หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 72 วันที่ 4 สิงหาคม 2563 (1/2)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 72 วันที่ 4 สิงหาคม 2563 (1/2)
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 72
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 สิงหาคม 2563 (1/2)
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันพระใหญ่ เดือนเก้า เดือนแปดผ่านมาเดือนเก้า วันนี้ก็มีการลงอุโบสถสังฆกรรม ทั้งสองตำบล ตำบลโนนท่อน กับตำบลสำราญของเรา มีโอกาสพวกเราก็ได้ทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ มีอะไรเราก็ช่วยกัน ช่วยเหลือตัวเรา ช่วยเหลือหมู่คณะเพื่อนฝูงอะไรขาดตกบกพร่อง อะไรพอช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้เราก็อุเบกขา
รู้สึกว่าฝนฟ้าตกหนัก น้ำท่วมหลายจังหวัด ความเสียหายก็เยอะอยู่เหมือนกัน แต่ทางขอนแก่นเรา น้ำก็ยังไม่เพียงพออยู่ น้ำเข้าบ่อเข้าสระก็ยังไม่เต็ม เห็นว่าหยุดไหลแล้ว เข้าได้ประมาณสักครึ่งหนึ่ง ก็คงจะอีกสักชุดสองชุด ก็คงจะเต็ม
ความแห้งแล้งนี่มีมากเลยปีนี้ เพราะว่าคนเราไปทำลายธรรมชาติกัน ธรรมชาติก็เลยเล่นงาน ถ้าคนเราพากันช่วยกันปลูกต้นไม้ ดูแลต้นไม้ แต่ละคนแต่ละบ้าน มีที่ไร่ที่นา พากันปลูก ปลูกเอาไว้เราก็ได้ประโยชน์ ความร่มรื่นร่มเย็น อานิสงส์ก็ส่งผลถึงภาพรวม ถ้าต่างคนต่างทำลาย ความแห้งแล้งก็ตามเข้ามา ยิ่งไปตามป่าตามเขา ความแห้งแล้ง ความทำลายต้นไม้นี่เยอะ ถ้าเราได้เดินเที่ยวเดินชมตามภูเขาต่างๆ สมัยก่อนเป็นป่า เป็นป่าดงดิบ ทุกวันนี้เป็นเขาหัวโล้น ยิ่งทางเมืองเลย ขับรถผ่านเข้าไปทางในๆ นี่เจอแต่เขาหัวโล้นนี่เยอะ เพราะว่าคนเราทำลายธรรมชาติกัน ธรรมชาติก็เลยเล่นงานไม่ว่าอยู่ที่ไหน
เราพยายามรักษาแล้วก็สร้างขึ้นมา แล้วมันก็จะได้เกิดประโยชน์ เราก็ได้ประโยชน์ คนรุ่นหลังก็ได้ประโยชน์ ไม่ได้เสียหาย เราก็ต้องเริ่มจากเราเสียก่อน เริ่มจากตัวของเรา แก้ไขตัวของเราปรับปรุงตัวของเรา เราอาศัยเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น จากน้อยๆ ไปหามากๆ มันก็จะค่อยขยายออกไปเรื่อยๆ ทั้งทางสมมติ ทั้งทางด้านวิมุตติคือทางด้านจิตใจ เราก็หมั่นขัดเกลากิเลสกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความโลภความโกรธ ถ้าเรามีกำลังสติพอ เราก็จะคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนามเดินปัญญา
เพียงแค่แยกรูปแยกนาม อันนี้เพียงแค่เริ่มต้น เริ่มต้นเท่านั้น เริ่มต้นเห็นถูก หรือว่าสัมมาทิฐิ ทีนี้เราจะเดินต่อให้ขึ้นถึงตัวเรือนของเราหรือไม่ คือการทำความเข้าใจกิเลสหยาบกิเลสละเอียดแล้วก็ละกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ดับความเกิดของใจของเราให้ได้ จนใจของเราไม่มีอะไร คือกลับคืนสู่สภาพเดิม คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น มองเห็นหนทางเดิน แต่พวกเราก็ยังเดินอยู่ ในระดับของสมมติก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนลงไตรลักษณ์ล้วนลงความว่างหมด
ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าในโลกนี้มีแต่เป็นแค่เพียงมายา แต่พวกเรามองเห็นเป็นตัวเป็นตนเป็นกลุ่มเป็นก้อน ท่านเห็น มองเป็นกองเป็นขันธ์ จนมอง จนไม่มีเหลือในใจของเรา แล้วก็บริหารด้วยปัญญาอยู่ด้วยปัญญา จนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ
วันนี้ก็เป็นวันพระ ก็พากันมาสมาทานศีล เราต้องมาทำความเข้าใจ ศีลสมมติ ศีลวิมุตติ ศีลสมมติคือพวกเรากำลังสมาทานกันอยู่นี่แหละ ส่วนศีลวิมุตติคือตัวใจ ต้องปล่อยวางให้ได้หมดทุกอย่าง ดับความเกิดให้ได้ทุกอย่าง ความเกิดของใจนั่นแหละ คือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาหลายชั้น จนกระทั่งมาอยู่ในภพมนุษย์
พระพุทธองค์ท่านถึงให้จำแนกแจกแจง ร่างกายก้อนนี้ว่าอะไร กองไหนกองรูปกองนาม กองกุศล อกุศล เราก็ต้องดูรู้ให้ทัน เพียงแค่การเจริญสติตรงนี้ก็ยังยากอยู่ ก็เลยยังเดินทางไม่ถึงไหน ก็ได้สร้างบารมีในการทำบุญ ในการให้ทาน อยู่ระดับของสมมติ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีอย่าไปทิ้ง คนเราอาศัยบุญกุศลนี่แหละนำทาง เป็นข้าวพกข้าวห่อติดตามตัวพวกเรา ถ้าถึงเวลาแล้ว อานิสงส์ผลบุญผลทานก็จะทำให้ใจของเราเบาบางจากกิเลส จนกระทั้งไม่เหลือ เหลือด้วยสมมติวิมุตติ จนกว่าจะหมดลมหายใจนั่นแหละ ถึงจะได้ทิ้งสมมติจริงๆ คือร่างกายของเรา ก็ต้องพยายามกัน ต่อไปนี้พวกคุณหมอก็จะได้พาสมาทานศีลกัน
มีความสุขกันทุกคน พระเราชีเรา ก็ดูดีๆ นะทุกเรื่อง เวลาขบเวลาฉัน เราต้องดูแยกความอยากแยกความหิวออกจากกัน กายหิวใจเกิดความอยากหรือไม่ รู้จักกะประมาณความหิวความอยากของเรา นั่นแหละท่านเรียกว่า 'ปฏิสังขาโย' อยู่ตลอดเวลา
รู้ใจ..ใจปรกติ ใจเกิดความอยากเราก็รีบดับ ดับไม่ได้ เราก็นั่งดู ไม่ทำตามมัน พยายามหาวิธีแก้ไขใจของเรา ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็ดูใหม่ ดูรู้ขณะปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก แต่พวกเรารู้อยู่
เพียงแค่รู้..แต่ไม่รู้จักแยกแยะ จำแนกแจกแจง อันนี้ใจที่ปรกติเป็นอย่างนี้ ใจที่เกิดเป็นอย่างนี้สติที่เราสร้างขึ้นมาเอาไปใช้ แต่เวลานี้ตัวใจ หรือว่าวิญญาณในกายของเรานั่นแหละ ไปบงการหมดทุกเรื่อง เพราะว่าความเกิดความหลงตรงนั้นเขามีอยู่
เราทุกคนต้องสร้างผู้รู้ หรือว่าเจริญสติ ใจนั้นเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้..ทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ หัดวิเคราะห์หัดสังเกตบ่อยๆ รู้ไม่ทันก็หยุดเอาไว้ อันนี้พากันปล่อยเลยตามเลย การปฏิบัติมีอยู่ ปฏิบัติอยู่ได้เพียงแค่รูปกาย แต่ใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา เราต้องพยายามควบคุม ดูรู้ตั้งแต่ต้นเหตุของการเกิด อันนี้ส่วนรูป อันนี้ส่วนนาม สติที่เราสร้างขึ้นมาใหม่เอาไปใช้ จนกลายเป็นปัญญา จนกลายเป็นมหาปัญญา แก้ไขตัวเรา เรื่องของเรา ทำหน้าที่ของเราให้จบ
ทำความเข้าใจกับภาษาโลกภาษาธรรม ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็จะไม่เข้าใจภาษาโลกภาษาธรรม ไม่เข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ ไม่เข้าใจเรื่อง ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในกายของตัวเรา เราก็รู้อยู่ตั้งแต่ในภาพรวม หลงในภาพรวม แต่ก็ว่าเราไม่หลง เราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ ในชีวิตประจำวัน เราอาจจะไม่หลงตรงนี้ แต่ในหลักธรรมแล้ว ความเกิดของใจนั่นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าเรามาศึกษามาทำความเข้าใจ ตามแนวทางของพระพุทธองค์ เราก็จะมองเห็นชีวิตของเราที่แท้จริง
ระดับสมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ความหลงปิดกั้นเอาไว้ทีละเล็กทีละน้อย หลงเกิด เกิดในกุศลหรืออกุศล เขาก็มากขึ้นสะสมมากขึ้น สะสมมากขึ้น ใจของเรานี้หลงมาหลายชั้น หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ เราก็เกิดต่อ ขณะมีร่างกายเราก็เกิดต่อ คือความคิดของเรานั่นแหละ เกิดทางกุศลบ้างอกุศลบ้าง เป็นทาสของกิเลสบ้าง สารพัดอย่าง
นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติรู้เรื่องของสติ ปัญญา เอาไปใช้ และก็รู้เรื่องการสร้างบารมี ใจเกิดกิเลสเราก็พยายามละกิเลส ใจเกิดความโกรธเราก็พยายามละความโกรธ เราจะละกิเลสด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการช่วยเหลืออนุเคราะห์ ละความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ เราจะดับตั้งแต่ความคิด การก่อตัว การเกิด เราดับไม่ได้ก็ไม่ให้ออกทางวาจา ถ้าจะออกทางวาจาเราก็ใช้ปัญญาหลบหลีก แต่ละวันเราลองดูสิ อดพูด อดคิดสังเกตดูความคิด ความคิดแต่ละครั้งแต่ละคราวเขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดจากใจกับขันธ์ห้ารวมกันไปทั้งสมอง เกิดจากใจโดยตรงหรือเกิดจากขันธ์ห้า
สิ่งพวกนี้เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นะ คิดก็รู้ว่าคิด ทำก็รู้ว่าทำ แต่เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่โดยเราไม่รู้ตัว เพราะว่าสติปัญญาเราไม่ได้เอาไปใช้ แต่พรหมวิหารส่วนอื่นนั้นมีอยู่ ความเมตตาความเสียสละ บารมี ระดับของสมมตินั้นมีอยู่ แต่ระดับของวิมุตติหลุดพ้น ใจต้องคลายออกจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมาได้จริงๆ แล้วก็ตามดู รู้ให้ได้ทุกเรื่อง จนใจเกิดความเบื่อหน่ายได้นั้นแหละ เขาถึงจะยอมปล่อยยอมวาง
ส่วนขันธ์ห้าเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เราเผลอเมื่อไหร่เขาก็เล่นงาน แต่เวลานี้เผลอหรือไม่เผลอ เขาก็รวมกันไปหมด เพราะว่าสติเรามีไม่ต่อเนื่องกัน ภายในห้านาที สิบนาที นี่ก็ทั้งยากอยู่ ถ้าเป็นอัตโนมัติ เป็นมหาสติ มหาปัญญา จนกลายเป็นปัญญาปรกติ รอบรู้ในกายในใจของตัวเรา แต่ในเวลานี้เรารู้อยู่ในเพียงแค่สมมติ เราก็ควบคุมได้ในระดับสมมติ ระดับหนึ่ง น้อมใจ น้อมกายอยู่ในกองบุญระดับหนึ่ง อยากจะรู้ความจริงต้องเพิ่มความขยัน ต้องเป็นคนที่ขยันเป็นเลิศเลยทีเดียว ขยันในการขัดเกลากิเลส ละกิเลส ขยันในการจำแนกแจกแจงว่าอะไรเป็นอะไร ให้รอบรู้ภายในให้เรียบร้อย แล้วก็ล้นออกไปสู่ภายนอกกัน
ก็ต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าชี ว่าโยม ก็มีธาตุสี่ขันธ์ห้าเหมือนกัน มีอัตตาตัวตน ในหลักธรรมแล้วใจเกิดอัตตาเกิด เพียงแค่ความเกิดของใจ เราก็ไม่ได้ดับ ทีนี้จะเป็นกุศลหรืออกุศลอีกจำแนกแจกแจงลงไปอีก ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ แต่ว่าพวกเรามองเห็นกันเป็นก้อน ไม่เห็นเป็นกองเป็นขันธ์ ว่าอันนี้ส่วนของร่างกาย อันนี้ส่วนใจ ซึ่งเป็นนามธรรม ส่วนใจนั้นยังแจงออกไปอีก เรื่องอดีตเรื่องอนาคต
กองสัญญา กองสังขารที่ท่านว่าไม่เที่ยง ถ้าเรารู้จริงๆ เราก็จะเห็น..เห็นด้วยปัญญา..เห็นด้วยปัญญา แต่เวลานี้เราเห็นทั้งก้อน ไม่ได้แยกแยะออก ก็ต้องพยายามกัน ทำความเข้าใจกัน ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด ความคิดของเราเป็นกุศลหรือไม่ เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนคนอื่นหรือไม่ ก่อนที่จะพูด เวลาไหนควรพูด อะไรเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ มันไล่เรียงลงไปได้อีกมากมายจริงๆ จนไม่มีอะไร ให้เราชำระสะสางนั่นแหละ ถึงจะอยู่เป็นปรกติ
กายเป็นปรกติ ใจเป็นปรกติ นั่นแหละคืออธิจิต อธิศีล ตัวศีลที่แท้จริง ที่เรามาสมาทานก็เพื่อความเป็นระวัง ระวังในระดับของสมมติ ระวังอันนี้ก็เป็นการสร้างบารมีให้กับตัวเรา สภาพร่างกายของคนเรามันก็เป็นก้อนทุกข์ เอาแน่นอนมันไม่ได้ เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หิวเราก็มาแก้ไขตัวเรา
อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ทุกคนเกิดมา เกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมด ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าเรามาศึกษาให้ละเอียด เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ เพื่อยังประโยชน์ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า เราทำประโยชน์อยู่ในโลกนี้ให้ได้เสียก่อน ในโลกหน้าเดี๋ยวเป็นเอง ถ้าทำดีอยู่ปัจจุบันก็จะส่งผลถึงอนาคตเอง
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 สิงหาคม 2563 (1/2)
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันพระใหญ่ เดือนเก้า เดือนแปดผ่านมาเดือนเก้า วันนี้ก็มีการลงอุโบสถสังฆกรรม ทั้งสองตำบล ตำบลโนนท่อน กับตำบลสำราญของเรา มีโอกาสพวกเราก็ได้ทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ มีอะไรเราก็ช่วยกัน ช่วยเหลือตัวเรา ช่วยเหลือหมู่คณะเพื่อนฝูงอะไรขาดตกบกพร่อง อะไรพอช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้เราก็อุเบกขา
รู้สึกว่าฝนฟ้าตกหนัก น้ำท่วมหลายจังหวัด ความเสียหายก็เยอะอยู่เหมือนกัน แต่ทางขอนแก่นเรา น้ำก็ยังไม่เพียงพออยู่ น้ำเข้าบ่อเข้าสระก็ยังไม่เต็ม เห็นว่าหยุดไหลแล้ว เข้าได้ประมาณสักครึ่งหนึ่ง ก็คงจะอีกสักชุดสองชุด ก็คงจะเต็ม
ความแห้งแล้งนี่มีมากเลยปีนี้ เพราะว่าคนเราไปทำลายธรรมชาติกัน ธรรมชาติก็เลยเล่นงาน ถ้าคนเราพากันช่วยกันปลูกต้นไม้ ดูแลต้นไม้ แต่ละคนแต่ละบ้าน มีที่ไร่ที่นา พากันปลูก ปลูกเอาไว้เราก็ได้ประโยชน์ ความร่มรื่นร่มเย็น อานิสงส์ก็ส่งผลถึงภาพรวม ถ้าต่างคนต่างทำลาย ความแห้งแล้งก็ตามเข้ามา ยิ่งไปตามป่าตามเขา ความแห้งแล้ง ความทำลายต้นไม้นี่เยอะ ถ้าเราได้เดินเที่ยวเดินชมตามภูเขาต่างๆ สมัยก่อนเป็นป่า เป็นป่าดงดิบ ทุกวันนี้เป็นเขาหัวโล้น ยิ่งทางเมืองเลย ขับรถผ่านเข้าไปทางในๆ นี่เจอแต่เขาหัวโล้นนี่เยอะ เพราะว่าคนเราทำลายธรรมชาติกัน ธรรมชาติก็เลยเล่นงานไม่ว่าอยู่ที่ไหน
เราพยายามรักษาแล้วก็สร้างขึ้นมา แล้วมันก็จะได้เกิดประโยชน์ เราก็ได้ประโยชน์ คนรุ่นหลังก็ได้ประโยชน์ ไม่ได้เสียหาย เราก็ต้องเริ่มจากเราเสียก่อน เริ่มจากตัวของเรา แก้ไขตัวของเราปรับปรุงตัวของเรา เราอาศัยเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น จากน้อยๆ ไปหามากๆ มันก็จะค่อยขยายออกไปเรื่อยๆ ทั้งทางสมมติ ทั้งทางด้านวิมุตติคือทางด้านจิตใจ เราก็หมั่นขัดเกลากิเลสกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความโลภความโกรธ ถ้าเรามีกำลังสติพอ เราก็จะคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนามเดินปัญญา
เพียงแค่แยกรูปแยกนาม อันนี้เพียงแค่เริ่มต้น เริ่มต้นเท่านั้น เริ่มต้นเห็นถูก หรือว่าสัมมาทิฐิ ทีนี้เราจะเดินต่อให้ขึ้นถึงตัวเรือนของเราหรือไม่ คือการทำความเข้าใจกิเลสหยาบกิเลสละเอียดแล้วก็ละกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ดับความเกิดของใจของเราให้ได้ จนใจของเราไม่มีอะไร คือกลับคืนสู่สภาพเดิม คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น มองเห็นหนทางเดิน แต่พวกเราก็ยังเดินอยู่ ในระดับของสมมติก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนลงไตรลักษณ์ล้วนลงความว่างหมด
ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าในโลกนี้มีแต่เป็นแค่เพียงมายา แต่พวกเรามองเห็นเป็นตัวเป็นตนเป็นกลุ่มเป็นก้อน ท่านเห็น มองเป็นกองเป็นขันธ์ จนมอง จนไม่มีเหลือในใจของเรา แล้วก็บริหารด้วยปัญญาอยู่ด้วยปัญญา จนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ
วันนี้ก็เป็นวันพระ ก็พากันมาสมาทานศีล เราต้องมาทำความเข้าใจ ศีลสมมติ ศีลวิมุตติ ศีลสมมติคือพวกเรากำลังสมาทานกันอยู่นี่แหละ ส่วนศีลวิมุตติคือตัวใจ ต้องปล่อยวางให้ได้หมดทุกอย่าง ดับความเกิดให้ได้ทุกอย่าง ความเกิดของใจนั่นแหละ คือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาหลายชั้น จนกระทั่งมาอยู่ในภพมนุษย์
พระพุทธองค์ท่านถึงให้จำแนกแจกแจง ร่างกายก้อนนี้ว่าอะไร กองไหนกองรูปกองนาม กองกุศล อกุศล เราก็ต้องดูรู้ให้ทัน เพียงแค่การเจริญสติตรงนี้ก็ยังยากอยู่ ก็เลยยังเดินทางไม่ถึงไหน ก็ได้สร้างบารมีในการทำบุญ ในการให้ทาน อยู่ระดับของสมมติ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีอย่าไปทิ้ง คนเราอาศัยบุญกุศลนี่แหละนำทาง เป็นข้าวพกข้าวห่อติดตามตัวพวกเรา ถ้าถึงเวลาแล้ว อานิสงส์ผลบุญผลทานก็จะทำให้ใจของเราเบาบางจากกิเลส จนกระทั้งไม่เหลือ เหลือด้วยสมมติวิมุตติ จนกว่าจะหมดลมหายใจนั่นแหละ ถึงจะได้ทิ้งสมมติจริงๆ คือร่างกายของเรา ก็ต้องพยายามกัน ต่อไปนี้พวกคุณหมอก็จะได้พาสมาทานศีลกัน
มีความสุขกันทุกคน พระเราชีเรา ก็ดูดีๆ นะทุกเรื่อง เวลาขบเวลาฉัน เราต้องดูแยกความอยากแยกความหิวออกจากกัน กายหิวใจเกิดความอยากหรือไม่ รู้จักกะประมาณความหิวความอยากของเรา นั่นแหละท่านเรียกว่า 'ปฏิสังขาโย' อยู่ตลอดเวลา
รู้ใจ..ใจปรกติ ใจเกิดความอยากเราก็รีบดับ ดับไม่ได้ เราก็นั่งดู ไม่ทำตามมัน พยายามหาวิธีแก้ไขใจของเรา ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็ดูใหม่ ดูรู้ขณะปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก แต่พวกเรารู้อยู่
เพียงแค่รู้..แต่ไม่รู้จักแยกแยะ จำแนกแจกแจง อันนี้ใจที่ปรกติเป็นอย่างนี้ ใจที่เกิดเป็นอย่างนี้สติที่เราสร้างขึ้นมาเอาไปใช้ แต่เวลานี้ตัวใจ หรือว่าวิญญาณในกายของเรานั่นแหละ ไปบงการหมดทุกเรื่อง เพราะว่าความเกิดความหลงตรงนั้นเขามีอยู่
เราทุกคนต้องสร้างผู้รู้ หรือว่าเจริญสติ ใจนั้นเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้..ทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ หัดวิเคราะห์หัดสังเกตบ่อยๆ รู้ไม่ทันก็หยุดเอาไว้ อันนี้พากันปล่อยเลยตามเลย การปฏิบัติมีอยู่ ปฏิบัติอยู่ได้เพียงแค่รูปกาย แต่ใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา เราต้องพยายามควบคุม ดูรู้ตั้งแต่ต้นเหตุของการเกิด อันนี้ส่วนรูป อันนี้ส่วนนาม สติที่เราสร้างขึ้นมาใหม่เอาไปใช้ จนกลายเป็นปัญญา จนกลายเป็นมหาปัญญา แก้ไขตัวเรา เรื่องของเรา ทำหน้าที่ของเราให้จบ
ทำความเข้าใจกับภาษาโลกภาษาธรรม ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็จะไม่เข้าใจภาษาโลกภาษาธรรม ไม่เข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ ไม่เข้าใจเรื่อง ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในกายของตัวเรา เราก็รู้อยู่ตั้งแต่ในภาพรวม หลงในภาพรวม แต่ก็ว่าเราไม่หลง เราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ ในชีวิตประจำวัน เราอาจจะไม่หลงตรงนี้ แต่ในหลักธรรมแล้ว ความเกิดของใจนั่นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าเรามาศึกษามาทำความเข้าใจ ตามแนวทางของพระพุทธองค์ เราก็จะมองเห็นชีวิตของเราที่แท้จริง
ระดับสมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ความหลงปิดกั้นเอาไว้ทีละเล็กทีละน้อย หลงเกิด เกิดในกุศลหรืออกุศล เขาก็มากขึ้นสะสมมากขึ้น สะสมมากขึ้น ใจของเรานี้หลงมาหลายชั้น หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ เราก็เกิดต่อ ขณะมีร่างกายเราก็เกิดต่อ คือความคิดของเรานั่นแหละ เกิดทางกุศลบ้างอกุศลบ้าง เป็นทาสของกิเลสบ้าง สารพัดอย่าง
นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติรู้เรื่องของสติ ปัญญา เอาไปใช้ และก็รู้เรื่องการสร้างบารมี ใจเกิดกิเลสเราก็พยายามละกิเลส ใจเกิดความโกรธเราก็พยายามละความโกรธ เราจะละกิเลสด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการช่วยเหลืออนุเคราะห์ ละความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ เราจะดับตั้งแต่ความคิด การก่อตัว การเกิด เราดับไม่ได้ก็ไม่ให้ออกทางวาจา ถ้าจะออกทางวาจาเราก็ใช้ปัญญาหลบหลีก แต่ละวันเราลองดูสิ อดพูด อดคิดสังเกตดูความคิด ความคิดแต่ละครั้งแต่ละคราวเขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดจากใจกับขันธ์ห้ารวมกันไปทั้งสมอง เกิดจากใจโดยตรงหรือเกิดจากขันธ์ห้า
สิ่งพวกนี้เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นะ คิดก็รู้ว่าคิด ทำก็รู้ว่าทำ แต่เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่โดยเราไม่รู้ตัว เพราะว่าสติปัญญาเราไม่ได้เอาไปใช้ แต่พรหมวิหารส่วนอื่นนั้นมีอยู่ ความเมตตาความเสียสละ บารมี ระดับของสมมตินั้นมีอยู่ แต่ระดับของวิมุตติหลุดพ้น ใจต้องคลายออกจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมาได้จริงๆ แล้วก็ตามดู รู้ให้ได้ทุกเรื่อง จนใจเกิดความเบื่อหน่ายได้นั้นแหละ เขาถึงจะยอมปล่อยยอมวาง
ส่วนขันธ์ห้าเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เราเผลอเมื่อไหร่เขาก็เล่นงาน แต่เวลานี้เผลอหรือไม่เผลอ เขาก็รวมกันไปหมด เพราะว่าสติเรามีไม่ต่อเนื่องกัน ภายในห้านาที สิบนาที นี่ก็ทั้งยากอยู่ ถ้าเป็นอัตโนมัติ เป็นมหาสติ มหาปัญญา จนกลายเป็นปัญญาปรกติ รอบรู้ในกายในใจของตัวเรา แต่ในเวลานี้เรารู้อยู่ในเพียงแค่สมมติ เราก็ควบคุมได้ในระดับสมมติ ระดับหนึ่ง น้อมใจ น้อมกายอยู่ในกองบุญระดับหนึ่ง อยากจะรู้ความจริงต้องเพิ่มความขยัน ต้องเป็นคนที่ขยันเป็นเลิศเลยทีเดียว ขยันในการขัดเกลากิเลส ละกิเลส ขยันในการจำแนกแจกแจงว่าอะไรเป็นอะไร ให้รอบรู้ภายในให้เรียบร้อย แล้วก็ล้นออกไปสู่ภายนอกกัน
ก็ต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าชี ว่าโยม ก็มีธาตุสี่ขันธ์ห้าเหมือนกัน มีอัตตาตัวตน ในหลักธรรมแล้วใจเกิดอัตตาเกิด เพียงแค่ความเกิดของใจ เราก็ไม่ได้ดับ ทีนี้จะเป็นกุศลหรืออกุศลอีกจำแนกแจกแจงลงไปอีก ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ แต่ว่าพวกเรามองเห็นกันเป็นก้อน ไม่เห็นเป็นกองเป็นขันธ์ ว่าอันนี้ส่วนของร่างกาย อันนี้ส่วนใจ ซึ่งเป็นนามธรรม ส่วนใจนั้นยังแจงออกไปอีก เรื่องอดีตเรื่องอนาคต
กองสัญญา กองสังขารที่ท่านว่าไม่เที่ยง ถ้าเรารู้จริงๆ เราก็จะเห็น..เห็นด้วยปัญญา..เห็นด้วยปัญญา แต่เวลานี้เราเห็นทั้งก้อน ไม่ได้แยกแยะออก ก็ต้องพยายามกัน ทำความเข้าใจกัน ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด ความคิดของเราเป็นกุศลหรือไม่ เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนคนอื่นหรือไม่ ก่อนที่จะพูด เวลาไหนควรพูด อะไรเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ มันไล่เรียงลงไปได้อีกมากมายจริงๆ จนไม่มีอะไร ให้เราชำระสะสางนั่นแหละ ถึงจะอยู่เป็นปรกติ
กายเป็นปรกติ ใจเป็นปรกติ นั่นแหละคืออธิจิต อธิศีล ตัวศีลที่แท้จริง ที่เรามาสมาทานก็เพื่อความเป็นระวัง ระวังในระดับของสมมติ ระวังอันนี้ก็เป็นการสร้างบารมีให้กับตัวเรา สภาพร่างกายของคนเรามันก็เป็นก้อนทุกข์ เอาแน่นอนมันไม่ได้ เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หิวเราก็มาแก้ไขตัวเรา
อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ทุกคนเกิดมา เกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมด ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าเรามาศึกษาให้ละเอียด เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ เพื่อยังประโยชน์ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า เราทำประโยชน์อยู่ในโลกนี้ให้ได้เสียก่อน ในโลกหน้าเดี๋ยวเป็นเอง ถ้าทำดีอยู่ปัจจุบันก็จะส่งผลถึงอนาคตเอง
ตั้งใจรับพรกัน