หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 120

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 120
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 120
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 120
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 ธันวาคม 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาดก็ขอให้หยุดขณะที่เรากำลังเจริญสติ

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายใจขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าความรู้สึกไม่เด่นชัดเราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แรงๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ แรงๆ ลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละที่ท่านเรียกว่า 'สติรู้กาย' ถ้าเรารู้ทั้งหายใจเข้า-หายใจออกให้ต่อเนื่องกันทุกขณะ เขาเรียกว่า ‘ทุกขณะลมหายใจเข้าออก’ ไม่ใช่ว่าจะดูที นานๆ นาที 2 นาที 5 นาที 10 นาทีถึงจะดูที อันนั้นไม่ใช่ปัจจุบัน

ปัจจุบันคือ ทุกขณะลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ความสืบต่อความต่อเนื่อง ได้ 5 นาที 10 นาที 20 นาที ขณะที่เรามีความรู้ตัวอยู่นั้น บางครั้งบางคราว ใจของเราก็ปรุงแต่งคิดไปเรื่องโน้นคิดไปเรื่องนี้ มันก็...เราจะรู้เห็นกันเป็นคนละส่วนกัน บางทีก็มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ความคิดที่เกิดจากใจ ความคิดที่ผุดขึ้นมาหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ตรงนี้มีอยู่เดิม มีกันทุกคน บางคนก็คิดเยอะ บางคนก็คิดน้อย ตัวใจของเรานั่นแหละ เป็นตัวบงการ กับขันธ์ห้าเป็นตัวบงการ ส่งไปรวมกับคลื่นสมองแล้วไปด้วยกันทั้งก้อน

พระพุทธองค์ท่านให้สร้างความรู้ตัวส่วนด้านบนส่วนสมองด้านบนของเรา รู้ตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเข้มแข็ง เราก็เอาไปใช้การใช้งาน รู้ไม่เท่าทันการเกิดของใจเราก็หยุด เขาเรียกว่า 'สมถะ' หรือเราอาจจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ อันนี้เป็น ‘สมถภาวนา’ หรือเราจะสร้างความรู้ตัวเลยทีเดียวเลยก็ได้ ถ้าเรารู้เท่าทันจนเกิดความเคยชิน

เพียงแค่การรู้ลมหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจมาก กำลังสติก็เลยรู้ไม่ทันการเกิดของใจ รู้ไม่ทันการเกิดของขันธ์ห้า รู้ไม่ทันว่าใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับขันธ์ห้าได้อย่างไร ถ้าเรารู้ทันใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับขันธ์ห้า ใจจะดีดออกหรือว่าหงายออกมา เขาเรียกว่า 'แยกรูปแยกนาม' เราไม่จำเป็นต้องแยกเขายากเลย เขาจะแยกของเขาเอง กว่าจะถึงจุดนี้ได้เราก็ต้องฝึกฝน ถ้าไม่ฝืนจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ ท่านถึงบอกว่าเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแสกิเลส ถ้าเราเข้าใจแล้ว รู้ความจริงแล้ว เราจะละได้ หรือละไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา

เรารู้จักวิธีการรู้จักแนวทาง เราก็พยายามไปทำความเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ไม่ปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา อย่าไปคิดว่าเวลาโน้นถึงจะทำเวลานี้ถึงจะทำ บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ เรามีความกล้าหาญอาจหาญ เรามีความละอายเกรงกลัวต่อบาปหรือไม่ เรามีความกตัญญูกตเวทีหรือเปล่า เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนไหม

เราก็ทำความเข้าใจกับคำว่า 'ศีล' ศีลคือความปกติ ปกติในระดับไหน ระดับกายปกติ กายเราก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนนู้นคนนี้ วาจาเราก็ไม่ได้ไปว่าคนโน้นคนนี้ ไม่ได้ไปส่อเสียด ไม่ได้ไปตำหนินินทา ไม่ได้ไปสร้างความวุ่นวายให้คนนู้นคนนี้ ลึกลงไปก็คือต้นเหตุคือตัวใจ ใจก่อตัวเมื่อไหร่เราก็ดับเมื่อนั้นแหละ เราก็เข้าถึงตัวศีล ความปกตินั่นแหละคือศีล

อันนี้เป็นเพียงแค่ควบคุม หรือสมถะให้ใจอยู่ในความปกติ ถ้าเราสังเกตจนใจคลายออก แยกแยะได้ ตามทำความเข้าใจได้ในเรื่องวิญญาณในขันธ์ห้า ในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของเรา ว่าอะไรควรละอะไรควรเจริญ เราก็ตามทำความเข้าใจ ค้นคว้า กำลังสติของเราก็จะเริ่มเป็นมหาสติ ถ้าเราขาดการทำความเข้าใจ สติของเราก็จะหายไป ความคิดเก่าๆ ก็เหมือนเดิม ถ้ากำลังสติของเราตามดูตามรู้ตามเห็น ตามทำความเข้าใจจนไม่มีเรื่องอะไรที่จะแก้ไขนั่นแหละ กำลังสติของเราจะพุ่งแรงจนเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในดวงจิต รอบรู้ในดวงวิญญาณของเรา รอบรู้ในปัจจัยสี่ รู้จักแสวงหา รู้จักทำให้มีให้เกิดขึ้น รอบรู้ในโลกธรรมอยู่ตลอดเวลา

กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง ซึ่งเป็นทวาร เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เรามีสติรู้ใจของเรา เกิดความอยาก เกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ ผลักไสหรือไม่ หรือว่าดึงเข้ามาหรือเปล่า หรือว่าเป็นกลาง เราจงพยายามค้น แสวงหาในกายก้อนนี้ซึ่งเรียกว่า ‘สนามรบ’ อย่างดีเลยทีเดียว เราพยายามรีบเร่งสร้างกำไร หากำไรในกายก้อนนี้ขณะที่เขายังมีกำลังยังมีลมหายใจอยู่ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง เล่าเรื่องเก่าของเก่า

พวกเราจะเอาตั้งแต่ผลอย่างเดียว ไม่เริ่มต้นที่เหตุ ให้เห็นเหตุเห็นนั่นเสียก่อน ตามดูแล้วก็ละ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่เราก็ทำความเข้าใจให้มันได้ ถ้าเรารู้จัก 'สติ' นี่แหละที่ท่านว่าเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบเรา ที่ท่านว่าตนเป็นที่พึ่งของตน 'ตน' คือสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ จนเอาไปใช้การใช้งานได้ 'ตน' ตัวที่สองก็คือใจ แต่เวลานี้ใจของเราไปพึ่งขันธ์ห้า ไปยึดติดขันธ์ห้า ไปพึ่งกิเลส เอากิเลสเป็นเพื่อน ก็เลยมีกำลังด้วยทิฏฐิมานะ ความเห็นผิด

พอเรามาคลายออกจากตรงนั้น ใจของเราก็ว้าเหว่วังเวง ไม่มีอะไร เพราะมีแต่ความว่างความบริสุทธิ์ เราก็มาสร้างพลังใจมาสร้างกำลังใจด้วยสติด้วยปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็อบรมใจ สติปัญญาเป็นเพื่อนของใจ สติเป็นผู้ดู จิตเป็นผู้รู้ ดูกับรู้อยู่ด้วยกันทำงานด้วยกัน ปัญญาเป็นตัวเกิด ใจรับรู้อยู่ภายใน ผิดถูกชั่วดีสติปัญญาไปแก้ไขอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีอะไรจะแก้ไข จนรอวันที่ธาตุขันธ์จะแตกดับกลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิด ก็ต้องพยายามกันนะ

อย่าไปทิ้งบุญ อยู่ที่ไหนเราก็พยายามทำบุญ ทำบุญให้ทานนี้เป็นพื้นฐานเลยทีเดียว ถ้าเราไม่มีความเสียสละ การให้ทานการเอาออกใจของเราก็ไม่เบาบางจากกิเลส เราทานออกใจของเราก็เบาบางจากกิเลส ทานลึกลงไปจนทานกิเลส ทานอารมณ์ ทานความยึดมั่นถือมั่น เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้ ใจไม่เกิด เราไม่อยากจะได้ความสงบเราก็ได้ แต่เราต้องศึกษาทำความเข้าใจชี้เหตุชี้ผลให้ทะลุปุโปร่งเสียก่อน

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีเหตุผลที่สุด เป็นศาสนาที่สอนถึงจุดหมายปลายทาง คือหลักของอนัตตา คือการปล่อยวาง มีทุกขั้นตอนตั้งแต่ศรัทธาความเชื่อมั่น เข้ามาแล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน เรามีสติปัญญาทางโลกเก่งกาจมากมายถึงขนาดไหนก็อย่าเอามาโต้แย้ง ให้ฝึกหัดปฏิบัติตามคำสอนของท่านเสียก่อน ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราให้ได้เสียก่อน ท่านถึงบอกให้เชื่อ ถ้าเรารู้ด้วยเห็นด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย เราจะระลึกถึงคุณของพระพุทธองค์ทันทีว่า ตั้งแต่หลายร้อยหลายพันปีท่านก็ค้นพบแล้วเอามาเปิดเผย เป็นสัจจะความจริงอันประเสริฐไม่เสื่อมสูญหายไปไหน ยังมีอยู่ในตัวของทุกคน ขอให้ค้นให้พบ ขอให้ละกิเลสให้ได้ ขอให้ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เราก็จะมองเห็นความเป็นจริงของชีวิต ไม่ทำให้จิตใจของเราตกเข้าไปสู่ความทุกข์เศร้าหมองอีกต่อไปในวันข้างหน้า

วันนี้มี วันพรุ่งนี้มี เดือนนี้มี เดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี สวรรค์นรกมี นิพพานมี ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีหมด แต่ต้องรู้ด้วยปัญญาเท่านั้น บุคคลที่มีสติมีปัญญาย่อมไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง ย่อมฝักใฝ่สร้างตบะ สร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมีจากน้อยๆ จนกว่าจะเต็มเปี่ยม ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง