หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 41 วันที่ 17 พฤษภาคม 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 41 วันที่ 17 พฤษภาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 41
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ทุกอย่างวางเอาไว้เสียก่อน แม้แต่ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เราก็พยายามหยุดเอาไว้ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยลองสำเหนียกไปด้วย ความรู้สึกไม่ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สักสองสามเที่ยว
การสูดลมหายใจยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เขาเรียกว่า‘ปัจจุบัน’ ขณะหายใจเข้า เวลาหายใจออกลมก็กระทบปลายจมูกของเรา เขาก็เรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ หายใจออก
ความรู้สึกตัวถ้าเราหายใจให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ จนความรู้ตัวทั่วพร้อมของเราได้ต่อเนื่องกันจาก 1 นาที2 นาที เป็น 5 นาที 10 นาที จนเป็นชั่วโมง จนเป็นวันเป็นเดือน จนเป็นปี จนเป็นอัตโนมัติ หายใจเข้าก็รู้หายใจออกก็รู้หายใจสั้นก็รู้ หายใจยาวก็รู้ เหมือนกับนายประตูทวารคอยสังเกตว่ารถคันไหนจะวิ่งเข้าวิ่งออกวิ่งเข้าวิ่งออก มันรู้มันตรวจตราอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นการรู้กายเป็นการเจริญสติลงที่กายให้ได้เสียก่อน พวกเราอย่าไปมองข้าม อย่าไปมองข้าม ส่วนมากก็ไม่ค่อยฝึกกันไม่ค่อยสนใจกัน
ส่วนสติปัญญาของทุกคนนั้นมีกันเต็มเปี่ยม แต่เป็นสติปัญญาที่เป็นสติปัญญาของโลกีย์ ของทางโลก คิดก็รู้ทำก็รู้ แต่เขาหลง หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ คือท่านถึงให้มาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ หรือว่ามาเจริญสติตัวใหม่ เพียงแค่สร้าง แค่ทำให้มี ให้เกิด ตรงนี้ก็ทำยาก ถ้าเรามีความเพียรทำให้มี ให้เกิดขึ้น
ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแสกิเลส เพราะความคิดเก่าๆ เราเคยชินอยู่ตรงนั้น เป็นการฝืนเป็นการทวนกระแสกิเลส ถ้าเราฝึกได้ชำนาญแล้ว จนใจของเราอยู่ในโอวาทของสติปัญญา จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าหงายขึ้นมาหรือว่าแยกรูปแยกนามได้ เราก็จะมองเห็นหนทาง เข้าใจ เข้าใจในชีวิตเข้าใจในการดำเนินชีวิต รู้จักจุดปล่อย รู้จักจุดวาง แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ
ของดีอยู่ในกายของเราเยอะ ค้นคว้าลงไปเถอะ แต่ละวัน แต่ละวันเราได้ทำบุญให้กายของเราแล้วหรือยัง เราละความเกียจคร้านออกจากใจของเราแล้วหรือยัง เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีพรหมวิหารให้ตัวเรา ให้กับคนอื่น เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความอ่อนโยน อะไรผิดอะไรถูก เราก็รีบแก้ไขเสีย เรามีความกล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ มีสัจจะกับตัวเอง พูดจริง ทำจริง การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา แล้วก็ลึกลงไปก็ต้นเหตุของการเกิด คือตัวใจ
เราต้องดูให้ถึงต้นเหตุ พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ เห็นเหตุเห็นผล ตามดูรู้ความเป็นจริง ท่านถึงบอกให้เชื่อ อย่าเอาความคิดเก่าๆ ของเรา อย่าเอาปัญญาโลกๆ มาโต้แย้ง ถึงจะมีมากมายถึงขนาดไหนก็อย่าเพิ่งเอามาโต้แย้ง ให้เราเดินปัญญาสังเกตวิเคราะห์แยกแยะได้ ตามดูได้ ปัญญาเก่าเรามีเท่าไหร่ เราก็จะได้เอามาใช้หมดนั่นแหละ เพียงแค่เราคลายใจออกจากความคิดเก่าๆ ว่าเขาเกิดยังไง เขาหลงยังไง ถ้าใจไม่เกิด ไม่ปรุง ไม่แต่ง เราเอา ดำเนินสติปัญญาของเราไปทำหน้าที่แทนได้หรือไม่
เราก็ต้องพยายามจำแนกแจกแจง กายทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร เขามีกันหมด เพียงแค่เรารู้จักเหตุรู้จักผล ชี้เหตุชี้ผล แยกแยะให้ได้ ก็จะเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในกายของเราอยู่แล้วก็ต้องพยายามกัน
แต่เวลานี้กำลังสติมีไม่เพียงพอเพียง แค่สร้างกับเจริญก็ยังทำยากอยู่ มันก็เลยห่างไกลทรัพย์ภายในที่แท้จริง ก็ต้องพยายามกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ทุกอย่างวางเอาไว้เสียก่อน แม้แต่ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เราก็พยายามหยุดเอาไว้ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยลองสำเหนียกไปด้วย ความรู้สึกไม่ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สักสองสามเที่ยว
การสูดลมหายใจยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เขาเรียกว่า‘ปัจจุบัน’ ขณะหายใจเข้า เวลาหายใจออกลมก็กระทบปลายจมูกของเรา เขาก็เรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ หายใจออก
ความรู้สึกตัวถ้าเราหายใจให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ จนความรู้ตัวทั่วพร้อมของเราได้ต่อเนื่องกันจาก 1 นาที2 นาที เป็น 5 นาที 10 นาที จนเป็นชั่วโมง จนเป็นวันเป็นเดือน จนเป็นปี จนเป็นอัตโนมัติ หายใจเข้าก็รู้หายใจออกก็รู้หายใจสั้นก็รู้ หายใจยาวก็รู้ เหมือนกับนายประตูทวารคอยสังเกตว่ารถคันไหนจะวิ่งเข้าวิ่งออกวิ่งเข้าวิ่งออก มันรู้มันตรวจตราอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นการรู้กายเป็นการเจริญสติลงที่กายให้ได้เสียก่อน พวกเราอย่าไปมองข้าม อย่าไปมองข้าม ส่วนมากก็ไม่ค่อยฝึกกันไม่ค่อยสนใจกัน
ส่วนสติปัญญาของทุกคนนั้นมีกันเต็มเปี่ยม แต่เป็นสติปัญญาที่เป็นสติปัญญาของโลกีย์ ของทางโลก คิดก็รู้ทำก็รู้ แต่เขาหลง หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ คือท่านถึงให้มาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ หรือว่ามาเจริญสติตัวใหม่ เพียงแค่สร้าง แค่ทำให้มี ให้เกิด ตรงนี้ก็ทำยาก ถ้าเรามีความเพียรทำให้มี ให้เกิดขึ้น
ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแสกิเลส เพราะความคิดเก่าๆ เราเคยชินอยู่ตรงนั้น เป็นการฝืนเป็นการทวนกระแสกิเลส ถ้าเราฝึกได้ชำนาญแล้ว จนใจของเราอยู่ในโอวาทของสติปัญญา จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าหงายขึ้นมาหรือว่าแยกรูปแยกนามได้ เราก็จะมองเห็นหนทาง เข้าใจ เข้าใจในชีวิตเข้าใจในการดำเนินชีวิต รู้จักจุดปล่อย รู้จักจุดวาง แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ
ของดีอยู่ในกายของเราเยอะ ค้นคว้าลงไปเถอะ แต่ละวัน แต่ละวันเราได้ทำบุญให้กายของเราแล้วหรือยัง เราละความเกียจคร้านออกจากใจของเราแล้วหรือยัง เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีพรหมวิหารให้ตัวเรา ให้กับคนอื่น เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความอ่อนโยน อะไรผิดอะไรถูก เราก็รีบแก้ไขเสีย เรามีความกล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ มีสัจจะกับตัวเอง พูดจริง ทำจริง การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา แล้วก็ลึกลงไปก็ต้นเหตุของการเกิด คือตัวใจ
เราต้องดูให้ถึงต้นเหตุ พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ เห็นเหตุเห็นผล ตามดูรู้ความเป็นจริง ท่านถึงบอกให้เชื่อ อย่าเอาความคิดเก่าๆ ของเรา อย่าเอาปัญญาโลกๆ มาโต้แย้ง ถึงจะมีมากมายถึงขนาดไหนก็อย่าเพิ่งเอามาโต้แย้ง ให้เราเดินปัญญาสังเกตวิเคราะห์แยกแยะได้ ตามดูได้ ปัญญาเก่าเรามีเท่าไหร่ เราก็จะได้เอามาใช้หมดนั่นแหละ เพียงแค่เราคลายใจออกจากความคิดเก่าๆ ว่าเขาเกิดยังไง เขาหลงยังไง ถ้าใจไม่เกิด ไม่ปรุง ไม่แต่ง เราเอา ดำเนินสติปัญญาของเราไปทำหน้าที่แทนได้หรือไม่
เราก็ต้องพยายามจำแนกแจกแจง กายทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร เขามีกันหมด เพียงแค่เรารู้จักเหตุรู้จักผล ชี้เหตุชี้ผล แยกแยะให้ได้ ก็จะเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในกายของเราอยู่แล้วก็ต้องพยายามกัน
แต่เวลานี้กำลังสติมีไม่เพียงพอเพียง แค่สร้างกับเจริญก็ยังทำยากอยู่ มันก็เลยห่างไกลทรัพย์ภายในที่แท้จริง ก็ต้องพยายามกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ