หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 98 วันที่ 11 ธันวาคม 2563

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 98 วันที่ 11 ธันวาคม 2563
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 98 วันที่ 11 ธันวาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 98
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 ธันวาคม 2563

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตามความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราจะหยุดไม่ได้ ดับไม่ได้เด็ดขาด ก็ให้หยุดขณะที่เรากำลังนั่งฟังอยู่นี้แหละ

ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน เราพยายามฝึกความรู้ตัวตรงนี้

ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ สร้างความรู้ตัว หายใจเข้าหายใจออก หายใจที่ต่อเนื่องหายใจแบบธรรมชาติเป็นยังไง ถึงเราไม่ดูไม่รู้ เราก็หายใจอยู่แล้ว แต่เราขาดผู้รู้คือขาดการเจริญสติ ก็เลยไม่เข้าใจในชีวิต ได้แต่ไปนึกเอาไปคิดเอา ความคิดเก่าซึ่งเรียกว่า ‘ปัญญาโลกีย์’ ปัญญาที่เกิดจากใจบ้าง ขันธ์ห้าบ้างรวมกัน บางทีก็รวมกันไปทั้งหมด ทั้งปัญญา ทั้งส่วนสมองทั้งใจ ทั้งอาการของขันธ์ห้า รวมกันไปทั้งก้อน นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘หลงอยู่’ ยังหลงอยู่

พวกเรามีโอกาส ศรัทธาก็มี ความพร้อม ศรัทธา ความเสียสละ การฝักใฝ่ การสนใจตรงนี้มีอยู่แต่การทำความเข้าใจให้ต่อเนื่อง เจริญสติให้ต่อเนื่อง เข้าไปปรับสภาพใจของเรา การฝึกหัดปฏิบัติทุกชนิดจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะละกิเลส

ทำความเข้าใจว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐภายในกายของเรา การดับทุกข์ การละทุกข์ การละกิเลส ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงทุกข์ ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส สอนเรื่องอัตตาอนัตตา คำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร ‘อนัตตา’ เป็นอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร การที่จะเข้าไปถึงตัวใจที่แท้จริงเป็นอย่างไร กว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ลงไปได้ กว่าจะเข้าถึงตัวใจได้ มีทั้งกิเลสหยาบ มีทั้งกิเลสละเอียด ความเกิด กิเลสละเอียดต่างๆ นิวรณธรรม มลทิน สารพัดอย่าง กว่าจะถึงบรรลุถึงเป้าหมายปลายทางได้ เราก็ต้องมาสร้างบารมี มาเจริญสติ มาอบรมใจตัวเอง

เราเจริญสติเพื่อที่จะอบรมใจตัวเอง รู้ไม่ทันเราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ เข้าไปหยุด หยุดความเกิดของใจ ใจของทุกคนเกิดเร็วไว แต่ละวันแต่ละนาที แต่ละภายในนาทีสองนาทีไม่รู้ว่าเกิดสักกี่เที่ยว อันนี้เขาเรียกว่าเกิดทางด้านจิตใจ รวมทั้งหมดนี่เขาเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ ใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าขึ้นมาปิดกั้นตัวเอง แล้วก็เกิดต่อ เป็นทาสกิเลสต่อ

ถึงให้เจริญสติลงที่กาย มีศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม แล้วก็ปฏิบัติเจริญสติ เข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้านั่นแหละซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้น เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เห็นถูกแล้วยังไม่พอ เราต้องตามทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าว่าเรื่องอะไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เป็นเรื่องอดีตเรื่องอนาคต สารพัดเรื่องที่เขามาปรุงแต่งใจ

ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก แถมใจยังเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ส่งออกไปภายนอกอยู่ตลอดเวลาอาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่

เราก็ต้องมาศึกษาทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล ให้เห็นเหตุเห็นผล บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสตราบใดที่ยังมีลมหายใจ

การเจริญสติเป็นอย่างนี้ บุคคลที่มีบุญ มีวาสนา เพียงแค่รู้ว่ารู้นิดๆ หน่อยๆ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นงี้ ใจที่เป็นสมาธิเป็นอย่างนี้ เป็นสมาธิด้วยการข่มเอาไว้ หรือว่าเป็นสมาธิแยกแยะชี้เหตุชี้ผลด้วยปัญญา การเกิดการดับของใจ

ใจส่งออกไปภายนอกเราจะดับอย่างนี้ แก้ไขอย่างนี้ ใจเกิดกิเลส เราก็ละกิเลส ใจเกิดความโลภเราก็ละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ใจเกิดความโกรธ เราก็ดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส พยายามแก้ไข ใจของคนเราทุกคนเป็นใจที่สะอาดบริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะความไม่เข้าใจ ใจถึงเกิดกิเลส เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง ทุกเรื่องในร่างกายของเรา

เราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต ใจนี่เป็นส่วนนาม ใจเรียกว่า ‘วิญญาณในกาย’ นั่นแหละวิญญาณในขันธ์ห้าของเรา ซึ่งเรียกว่าเป็นส่วนนาม กายนี่เป็นก้อนรูปอยู่แล้ว ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ก็วางได้หมด วางได้หมด เรามาดับความเกิดของใจ ละกิเลสของใจ การเกิดนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ถึงเกิด ถึงเราดับความเกิดไม่ได้

ละความเกิดไม่ได้ ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ เกิดในสิ่งที่เป็นสิริมงคลเอาไว้ อย่าให้เกิดในทางอกุศล ตราบใดที่ใจของเรายังเกิดอยู่ เราก็ต้องพยายามหมั่นแก้ไขให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ก็ต้องพยายามเอา อย่าพยายามผัดวันประกันพรุ่ง อย่าปล่อยเวลาทิ้งตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เพียงแค่ระลึกรู้ลมหายใจให้ต่อเนื่องกันสัก 5 นาที 10 นาที ก็ยังทำกันไม่ค่อยได้ มันก็เลยยากที่จะเข้าไปจัดการกับการเกิดการดับของใจของเราได้

แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามฝึกทั้งกลางวันทั้งกลางคืนนั้นแหละ ฝึก ฝึกตัวตนของเรา ฝึกใจของเรา อบรมใจของเรา ใจของคนเรานี่ฝึกได้ ไม่ใช่ว่าฝึกไม่ได้ ฝึกอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีอะไรมาให้ฝึกนั่นแหละ ละกิเลสออกหมดจนไม่มีอะไรมาให้เราได้ละนั่นแหละ ดับความเกิดได้หมดจด เราก็หมด จบจิต มีแต่ดูแล ทำความเข้าใจจนกว่าจะถึงเวลาวาระเวลาเขาแตกเขาดับสนุกอยู่กับบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ

ก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นจริงได้ก็ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร เป็นเลิศ ศึกษาตัวเราเป็นเลิศแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราให้ต่อเนื่องด้วย พยายามทำความเข้าใจหลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐในกายของเรา การเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม การเข้าสู่วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ ละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียด การเดินตามทางในอริยมรรคมีองค์แปด เพียงแค่ข้อแรกสัมมาทิฏฐิเราก็ยังทำเรายังแยกแยะไม่ได้ แต่เราก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ก็พยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง