หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 76 วันที่ 9 สิงหาคม 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 76 วันที่ 9 สิงหาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 76
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 9 สิงหาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่เช้ามา เราได้น้อมสังเกต เราได้ทำความเข้าใจ กับกายกับใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามเริ่มเสียนะ
เพียงแค่การเจริญสติสร้างความรู้ตัว อย่างน้อยๆ ก็ทำบ้าง ให้ต่อเนื่องกันสักหน่อยก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ถ้าคนขยันหมั่นเพียรขึ้นไปอีก เราก็พยายามทำให้ได้ทุกอิริยาบถ เราก็รู้จักเอาสติปัญญาของเราไปใช้ เอาไปรู้เท่ารู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไรใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่สงบนิ่งเป็นอย่างไร
เราพยายามรู้เท่ารู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักกันรู้จักแก้ มองเห็นตามความเป็นจริงพิจารณาอยู่บ่อยๆ ทำความเข้าใจบ่อยๆ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักดับ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เรามีโอกาสมากที่สุดขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่นี่แหละ อาศัยร่างกายก้อนนี้แล้วก็ไปยังประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ให้ได้ก่อนจะหมดลมหายใจ
มีเรื่องเดียว เรื่องการสำรวจการแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา หัดวิเคราะห์ อันนี้ส่วนรูปนะ อันนี้ส่วนนามนะ ในกายก้อนนี้มีอะไรบ้าง ที่ท่านว่ามีอยู่ ห้าขันธ์ มีเป็นกองเป็นขันธ์ แต่พวกเรามองเห็นเป็นกลุ่มเป็นก้อน เพราะว่าเรายังรวมกันอยู่ เรายังเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ จนแยกไม่ได้ ถ้าเราแยกได้ เราสร้างความรู้ตัวขึ้นมา ในกายก้อนนี้
เราต้องสร้างผู้รู้ขึ้นมาใหม่ ส่วนใจการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม มีมาตั้งนาน มีอยู่เดิม ถ้าเรารู้ไม่ทันการเกิดของใจเราก็ดับเอาไว้ ด้วยสมถะหรือว่ากำหนดลมหายใจหรือว่าสร้างความรู้สึกให้ยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
หลวงพ่อก็จะพูดตั้งแต่ขั้นต้นนี้แหละ ในเรื่องขั้นต้นเล็กๆ น้อยๆ เนี่ยพวกเรายังทำกันไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ แต่การทำบุญให้ทาน ปรารถนาอยากจะได้ความสุขตรงนั้นมีอยู่ แต่การเริ่มต้นที่จะเข้าไปดู เข้าไปแยก เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปรู้เห็นตามความเป็นจริง ตรงนี้มันมีอยู่บ้างนิดหน่อยไม่ค่อยจะมีพลังพอที่จะเข้าไปแก้ไขใจของเราได้ ทั้งที่การเกิดของใจนั้นมีอยู่ตลอด
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความเกิดความคิดของเรานั่นแหละ คือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิดถ้าเรารู้ตรงนี้ เราก็จะมองเห็นเข้าใจคำว่า ‘อัตตา-อนัตตา’ ‘อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา’ ‘เรื่องรูป-เรื่องนาม’ เข้าใจหมดเลย ที่นี้เราจะละได้หรือไม่เท่านั้นเอง ความเพียรของเราจะละได้หรือไม่ แต่เราก็อย่าไปทิ้งในการสร้างบุญสร้างบารมี เราอยู่ที่ไหนบุญ เราต้องสร้าง สร้างกุศลสร้างบุญ ให้มีให้เกิดขึ้น จิตใจของเราก็จะเบาบาง
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เพียงแค่ระดับของสมมติของโลกีย์ เราก็มีความขยันหมั่นเพียร ถ้าเรามีความเกียจคร้านเข้าครอบงำ มันก็มากขึ้นๆ ยิ่งห่างไกล ถ้าเราไม่ขัดเกลากิเลสมันคงจะหนาขึ้นๆ เหมือนกันกับดินพอกหางหมูเลยทีเดียว แต่ก็ไม่เหลือวิสัย อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสหมด
จงทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดหมาย ไม่บรรลุวันนี้ ก็บรรลุวันพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ไม่ถึงจุดหมายจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้า เพราะว่าการเกิดของใจมีอยู่ ภพภูมิต่างๆ มีอยู่ พวกเราได้มาอาศัยขณะนี้คือเขาเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ ภพมนุษย์ ภพสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เทวดา สวรรค์ มีหมด จนกระทั่งถึงนิพพาน
ท่านให้ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ ให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ แต่พวกเราดำเนินไม่ถึง ก็เลยไม่รู้เรื่องนี้เท่าไหร่ ถ้าบุคคลมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ไม่ทำด้วยความอยาก ทั้งความอยาก ทั้งความหวังเนี่ย ก็ปิดกั้นเอาไว้หมดนั่นแหละ ความเกิดของใจก็ปิดกั้นเอาไว้หมดนั่นแหละ
นอกจากบุคคลที่สังเกตจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ตามดูได้ รู้เห็นได้ ให้ใจว่างรับรู้อยู่ อันนี้ถึงเรียกว่า ’ปัญญาธรรม’ ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ คือความเห็นถูก เห็นถูกคือใจไม่ให้ไปหลงไปยึด ถ้าใจเข้าไปรวมอยู่ตรงนั้น กายก็หนัก ใจก็หนัก
แสวงหาธรรมแต่ไม่รู้จักธรรม เจริญสติแต่ไม่รู้จักจะเอาสติปัญญาไปใช้ มันก็เลยมองในส่วนลึกๆ ไม่เห็น เราก็ต้องพยายามกันให้รู้ตัว รู้กาย แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจรู้จักใจตัวเอง มีเรื่องเดียวเท่านี้แหละ ที่ทุกคนจะต้องดำเนินให้ถึง
ถ้าเราเจริญสติ จนไปเห็นการแยกการคลายยิ่งสนุกนะ ไม่ใช่ว่าไม่สนุก สนุกมีความสุขว่ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน เผลอแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เหตุเกิดจากภายนอกภายใน ต้องดูให้ได้ทุกเรื่อง ไม่จำเป็น..ปัญญาเยอะๆ แล้วถ้าเป็นปัญญาโลกีย์นั้นก็ยิ่งทุกข์หนัก ปัญญาดูใจ รู้ใจ แก้ไขใจของเราแต่ละวันๆๆ แล้วก็มีความขยันหมั่นเพียร รอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในโลกธรรม แล้วก็รอบรู้ในดวงใจของเราในกายของเรา มีความสุขตลอดเวลา
ท่านถึงว่าทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ทำความเข้าใจกับภาษาโลก ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง แก้ไขใจของเรา ใจเกิดความโลภก็พยายามละความโลภ ใจให้เกิดความโกรธละความโกรธ โดยการให้อภัย อโหสิกรรม ด้วยกันละความตระหนี่เหนียวแน่น เราละกิเลสได้หมด เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ เราก็ได้ เราดับความเกิดของใจได้ เราไม่อยากจะได้นิพพาน เราก็ได้ ใจว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น อันนี้ต้องให้ปรากฏขึ้นที่เราจริงๆ ท่านถึงบอกให้เชื่อ
อย่าไปปิดกั้นตัวเรา อย่าไปปิดกั้นว่าไม่มีโอกาสไม่มีวาสนา ทุกสิ่งมีโอกาสมีวาสนาหมดนั่นแหละ ถ้าคนเรารู้จักตักตวงเอา ก็ต้องพยายามกันนะ
แม้แต่ร่างกายของเรานี่ก็ยืมโลกมา ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็คือร่างกายของเรานี่แหละ ร่างกายของเราก็ ต่อไปสลายไปก็กลายเป็นดิน เป็นน้ำ ทุกอย่างลงอยู่ที่ไตรลักษณ์หมด ถ้าเรามารู้จักพิจารณาแล้วก็รีบตักตวง บุญสมมติ บุญวิมุตติ ได้หมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ใกล้อยู่ไกล หรืออยู่ที่ไหน ถ้าเรามีโอกาสก็ให้รีบทำ อย่าไปทิ้งบุญ บุญมากก็เป็นของเรา บุญน้อยก็เป็นของเรา อานิสงส์แห่งบุญก็จะคุ้มครองเรา จนกว่าจะถึงจุดหมายกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 9 สิงหาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่เช้ามา เราได้น้อมสังเกต เราได้ทำความเข้าใจ กับกายกับใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามเริ่มเสียนะ
เพียงแค่การเจริญสติสร้างความรู้ตัว อย่างน้อยๆ ก็ทำบ้าง ให้ต่อเนื่องกันสักหน่อยก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ถ้าคนขยันหมั่นเพียรขึ้นไปอีก เราก็พยายามทำให้ได้ทุกอิริยาบถ เราก็รู้จักเอาสติปัญญาของเราไปใช้ เอาไปรู้เท่ารู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไรใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่สงบนิ่งเป็นอย่างไร
เราพยายามรู้เท่ารู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักกันรู้จักแก้ มองเห็นตามความเป็นจริงพิจารณาอยู่บ่อยๆ ทำความเข้าใจบ่อยๆ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักดับ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เรามีโอกาสมากที่สุดขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่นี่แหละ อาศัยร่างกายก้อนนี้แล้วก็ไปยังประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ให้ได้ก่อนจะหมดลมหายใจ
มีเรื่องเดียว เรื่องการสำรวจการแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา หัดวิเคราะห์ อันนี้ส่วนรูปนะ อันนี้ส่วนนามนะ ในกายก้อนนี้มีอะไรบ้าง ที่ท่านว่ามีอยู่ ห้าขันธ์ มีเป็นกองเป็นขันธ์ แต่พวกเรามองเห็นเป็นกลุ่มเป็นก้อน เพราะว่าเรายังรวมกันอยู่ เรายังเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ จนแยกไม่ได้ ถ้าเราแยกได้ เราสร้างความรู้ตัวขึ้นมา ในกายก้อนนี้
เราต้องสร้างผู้รู้ขึ้นมาใหม่ ส่วนใจการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม มีมาตั้งนาน มีอยู่เดิม ถ้าเรารู้ไม่ทันการเกิดของใจเราก็ดับเอาไว้ ด้วยสมถะหรือว่ากำหนดลมหายใจหรือว่าสร้างความรู้สึกให้ยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
หลวงพ่อก็จะพูดตั้งแต่ขั้นต้นนี้แหละ ในเรื่องขั้นต้นเล็กๆ น้อยๆ เนี่ยพวกเรายังทำกันไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ แต่การทำบุญให้ทาน ปรารถนาอยากจะได้ความสุขตรงนั้นมีอยู่ แต่การเริ่มต้นที่จะเข้าไปดู เข้าไปแยก เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปรู้เห็นตามความเป็นจริง ตรงนี้มันมีอยู่บ้างนิดหน่อยไม่ค่อยจะมีพลังพอที่จะเข้าไปแก้ไขใจของเราได้ ทั้งที่การเกิดของใจนั้นมีอยู่ตลอด
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความเกิดความคิดของเรานั่นแหละ คือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิดถ้าเรารู้ตรงนี้ เราก็จะมองเห็นเข้าใจคำว่า ‘อัตตา-อนัตตา’ ‘อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา’ ‘เรื่องรูป-เรื่องนาม’ เข้าใจหมดเลย ที่นี้เราจะละได้หรือไม่เท่านั้นเอง ความเพียรของเราจะละได้หรือไม่ แต่เราก็อย่าไปทิ้งในการสร้างบุญสร้างบารมี เราอยู่ที่ไหนบุญ เราต้องสร้าง สร้างกุศลสร้างบุญ ให้มีให้เกิดขึ้น จิตใจของเราก็จะเบาบาง
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เพียงแค่ระดับของสมมติของโลกีย์ เราก็มีความขยันหมั่นเพียร ถ้าเรามีความเกียจคร้านเข้าครอบงำ มันก็มากขึ้นๆ ยิ่งห่างไกล ถ้าเราไม่ขัดเกลากิเลสมันคงจะหนาขึ้นๆ เหมือนกันกับดินพอกหางหมูเลยทีเดียว แต่ก็ไม่เหลือวิสัย อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสหมด
จงทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดหมาย ไม่บรรลุวันนี้ ก็บรรลุวันพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ไม่ถึงจุดหมายจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้า เพราะว่าการเกิดของใจมีอยู่ ภพภูมิต่างๆ มีอยู่ พวกเราได้มาอาศัยขณะนี้คือเขาเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ ภพมนุษย์ ภพสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เทวดา สวรรค์ มีหมด จนกระทั่งถึงนิพพาน
ท่านให้ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ ให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ แต่พวกเราดำเนินไม่ถึง ก็เลยไม่รู้เรื่องนี้เท่าไหร่ ถ้าบุคคลมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ไม่ทำด้วยความอยาก ทั้งความอยาก ทั้งความหวังเนี่ย ก็ปิดกั้นเอาไว้หมดนั่นแหละ ความเกิดของใจก็ปิดกั้นเอาไว้หมดนั่นแหละ
นอกจากบุคคลที่สังเกตจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ตามดูได้ รู้เห็นได้ ให้ใจว่างรับรู้อยู่ อันนี้ถึงเรียกว่า ’ปัญญาธรรม’ ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ คือความเห็นถูก เห็นถูกคือใจไม่ให้ไปหลงไปยึด ถ้าใจเข้าไปรวมอยู่ตรงนั้น กายก็หนัก ใจก็หนัก
แสวงหาธรรมแต่ไม่รู้จักธรรม เจริญสติแต่ไม่รู้จักจะเอาสติปัญญาไปใช้ มันก็เลยมองในส่วนลึกๆ ไม่เห็น เราก็ต้องพยายามกันให้รู้ตัว รู้กาย แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจรู้จักใจตัวเอง มีเรื่องเดียวเท่านี้แหละ ที่ทุกคนจะต้องดำเนินให้ถึง
ถ้าเราเจริญสติ จนไปเห็นการแยกการคลายยิ่งสนุกนะ ไม่ใช่ว่าไม่สนุก สนุกมีความสุขว่ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน เผลอแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เหตุเกิดจากภายนอกภายใน ต้องดูให้ได้ทุกเรื่อง ไม่จำเป็น..ปัญญาเยอะๆ แล้วถ้าเป็นปัญญาโลกีย์นั้นก็ยิ่งทุกข์หนัก ปัญญาดูใจ รู้ใจ แก้ไขใจของเราแต่ละวันๆๆ แล้วก็มีความขยันหมั่นเพียร รอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในโลกธรรม แล้วก็รอบรู้ในดวงใจของเราในกายของเรา มีความสุขตลอดเวลา
ท่านถึงว่าทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ทำความเข้าใจกับภาษาโลก ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง แก้ไขใจของเรา ใจเกิดความโลภก็พยายามละความโลภ ใจให้เกิดความโกรธละความโกรธ โดยการให้อภัย อโหสิกรรม ด้วยกันละความตระหนี่เหนียวแน่น เราละกิเลสได้หมด เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ เราก็ได้ เราดับความเกิดของใจได้ เราไม่อยากจะได้นิพพาน เราก็ได้ ใจว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น อันนี้ต้องให้ปรากฏขึ้นที่เราจริงๆ ท่านถึงบอกให้เชื่อ
อย่าไปปิดกั้นตัวเรา อย่าไปปิดกั้นว่าไม่มีโอกาสไม่มีวาสนา ทุกสิ่งมีโอกาสมีวาสนาหมดนั่นแหละ ถ้าคนเรารู้จักตักตวงเอา ก็ต้องพยายามกันนะ
แม้แต่ร่างกายของเรานี่ก็ยืมโลกมา ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็คือร่างกายของเรานี่แหละ ร่างกายของเราก็ ต่อไปสลายไปก็กลายเป็นดิน เป็นน้ำ ทุกอย่างลงอยู่ที่ไตรลักษณ์หมด ถ้าเรามารู้จักพิจารณาแล้วก็รีบตักตวง บุญสมมติ บุญวิมุตติ ได้หมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ใกล้อยู่ไกล หรืออยู่ที่ไหน ถ้าเรามีโอกาสก็ให้รีบทำ อย่าไปทิ้งบุญ บุญมากก็เป็นของเรา บุญน้อยก็เป็นของเรา อานิสงส์แห่งบุญก็จะคุ้มครองเรา จนกว่าจะถึงจุดหมายกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ