หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 80 วันที่ 12 สิงหาคม 2563 (2/2)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 80 วันที่ 12 สิงหาคม 2563 (2/2)
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 80
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 สิงหาคม 2563 (2/2)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่ง ก็ยังดีกว่า ดีกว่าไม่ได้ทำนะ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
แต่ปัญญาทางโลกโลกีย์ของทุกคนนั้นมีเต็มเปี่ยม อาจอยู่ในกุศล อกุศลบ้าง ฝักใฝ่ในบุญบ้างอันนั้นมันเป็นปัญญาของโลกเขา เรามาคลายใจออกจากตรงนั้น ออกจากความคิด ดับความเกิดของเราให้ได้ กระตุ้นสติปัญญาของเราให้เข้มแข็ง เอาไปใช้การใช้งาน ชี้เหตุชี้ผล จนใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราได้นั่นแหละ
ใจก็อยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราเป็นบางครั้งบางช่วงบางคราว แต่ไม่ได้เห็นเหตุเห็นผลที่แท้จริง ทุกคนมีกันหมด ขันธ์ห้าก็มีกันหมด กิเลสก็มีกันหมด บางคนก็เบาบาง บางคนก็ยังเยอะอยู่ ก็ต้องมาแก้ไขตัวเรา ดูแลหน้าที่ ทำความเข้าใจของเราให้ถึงจุดหมาย ได้บ้างไม่ได้บ้างก็อย่าไปทิ้ง อย่าไปทิ้งในการทำบุญ ในการให้ทาน เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้น ทำบุญให้กับตัวเราก่อน
เรามีความเกียจคร้านหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า เรารู้จักตักตวงหากำไรในกายก้อนนี้ของเราได้ไหม เราก็อย่าไปท้อ ถ้าเราชนะเรา เราก็จะชนะหมด มีแต่ค่อยพัฒนาระดับใจไปเรื่อยๆ ถ้าไม่หลุดพ้นวันนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ถ้าเรารู้ความจริงมันจะไปต่อเอาภพหน้า ธาตุขันธ์แตกดับ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ เขาก็ต้องเกิด
ถ้าเรามาดับความเกิดขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เราก็มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน แต่ก็ต้องพยายาม พยายามด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ได้พยายามด้วยความอยากของกิเลสที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า เราต้องรู้เรื่องชีวิตของเราให้ได้
หมดลมหายใจไม่มีอะไรที่จะเอาไปได้ นอกจากบุญกับบาป มีอยู่สองเรื่องนี้แหละ ถ้าสูงขึ้นไปก็ละบาปสร้างบุญ ทำใจให้บริสุทธิ์ ทำใจให้สะอาด แล้วก็ดับความเกิดของใจ เรามาใช้ชีวิตอยู่กับสมมติ เราก็ต้องเคารพสมมติ สมมติว่าเป็นโน่นเป็นนี่ ก็เป็นด้วยหน้าที่ เป็นด้วยสติ เป็นด้วยปัญญา ถึงวาระเวลาเราก็วางหมดทุกอย่างเลย..วางหมดทุกอย่าง ให้ประกาศด้วยตัวเอง ให้เห็นด้วยตัวเอง
ท่านถึงบอกให้เชื่อ เราอย่าเอาความคิดเก่า ทิฐิเก่า มานะเก่าๆ ของเรามาโต้แย้ง นั่นอาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้ว ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ความเกิดของใจนั่นแหละคือหลง ความหลงอันละเอียดที่สุด หลงเกิดยังไม่พอ แล้วก็หลงมาสร้างภพมนุษย์ ก็มายึดติดคือร่างกายของเรานี้อีก เราหลงเป็นทาสของความอยากอีก ทั้งยึดทั้งอยาก ทั้งหวัง ทั้งความอยากความหวัง สารพัดอย่าง มันมาปิดกั้นตัวตัวใจเขา ปิดกันตัวเองเอาไว้ ท่านถึงให้มาเจริญสติลงที่กายของเรา แล้วก็ทำให้ต่อเนื่อง ทำให้ต่อเนื่องจนเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลจนใจยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะปล่อยวางได้
ถึงเราปล่อยวางไม่ได้ เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักควบคุม อยู่ในระดับของสมมติ จนกว่าใจของเราจะหลุดพ้นออกจากทุกสิ่งทุกอย่างได้ ดับความเกิดได้ ละกิเลสได้ วางใจให้เป็นอิสรภาพ อยู่ในความบริสุทธิ์ รอตั้งแต่ธาตุขันธ์แตกดับ กว่าจะถึงธาตุขันธ์แตกดับ เวลานี้เราก็พยายามสร้างประโยชน์ทั้งสมมติ ทั้งส่วนวิมุตติทางด้านจิตใจของเราให้มันจบส่วนวิมุตติ
ทางสมมติเราก็ยังประโยชน์ให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มันก็ บุญก็ สมมติก็ ทำให้เต็มเปี่ยม แต่เราไม่ได้ยึด ให้อยู่ ไม่ยึดติด ให้อยู่เหนือสิ่งพวกนี้ มันก็วิบากกรรมเก่าก็ตามไม่ทันกรรมใหม่ก็ไม่ยึด ปล่อยวางหมดก็เลยอยู่เหนือบุญเหนือบาป สนุกสร้างบุญขึ้นทันที
จิตใจของคนเรานี้ พอมาฝึกใหม่ๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นะ.. เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้ ขันธ์ห้าก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้ ส่วนมากเราก็กลมกลืนหลงกันไปด้วยกัน คิดก็รู้ ทำก็รู้ แต่เราไม่ได้เคยจำแนกแจกแจงที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณ กองรูปกองนาม กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ใจของเราทำหน้าที่อย่างไร มันก็อาจจะทำหน้าที่ในระดับของสมมติ ได้ถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ
แต่เราต้องให้รู้ลึกๆ รู้การเกิด การดับ การแยก การคลาย สิ่งพวกนี้ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะรู้ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรนี่ไม่รู้ มันก็หลง.. หลงอยู่ในคุณงามความดี หลงอยู่ในความเกิด แต่การเกิดนั้นเราหนุน เราตั้งสติ หนุนความเกิดดับความเกิดของใจ หนุนกำลังสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาไปเกิดแทน ไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง ผิดถูกชั่วดี ให้ใจรับรู้ สติปัญญาไปแก้ไข ไม่ให้ใจมันกระโดดเข้าไปรวม ไปร่วม ไปหลง
ใจเกิดกิเลส เกิดเมื่อไหร่เราก็ค่อยจัดการกับใจ จนกว่าจะเข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริง ธรรมชาติของใจไม่มีกิเลส เขาก็ว่าง ใจไม่เกิดเขาก็นิ่ง
ความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เขาจะเป็นธรรมชาติของเขา ถ้าเขารู้ความเป็นจริงตรงนี้ การเกิดเขาก็ไม่เกิด เอาเชือกเอาอะไรฉุดมาดึงมันก็ไม่เกิด เขาจะอยู่ในความบริสุทธิ์
ความเกิดก็เป็นทุกข์ คือความไม่เที่ยง นั่นแหละขันธ์ห้า เรารู้ความจริงแล้วก็ค่อยละที่นั้นที่นี้ มันก็เหือดแห้งไป การเกิดของใจเราก็มาละ เราต้องมาคลายเสียก่อน แล้วก็มาดับความเกิดด้วยสติด้วยปัญญา สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่ก็จะเป็นผู้รู้
ส่วนตัวใจนั้นเป็นธาตุรู้ รู้ทั้งสองอย่าง แล้วก็บริหารให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราครอบครัวของเราก็ดูแลครอบครัวของเราให้ดี ดูกายดูใจไปด้วยกัน เป็นเรือลำใหญ่ ถ้าเรือลำเล็กก็ไปเดี่ยว ก็ไปได้เร็วได้ไว เหมือนกับนก ไปไหนก็บินไปเลย แต่คนที่มีพันธะภาระต่างๆ เราเปลี่ยนภาระมาเป็นหน้าที่ จากหน้าที่มาเป็นความรับผิดชอบ รู้จักการอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำหน้าที่ของตัวเราให้มันถูก มันก็จะไปด้วยดี
ส่วนมากก็มีแต่เรื่องของคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้เรื่องของตัวเอง ต้องแก้ไขเรื่องของเรามันจบ แต่ละวันๆ แต่ละนาที จนไม่มีอะไรที่จะมาให้เราแก้ไข รู้จักชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล แก้ไข รู้เท่า รู้ทัน รู้กัน รู้แก้ แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ มันจะตามมาปัญญาฝ่ายศึกษาค้นคว้าฝ่ายเห็นความเป็นจริง จนกระทั่งถึงปัญญาฝ่ายดับฝ่ายเกิด มันจะตามมาหมด ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้ได้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 สิงหาคม 2563 (2/2)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่ง ก็ยังดีกว่า ดีกว่าไม่ได้ทำนะ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
แต่ปัญญาทางโลกโลกีย์ของทุกคนนั้นมีเต็มเปี่ยม อาจอยู่ในกุศล อกุศลบ้าง ฝักใฝ่ในบุญบ้างอันนั้นมันเป็นปัญญาของโลกเขา เรามาคลายใจออกจากตรงนั้น ออกจากความคิด ดับความเกิดของเราให้ได้ กระตุ้นสติปัญญาของเราให้เข้มแข็ง เอาไปใช้การใช้งาน ชี้เหตุชี้ผล จนใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราได้นั่นแหละ
ใจก็อยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราเป็นบางครั้งบางช่วงบางคราว แต่ไม่ได้เห็นเหตุเห็นผลที่แท้จริง ทุกคนมีกันหมด ขันธ์ห้าก็มีกันหมด กิเลสก็มีกันหมด บางคนก็เบาบาง บางคนก็ยังเยอะอยู่ ก็ต้องมาแก้ไขตัวเรา ดูแลหน้าที่ ทำความเข้าใจของเราให้ถึงจุดหมาย ได้บ้างไม่ได้บ้างก็อย่าไปทิ้ง อย่าไปทิ้งในการทำบุญ ในการให้ทาน เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้น ทำบุญให้กับตัวเราก่อน
เรามีความเกียจคร้านหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า เรารู้จักตักตวงหากำไรในกายก้อนนี้ของเราได้ไหม เราก็อย่าไปท้อ ถ้าเราชนะเรา เราก็จะชนะหมด มีแต่ค่อยพัฒนาระดับใจไปเรื่อยๆ ถ้าไม่หลุดพ้นวันนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ถ้าเรารู้ความจริงมันจะไปต่อเอาภพหน้า ธาตุขันธ์แตกดับ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ เขาก็ต้องเกิด
ถ้าเรามาดับความเกิดขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เราก็มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน แต่ก็ต้องพยายาม พยายามด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ได้พยายามด้วยความอยากของกิเลสที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า เราต้องรู้เรื่องชีวิตของเราให้ได้
หมดลมหายใจไม่มีอะไรที่จะเอาไปได้ นอกจากบุญกับบาป มีอยู่สองเรื่องนี้แหละ ถ้าสูงขึ้นไปก็ละบาปสร้างบุญ ทำใจให้บริสุทธิ์ ทำใจให้สะอาด แล้วก็ดับความเกิดของใจ เรามาใช้ชีวิตอยู่กับสมมติ เราก็ต้องเคารพสมมติ สมมติว่าเป็นโน่นเป็นนี่ ก็เป็นด้วยหน้าที่ เป็นด้วยสติ เป็นด้วยปัญญา ถึงวาระเวลาเราก็วางหมดทุกอย่างเลย..วางหมดทุกอย่าง ให้ประกาศด้วยตัวเอง ให้เห็นด้วยตัวเอง
ท่านถึงบอกให้เชื่อ เราอย่าเอาความคิดเก่า ทิฐิเก่า มานะเก่าๆ ของเรามาโต้แย้ง นั่นอาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้ว ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ความเกิดของใจนั่นแหละคือหลง ความหลงอันละเอียดที่สุด หลงเกิดยังไม่พอ แล้วก็หลงมาสร้างภพมนุษย์ ก็มายึดติดคือร่างกายของเรานี้อีก เราหลงเป็นทาสของความอยากอีก ทั้งยึดทั้งอยาก ทั้งหวัง ทั้งความอยากความหวัง สารพัดอย่าง มันมาปิดกั้นตัวตัวใจเขา ปิดกันตัวเองเอาไว้ ท่านถึงให้มาเจริญสติลงที่กายของเรา แล้วก็ทำให้ต่อเนื่อง ทำให้ต่อเนื่องจนเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลจนใจยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะปล่อยวางได้
ถึงเราปล่อยวางไม่ได้ เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักควบคุม อยู่ในระดับของสมมติ จนกว่าใจของเราจะหลุดพ้นออกจากทุกสิ่งทุกอย่างได้ ดับความเกิดได้ ละกิเลสได้ วางใจให้เป็นอิสรภาพ อยู่ในความบริสุทธิ์ รอตั้งแต่ธาตุขันธ์แตกดับ กว่าจะถึงธาตุขันธ์แตกดับ เวลานี้เราก็พยายามสร้างประโยชน์ทั้งสมมติ ทั้งส่วนวิมุตติทางด้านจิตใจของเราให้มันจบส่วนวิมุตติ
ทางสมมติเราก็ยังประโยชน์ให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มันก็ บุญก็ สมมติก็ ทำให้เต็มเปี่ยม แต่เราไม่ได้ยึด ให้อยู่ ไม่ยึดติด ให้อยู่เหนือสิ่งพวกนี้ มันก็วิบากกรรมเก่าก็ตามไม่ทันกรรมใหม่ก็ไม่ยึด ปล่อยวางหมดก็เลยอยู่เหนือบุญเหนือบาป สนุกสร้างบุญขึ้นทันที
จิตใจของคนเรานี้ พอมาฝึกใหม่ๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นะ.. เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้ ขันธ์ห้าก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้ ส่วนมากเราก็กลมกลืนหลงกันไปด้วยกัน คิดก็รู้ ทำก็รู้ แต่เราไม่ได้เคยจำแนกแจกแจงที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณ กองรูปกองนาม กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ใจของเราทำหน้าที่อย่างไร มันก็อาจจะทำหน้าที่ในระดับของสมมติ ได้ถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ
แต่เราต้องให้รู้ลึกๆ รู้การเกิด การดับ การแยก การคลาย สิ่งพวกนี้ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะรู้ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรนี่ไม่รู้ มันก็หลง.. หลงอยู่ในคุณงามความดี หลงอยู่ในความเกิด แต่การเกิดนั้นเราหนุน เราตั้งสติ หนุนความเกิดดับความเกิดของใจ หนุนกำลังสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาไปเกิดแทน ไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง ผิดถูกชั่วดี ให้ใจรับรู้ สติปัญญาไปแก้ไข ไม่ให้ใจมันกระโดดเข้าไปรวม ไปร่วม ไปหลง
ใจเกิดกิเลส เกิดเมื่อไหร่เราก็ค่อยจัดการกับใจ จนกว่าจะเข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริง ธรรมชาติของใจไม่มีกิเลส เขาก็ว่าง ใจไม่เกิดเขาก็นิ่ง
ความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เขาจะเป็นธรรมชาติของเขา ถ้าเขารู้ความเป็นจริงตรงนี้ การเกิดเขาก็ไม่เกิด เอาเชือกเอาอะไรฉุดมาดึงมันก็ไม่เกิด เขาจะอยู่ในความบริสุทธิ์
ความเกิดก็เป็นทุกข์ คือความไม่เที่ยง นั่นแหละขันธ์ห้า เรารู้ความจริงแล้วก็ค่อยละที่นั้นที่นี้ มันก็เหือดแห้งไป การเกิดของใจเราก็มาละ เราต้องมาคลายเสียก่อน แล้วก็มาดับความเกิดด้วยสติด้วยปัญญา สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่ก็จะเป็นผู้รู้
ส่วนตัวใจนั้นเป็นธาตุรู้ รู้ทั้งสองอย่าง แล้วก็บริหารให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราครอบครัวของเราก็ดูแลครอบครัวของเราให้ดี ดูกายดูใจไปด้วยกัน เป็นเรือลำใหญ่ ถ้าเรือลำเล็กก็ไปเดี่ยว ก็ไปได้เร็วได้ไว เหมือนกับนก ไปไหนก็บินไปเลย แต่คนที่มีพันธะภาระต่างๆ เราเปลี่ยนภาระมาเป็นหน้าที่ จากหน้าที่มาเป็นความรับผิดชอบ รู้จักการอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำหน้าที่ของตัวเราให้มันถูก มันก็จะไปด้วยดี
ส่วนมากก็มีแต่เรื่องของคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้เรื่องของตัวเอง ต้องแก้ไขเรื่องของเรามันจบ แต่ละวันๆ แต่ละนาที จนไม่มีอะไรที่จะมาให้เราแก้ไข รู้จักชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล แก้ไข รู้เท่า รู้ทัน รู้กัน รู้แก้ แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ มันจะตามมาปัญญาฝ่ายศึกษาค้นคว้าฝ่ายเห็นความเป็นจริง จนกระทั่งถึงปัญญาฝ่ายดับฝ่ายเกิด มันจะตามมาหมด ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้ได้ทุกอิริยาบถ