หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 74
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 74
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 74
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบายวางกายให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าบังคับลมหายใจ อย่าเพ่งลมหายใจ อย่าเอาใจไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูก มีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละ ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละ
หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ให้ต่อเนื่อง ความรู้สึกพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกไม่เด่นชัด เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ สัมผัสของลมหายใจก็จะชัดเจน พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ นี่แหละที่ท่านเรียกว่า 'เจริญสติ'
สร้างความรู้ตัวให้มีให้เกิดขึ้นเพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจของตัวเรา ใจของเราทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งเป็นทาสของกิเลสสารพัดอย่าง เรามาเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปควบคุม เข้าไปวิเคราะห์ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ ใจหงายขึ้นมาได้ ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติได้ มองเห็นความเป็นจริงได้นั่นแหละ ถึงจะรู้จัก 'จุดปล่อยจุดวาง' ไม่ใช่ว่าจะวางได้ง่ายๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเขาเกี่ยวเนื่องกันมาตั้งนาน เป็นเรื่องของกรรมที่ติดตามตัวมาตั้งนาน
การเกิดของวิญญาณ การเกิดของขันธ์ห้า การเข้าไปรวมไปหลง การเป็นทาสของกิเลส ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปแก้ไข เข้าไปวิเคราะห์ แต่ละวันๆ ค่อยวิเคราะห์ค่อยพิจารณา ค่อยมองหาเหตุหาผล สักวันเราก็จะเห็นเหตุเห็นผล
ทำความเข้าใจให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวละกิเลสที่โน่นที่นี่ กิเลสมันเกิดขึ้นที่ใจของเรา กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมีอยู่ที่ใจของเราหมด เราพยายามเจริญสติลงที่กายลงที่ใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น มีแต่เรื่องของเรา
จากเรื่องของเรา จบเรื่องของเรา มันก็เรื่องของคนอื่น เรื่องของคนอื่นก็เป็นของคนอื่น เรามาทำหน้าที่ของเราให้จบ จบแล้วก็ยังประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ส่วนรวม ถ้าเราฝักใฝ่จริงๆ ประโยชน์ส่วนตัวนี่ตัดทิ้งไป ให้เหลือเฉพาะประโยชน์ส่วนรวม อยู่มีความสุข
ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติ ไปไหนมาไหนเราก็เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิน หรือไม่กลับมาเกิดกัน การเกิด…เกิดทางกายเนื้อก็คือทางอัตภาพร่างกายของเรา เกิดในทางจิตวิญญาณอีก จิตวิญญาณของเราเกิด แต่เวลานี้เขาทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด ทั้งเป็นทาสกิเลส ทะเยอทะยานอยากสารพัดอย่างที่มาห่อหุ้มดวงจิตของเราเอาไว้ เราถึงมาเจริญสติ ให้เจริญสติทำความเข้าใจแล้วก็จำแนกแจกแจง มองตัวเองให้ได้ แก้ไขตัวเราให้ได้ ก็ต้องพยายามกัน
ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีนั่นแหละ ให้มีความสมัครสมานสามัคคี อย่าไปอคติเพ่งโทษไปกล่าวโทษ ให้กล่าวโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน ก็เคยสร้างบุญร่วมกันนั่นแหละ ถึงได้มาอยู่ร่วมกัน บางคนบางท่านก็มีความเสียสละ บางคนบางท่านก็เพิ่งฝึกหัดฝึกเดิน ก็พยายามแก้ไขกันไป ช่วยเหลือกันไป อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตายเพราะเป็น ‘กฎของไตรลักษณ์’ กฎของความเป็นจริงซึ่งมีอยู่กับทุกคน ไม่ใช่ว่าเป็นของคนใดคนหนึ่ง มีกันทุกคน
ถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด เพราะว่ามีความเกิดก็มีความตาย ไม่อยากจะตายก็ต้องดับความเกิด แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด เราก็มาค่อยแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา งานสมมติเราก็ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย เราจากไป คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย เราอย่าปล่อยปละละเลย พยายามช่วยกันทุกอย่างทุกทาง
อะไรที่จะเป็นบุญเป็นกุศล อะไรที่จะเป็นประโยชน์ก็ให้รีบทำ รีบตักตวง รีบเอากำไรจากอัตภาพร่างกายชีวิตก้อนนี้ให้เต็มเปี่ยมก่อนที่เขาจะแตกดับ ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบายวางกายให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าบังคับลมหายใจ อย่าเพ่งลมหายใจ อย่าเอาใจไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูก มีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละ ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละ
หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ให้ต่อเนื่อง ความรู้สึกพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกไม่เด่นชัด เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ สัมผัสของลมหายใจก็จะชัดเจน พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ นี่แหละที่ท่านเรียกว่า 'เจริญสติ'
สร้างความรู้ตัวให้มีให้เกิดขึ้นเพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจของตัวเรา ใจของเราทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งเป็นทาสของกิเลสสารพัดอย่าง เรามาเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปควบคุม เข้าไปวิเคราะห์ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ ใจหงายขึ้นมาได้ ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติได้ มองเห็นความเป็นจริงได้นั่นแหละ ถึงจะรู้จัก 'จุดปล่อยจุดวาง' ไม่ใช่ว่าจะวางได้ง่ายๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเขาเกี่ยวเนื่องกันมาตั้งนาน เป็นเรื่องของกรรมที่ติดตามตัวมาตั้งนาน
การเกิดของวิญญาณ การเกิดของขันธ์ห้า การเข้าไปรวมไปหลง การเป็นทาสของกิเลส ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปแก้ไข เข้าไปวิเคราะห์ แต่ละวันๆ ค่อยวิเคราะห์ค่อยพิจารณา ค่อยมองหาเหตุหาผล สักวันเราก็จะเห็นเหตุเห็นผล
ทำความเข้าใจให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวละกิเลสที่โน่นที่นี่ กิเลสมันเกิดขึ้นที่ใจของเรา กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมีอยู่ที่ใจของเราหมด เราพยายามเจริญสติลงที่กายลงที่ใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น มีแต่เรื่องของเรา
จากเรื่องของเรา จบเรื่องของเรา มันก็เรื่องของคนอื่น เรื่องของคนอื่นก็เป็นของคนอื่น เรามาทำหน้าที่ของเราให้จบ จบแล้วก็ยังประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ส่วนรวม ถ้าเราฝักใฝ่จริงๆ ประโยชน์ส่วนตัวนี่ตัดทิ้งไป ให้เหลือเฉพาะประโยชน์ส่วนรวม อยู่มีความสุข
ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติ ไปไหนมาไหนเราก็เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิน หรือไม่กลับมาเกิดกัน การเกิด…เกิดทางกายเนื้อก็คือทางอัตภาพร่างกายของเรา เกิดในทางจิตวิญญาณอีก จิตวิญญาณของเราเกิด แต่เวลานี้เขาทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด ทั้งเป็นทาสกิเลส ทะเยอทะยานอยากสารพัดอย่างที่มาห่อหุ้มดวงจิตของเราเอาไว้ เราถึงมาเจริญสติ ให้เจริญสติทำความเข้าใจแล้วก็จำแนกแจกแจง มองตัวเองให้ได้ แก้ไขตัวเราให้ได้ ก็ต้องพยายามกัน
ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีนั่นแหละ ให้มีความสมัครสมานสามัคคี อย่าไปอคติเพ่งโทษไปกล่าวโทษ ให้กล่าวโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน ก็เคยสร้างบุญร่วมกันนั่นแหละ ถึงได้มาอยู่ร่วมกัน บางคนบางท่านก็มีความเสียสละ บางคนบางท่านก็เพิ่งฝึกหัดฝึกเดิน ก็พยายามแก้ไขกันไป ช่วยเหลือกันไป อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตายเพราะเป็น ‘กฎของไตรลักษณ์’ กฎของความเป็นจริงซึ่งมีอยู่กับทุกคน ไม่ใช่ว่าเป็นของคนใดคนหนึ่ง มีกันทุกคน
ถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด เพราะว่ามีความเกิดก็มีความตาย ไม่อยากจะตายก็ต้องดับความเกิด แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด เราก็มาค่อยแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา งานสมมติเราก็ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย เราจากไป คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย เราอย่าปล่อยปละละเลย พยายามช่วยกันทุกอย่างทุกทาง
อะไรที่จะเป็นบุญเป็นกุศล อะไรที่จะเป็นประโยชน์ก็ให้รีบทำ รีบตักตวง รีบเอากำไรจากอัตภาพร่างกายชีวิตก้อนนี้ให้เต็มเปี่ยมก่อนที่เขาจะแตกดับ ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา