หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 84 วันที่ 17 สิงหาคม 2563

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 84 วันที่ 17 สิงหาคม 2563
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 84 วันที่ 17 สิงหาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 84
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 17 สิงหาคม 2563

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราเพียงแค่การเจริญ การสร้างสติ ตรงนี้พวกเราก็ยังพากันทำไม่ชำนาญ ยังพากันเริ่มมั่งไม่เริ่มมั่ง เอาสติปัญญาไปวิเคราะห์ใจของเรายังไม่ได้เลย แต่ความอยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม ความเกิดนั้นมีอยู่

ความเกิดนั้นปิดกั้นตัวใจเอาไว้ชั้นละเอียดเลยแหละ แล้วก็ขันธ์ห้าอีก มาปิดกั้นตัวเราเอาไว้ เราก็ไปนึก ไปคิด ไปยึดติด ว่าตัวใจนั่นแหละคือตัวสติปัญญา มันก็เป็นสติปัญญาอยู่ แต่เป็นสติปัญญาของโลก ของสมมติ ไม่ใช่สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ที่หลวงพ่อพูดทุกวันชี้ทุกวัน

สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน คำว่า 'ปัจจุบัน' คือทุกขณะลมหายใจเข้า อันนี้เขาเรียกว่าปัจจุบัน หายใจออก อันนี้เขาก็เรียกว่าปัจจุบัน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออก ก็ยังทำกันไม่ชำนาญ ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง ส่วนศรัทธานั้นมีอยู่ การแสวงหานั้นมีอยู่

ถ้าตัวใจ ตัวขันธ์ห้า สติปัญญา รวมกันไปแสวงหา อันนี้ก็ไปทั้งก้อน รวมกันไปทั้งก้อน สติที่เราสร้างขึ้นมานี่เป็นตัวใหม่เป็นตัวใหม่ เราสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง แล้วรู้จักเอาไปวิเคราะห์ใจ ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างนี้ ขันธ์ห้าหรือว่าความคิดที่ผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ช่วงใหม่ๆ นี่จะอึดอัดสารพัดอย่าง

ถ้าเราเจริญสติ ฝืนความคิด ฝืนกิเลสต่างๆ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ นั่นแหละ ทุกอย่างก็จะเริ่มโล่งโปร่ง ทุกอย่างก็จะเริ่มเปิดทางให้ หรือว่าในหลักธรรมท่านเรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก’ แต่เราก็เห็นถูกอยู่ อยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมส่วนลึกๆ ส่วนต้นเหตุจริงๆ เราต้องคลายตรงนี้ สังเกตตรงนี้ คลายตรงนี้ คลายแล้วนั่นแหละเพียงแค่เริ่มต้น เริ่มต้นของความเห็นถูก

ใจส่งออกไปภายนอกนั้นเรียกว่าอะไร มันจะเข้าหลักของอริยสัจคือความจริง การเกิด การดับ นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า‘มันไม่เที่ยง’ ไม่ถาวร ขันธ์ห้าก็เขามีมาแต่ก่อน ใจมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าขึ้นมา เขาก็เลยอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ส่วนใจนั้นหลงมาตั้งนานแล้วแหละ หลงจนกระทั่งมาสร้างภพมนุษย์นี่แหละ ถ้านอกจากบุคคลที่เจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จนมองเห็นความเป็นจริง ถึงจะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่า ‘อนิจจัง ทุกขังอนัตตา’ ในกายของเรา เป็นอย่างนี้ วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างนี้ วิญญาณของเราหรือว่าใจของเราเกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ แล้วก็มายึดเอาตรงนี้ แต่เราไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวาง ถ้าใจคลายได้ ก็รู้เรื่องอัตตา อนัตตา ใจก็จะวางได้แต่การเกิดของใจยังมีอยู่ กิเลสของใจยังมีอยู่ เราต้องมาละ มาดับ

บุคคลมีสติ มีสติปัญญา มีบุญบารมี จะไม่ปล่อยเวลาทิ้งโดยเด็ดขาด ถ้าแยกแยะได้แล้ว ก็จะตามทำความเข้าใจให้รู้เรื่องทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไม่ค่อยสนใจ อันนี้ก็เป็นวิบากกรรมของแต่ละบุคคล เราจะไปบังคับกันไม่ได้ เราก็ชี้แนะให้กันได้ ทำอย่างนี้ๆ จะเกิดอย่างนี้ จะเห็นอย่างนี้ท่านถึงบอกให้เชื่อ อริยสัจมีอยู่อย่างนี้วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ เราละกิเลสได้อย่างไร มันมีอย่างนี้ ตัวไหนยังเหลืออยู่ ตัวไหนยังมีอยู่

ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความเสียสละของเรามีเพียงพอหรือเปล่า อยู่ในระดับไหน เอาตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความเกียจคร้านในการวิเคราะห์ ในการทำความเข้าใจ ในการสำรวจ ความเกียจคร้านในภาระหน้าที่การงานในทางสมมติ เราต้องพยายามกำจัดออกให้มันหมด ให้เหลือแต่ความขยันหมั่นเพียรความรับผิดชอบ ความเสียสละ มีอะไรก็ช่วยกัน ช่วยตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะปล่อยปละละเลย

ถ้าเราปล่อยปละละเลยมันก็เหมือนกับดินพอกหางหมู สะสมทีนั้น วันละเล็กวันละน้อย สะสมความเกียจคร้านวันละเล็กวันละน้อย ก็มากขึ้นๆๆ เสียดายเวลาด้วย แทนที่จะยกระดับใจของเราให้สูงขึ้น กลับทำใจของเราให้ต่ำลง ก็ต้องพยายาม เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น จะไปโทษแต่คนโน้น โทษคนนี้ ไม่เคยโทษตัวเอง แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง

ในหลักธรรมท่านให้แก้ไขตัวเรา ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด จนกระทั่งไม่มีอะไรให้แก้ไข ปล่อยวางหมด แม้ตั้งแต่ใจวิญญาณของเราก็ต้องปล่อยวางให้เป็นอิสรภาพ แต่เวลานี้เขาทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด ทั้งเป็นทาสของกิเลส สารพัดอย่าง

เราอาจจะไม่รู้เพราะว่าความหลงยังครอบงำอยู่ เราทุกคนก็ปรารถนาดีกันหมดนั่นแหละ อยากจะดับทุกข์ อยากจะหลุดพ้นกันหมดนั่นแหละ แต่ความหลงยังครอบงำอยู่ ถ้าเราไม่มาปฏิวัติตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ก็ยากที่จะเข้าใจ ไม่มีใครที่จะแก้ไขให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเรา ก็ต้องพยายามพิจารณาตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกก่อนที่จะเป็นทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก เราก็ต้องเจริญสติ ไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วยังไม่พอ เราต้องขัดเกลากิเลส ชี้เหตุชี้ผล ใจของเราก็จะเบาบางลงไปเรื่อยๆ ถ้ากำลังสติของเรามีเพียงพอ อานิสงส์ของเรามีเพียงพอ ใจก็จะคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ อันนี้เพียงแค่เริ่มต้น ถ้าการตามทำความเข้าใจไม่มีอีก เขาก็จะซึมสู่สภาพเดิมอีก

ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มันก็ได้แค่ปฏิบัติแบบหลงๆ นั่นแหละ เราต้องให้ทะลุปรุโปร่ง ทุกเรื่อง ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ทุกเรื่อง กิเลสหยาบเป็นกุศลหรืออกุศล กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร นิวรณธรรมเป็นอย่างไร สติพลั้งเผลอได้ยังไง มันก็มีไม่มากหรอก ถ้าเราเข้าใจ

น้อมกายน้อมใจของเราเข้ามา ทำให้มันถึงจุดหมายปลายทาง เรามัวตั้งแต่เมาเล่น เล่นอันโน้นเล่นอันนี้ ไปไม่ถึงจุดหมายสักที เพราะว่ากิเลสมันปิดกั้นเอาไว้ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่กิเลสเขาก็ยิ่งไม่ยอมถอย เขาก็หาทางเล่นงานเราตลอดกำลังฝ่ายไหนจะเยอะ กำลังฝ่ายสติปัญญา ฝ่ายกุศลจะเยอะ หรือว่ากำลังฝ่ายอกุศลมันเยอะ เราก็ค่อยสร้างตบะสร้างบารมีของเราไป

ใจของเรามีความอยากไหม มีความโลภไหม ความโลภ ความโกรธ เป็นยังไง หน้าตาอาการของมันเป็นยังไง เรารู้ตั้งแต่ชื่อ แต่ส่วนมากเราไม่เคยเห็นเวลาเขาเกิด หน้าตาอาการเริ่มเกิดยังไง ก่อตัวยังไง ตามดู ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ อย่าไปมัวเมาเล่น

ทุกสิ่งทุกอย่าง สมมติเราก็ขยันหมั่นเพียร ทำหน้าที่ของเราให้ดี เราทำหน้าที่ของเราได้ อานิสงส์ก็ส่งผล เราก็ได้รับอานิสงส์นั้นด้วย คนอื่นก็ได้รับอานิสงส์นั้นด้วย ไม่เป็นของใครหรอก เป็นสมบัติของส่วนกลาง เป็นสมบัติของโลก เรายืมโลกมาใช้ เราอาศัยโลกอยู่ ทำอย่างไรถึงจะเป็นสิริมงคล เป็นอานิสงส์ เราก็เลือกเอา เลือกเอา ในท้ายสุดเราก็ปล่อยวางหมดนั่นแหละ ไม่เอา ไม่มีอะไรสักอย่าง

จากมี เราก็คลายออกไม่ให้มี แล้วก็มามีใหม่ ด้วยสติด้วยปัญญา เพื่อยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข แล้วก็กายเนื้อแตกดับ เราก็มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ขึ้นอยู่ที่เรานั่นแหละ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ไหนหรอก

เรามาอยู่สมมติร่วมกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่คนละทิศละที่ ก็มาอาศัยกันอยู่ เราก็ให้รู้จักรักสมัครสมานสามัคคี รู้จักสำรวมกาย รู้จักสำรวมวาจา จนกระทั่งความคิด อะไรควรคิดหรือไม่ควรคิด จนกระทั่งดับความเกิด หรือความคิดที่เกิดจากใจ ชี้เหตุชี้ผลให้มันได้หมด เหลือตั้งแต่ปัญญาไปเกิดแทน แม้แต่ปัญญาเป็นอกุศล เราก็ไม่ให้เกิด ก็ต้องพยายามกันนะ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ

เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง