากรวย ไม่ใช่ว่าไม่ให้อยาก เราเปลี่ยนความอยากจากกิเลส เราละกิเลสเป็นความต้องการของสติปัญญา ทำหน้าที่ ขยันหมั่นเพียร ยังประโยชน์ เราขยันหมั่นเพียรมาก เราทำความเพียรมาก เราก็ได้มาก มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละแต่ใจไม่หลงไม่ยึด แต่ใจของเราต้องคลายออกจากขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน ดับความเกิดให้ได้เสียก่อน ส่วนมากก็จะรวมกันไปทั้งก้อน จำแนกแจกแจงไม่ได้

มีเรื่องเดียวนี่แหละที่หลวงพ่อจะต้องพูด พูดอยู่ หาเหตุหาผล ชี้ลงที่เหตุที่ผลให้ได้ แล้วก็ค่อยแก้ไขตัวเรา ถ้าเรารู้เหตุรู้ผล เห็นเหตุเห็นผลแล้ว เราจะละได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา อยู่คนเดียวเราก็ละกิเลส อยู่หลายคนเราก็ละกิเลส เห็นแล้วจะมีความสุข สุขภายในเราก็ได้ ทรัพย์ในเราก็ได้ ทรัพย์นอกเราก็ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับสมมติ หลวงพ่อก็พาทำพาสร้างอยู่ตลอดเวลา อะไรที่จะเป็นบุญอะไรที่จะเป็นประโยชน์ เราละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ ฝากอานิสงส์แห่งบุญเอาไว้ให้กับโลกเขา

มีโอกาสก็ขอเชิญพี่น้องมาร่วมกัน หลวงพ่ออาศัยกำลังอำนาจบุญของทุกคนมาร่วมกันมาสร้างกองบุญใหญ่ฝากไว้ให้กับสมมติ จะคิดจะทำอะไรก็ไม่ให้อด ไม่ให้อยาก ไม่ให้ลำบาก แล้วก็จงมาร่วมกันอนุโมทนาสาธุบุญ ซึ่งจะบังเกิดขึ้น ฝากเอาไว้ให้กับสถานที่ ให้กับแผ่นดิน กับทุกคน อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็จะมีส่วนแห่งบุญ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง