หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 100
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 100
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน เจริญสติ เจริญสมาธิ สร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสีย นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก หาวิธี หาอุบาย การสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพวกท่านได้สนใจตัวเองแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสีย ลองสูดลมหายใจ เข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกรับรู้สบายขึ้นเยอะ ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากตัวใจก็จะหยุด สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ลมหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ทำอย่างไรเราถึงจะฝึกตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน ส่วนมากไม่ค่อยจะสนใจกัน สนใจกันบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ก็เลยปล่อยปละละเลย
ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ ใจก็อยากจะได้บุญ ความเสียสละ พรหมวิหารต่างๆ ก็พอมีกันอยู่ แต่ความรู้ตัวที่จะเข้าไปรู้กายรู้ใจ รู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเป็นนามธรรม ถ้าเราไม่ฝักใฝ่จริงๆ ยากที่จะเข้าใจ วิ่งหาแต่ธรรม วิ่งหาแต่ใจ แต่ไม่รู้ใจ รู้อยู่แต่ไม่เห็น ไม่เห็นฐานของใจ เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง การเกิด การก่อตัวของใจก็จะแยกออก เห็นเป็นสองส่วน ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้ส่วนหนึ่ง ใจ ความปกตินั้นส่วนหนึ่ง ลึกลงไปอีกความคิดที่ไม่ตั้งใจอีก มันผุดขึ้นมาได้อย่างไรอีก ถ้าเรารู้เท่าทันอยู่ปัจจุบัน ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ตัวความรู้ตัวนี่แหละ ที่เราสร้างขึ้นมานี้แหละ จะไปเห็นอาการของเขาขณะก่อตัวขึ้นไปรวม
ถ้าเรารู้ตรงนั้นปุ๊บ ใจก็จะคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทาง ปรากฏ ความรู้ตัวสติก็จะตามดู เห็นการเกิดการดับของความคิด ของอารมณ์ ส่วนใจก็จะถอยออกไปอยู่ที่ฐานว่างรับรู้ เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง
เรื่องอะไร เรื่องอดีตก็เป็นอาการของสัญญา ความคิดทุกชนิดที่มันผุดขึ้นมาเขาเรียกว่า ‘กองสังขาร’ เขาเรียกว่าเป็นกองๆ ที่พระพุทธองค์ท่านเรียกว่าเป็นกองๆ ไว้ มันไม่มีตัวไม่มีตน เป็นแค่เพียงอากาศ ที่ท่านเปรียบเสมือนกับพยับแดด เวลาอยู่ตามถนน เราเดินไปหรือว่าขับรถไป เวลาร้อนๆ เหมือนกับเปลวเพลิงลุกโชติช่วงอยู่ตามถนน เวลาเราเข้าใกล้ๆ แล้ว มันก็ไม่มีตัวไม่มีตน เป็นแค่เพียงอากาศ ท่านถึงเปรียบเอาไว้เปรียบเสมือนกับลูกคลื่น เวลาเราไปอยู่ชายฝั่งทะเล เห็นลูกคลื่นวิ่งเข้ามากระทบฝั่งแล้วก็หายไป ลูกใหม่ก็เข้ามาอีก กระทบฝั่งแล้วก็หายไป
อาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป นี่แหละ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยากที่บุคคลที่จะเห็น รู้ แล้วเข้าใจ ถ้าไม่มีความเพียรในการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปหาเหตุหาผล ก็เห็นตรงนี้ รู้ตรงนี้ ตามดูแล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจ ตามดูให้ใจรู้ เห็นตามความเป็นจริงว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร ตามดูจนใจเกิดความเบื่อหน่ายนั่นแหละ เขาถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้ ส่วนใจจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ
ส่วนใจจะปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักดับ ทำความเข้าใจทุกเรื่องในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหมดลมหายใจ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ แม้แต่การอยู่ การรับประทานข้าวปลาอาหาร การขบการฉัน กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ทวารทั้งหก ตาหูจมูกลิ้นกาย เขาทำหน้าที่อย่างไร ตาก็ทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ทำหน้าที่ แต่มีหนังหุ้มห่อ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง
นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ที่จำได้ จำแนกแจกแจงออกให้เป็นกอง เป็นขันธ์ ชำระสะสางกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ถึงจะเข้าใจ รู้เรื่องทรัพย์ภายใน รู้เรื่องอริยทรัพย์ ทรัพย์คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นของใจ ก็จะต้องพยายามกัน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เราทำได้เท่าไร เราก็รีบทำ ดูแต่ละวันอย่าให้ใจของเราเกิดความกังวล ความฟุ้งซ่าน อย่าให้ใจของเราเกิดเป็นทาสของกิเลส ของความทะเยอทะยานอยาก ให้บริหารด้วยสติด้วยปัญญา
แต่เวลานี้สติปัญญาของเรามีน้อย มีไม่ต่อเนื่องก็เลยเป็นสติปัญญาของโลกิยะที่เกิดจากตัวใจไปบงการ หรือว่าไปสั่งงาน ขันธ์ห้าไปสั่งงานหมด เราต้องเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกเรื่อง ไม่ว่าจะลุกยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย อันนั้นขอให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ พูดง่าย แต่การลงมือยากถ้าไม่ขยัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี จงพยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี ไม่ว่าจะอยู่ในที่ไหน ทำบุญให้ตัวเรา ทำบุญให้เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ ไม่ใช่ว่ามาวัดแล้วถึงจะได้ทำบุญ อยู่ที่บ้าน เราก็ทำบ้านให้เป็นวัด ทำกายให้เป็นวัด แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเรามีความเสียสละ มีความเป็นระเบียบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เห็นแก่ตัว มองโลกในแง่ดี ไม่แง่ร้าย ถึงภายนอกจะร้าย ถ้าใจของเราดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีเหมือนเดิม พยายามสร้างเอาธรรม เอาขณะที่เรายังมีกำลัง ยังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจแล้วก็หมดโอกาส เราต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกรับรู้สบายขึ้นเยอะ ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากตัวใจก็จะหยุด สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ลมหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ทำอย่างไรเราถึงจะฝึกตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน ส่วนมากไม่ค่อยจะสนใจกัน สนใจกันบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ก็เลยปล่อยปละละเลย
ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ ใจก็อยากจะได้บุญ ความเสียสละ พรหมวิหารต่างๆ ก็พอมีกันอยู่ แต่ความรู้ตัวที่จะเข้าไปรู้กายรู้ใจ รู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเป็นนามธรรม ถ้าเราไม่ฝักใฝ่จริงๆ ยากที่จะเข้าใจ วิ่งหาแต่ธรรม วิ่งหาแต่ใจ แต่ไม่รู้ใจ รู้อยู่แต่ไม่เห็น ไม่เห็นฐานของใจ เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง การเกิด การก่อตัวของใจก็จะแยกออก เห็นเป็นสองส่วน ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้ส่วนหนึ่ง ใจ ความปกตินั้นส่วนหนึ่ง ลึกลงไปอีกความคิดที่ไม่ตั้งใจอีก มันผุดขึ้นมาได้อย่างไรอีก ถ้าเรารู้เท่าทันอยู่ปัจจุบัน ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ตัวความรู้ตัวนี่แหละ ที่เราสร้างขึ้นมานี้แหละ จะไปเห็นอาการของเขาขณะก่อตัวขึ้นไปรวม
ถ้าเรารู้ตรงนั้นปุ๊บ ใจก็จะคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทาง ปรากฏ ความรู้ตัวสติก็จะตามดู เห็นการเกิดการดับของความคิด ของอารมณ์ ส่วนใจก็จะถอยออกไปอยู่ที่ฐานว่างรับรู้ เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง
เรื่องอะไร เรื่องอดีตก็เป็นอาการของสัญญา ความคิดทุกชนิดที่มันผุดขึ้นมาเขาเรียกว่า ‘กองสังขาร’ เขาเรียกว่าเป็นกองๆ ที่พระพุทธองค์ท่านเรียกว่าเป็นกองๆ ไว้ มันไม่มีตัวไม่มีตน เป็นแค่เพียงอากาศ ที่ท่านเปรียบเสมือนกับพยับแดด เวลาอยู่ตามถนน เราเดินไปหรือว่าขับรถไป เวลาร้อนๆ เหมือนกับเปลวเพลิงลุกโชติช่วงอยู่ตามถนน เวลาเราเข้าใกล้ๆ แล้ว มันก็ไม่มีตัวไม่มีตน เป็นแค่เพียงอากาศ ท่านถึงเปรียบเอาไว้เปรียบเสมือนกับลูกคลื่น เวลาเราไปอยู่ชายฝั่งทะเล เห็นลูกคลื่นวิ่งเข้ามากระทบฝั่งแล้วก็หายไป ลูกใหม่ก็เข้ามาอีก กระทบฝั่งแล้วก็หายไป
อาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป นี่แหละ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยากที่บุคคลที่จะเห็น รู้ แล้วเข้าใจ ถ้าไม่มีความเพียรในการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปหาเหตุหาผล ก็เห็นตรงนี้ รู้ตรงนี้ ตามดูแล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจ ตามดูให้ใจรู้ เห็นตามความเป็นจริงว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร ตามดูจนใจเกิดความเบื่อหน่ายนั่นแหละ เขาถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้ ส่วนใจจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ
ส่วนใจจะปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักดับ ทำความเข้าใจทุกเรื่องในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหมดลมหายใจ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ แม้แต่การอยู่ การรับประทานข้าวปลาอาหาร การขบการฉัน กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ทวารทั้งหก ตาหูจมูกลิ้นกาย เขาทำหน้าที่อย่างไร ตาก็ทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ทำหน้าที่ แต่มีหนังหุ้มห่อ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง
นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ที่จำได้ จำแนกแจกแจงออกให้เป็นกอง เป็นขันธ์ ชำระสะสางกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ถึงจะเข้าใจ รู้เรื่องทรัพย์ภายใน รู้เรื่องอริยทรัพย์ ทรัพย์คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นของใจ ก็จะต้องพยายามกัน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เราทำได้เท่าไร เราก็รีบทำ ดูแต่ละวันอย่าให้ใจของเราเกิดความกังวล ความฟุ้งซ่าน อย่าให้ใจของเราเกิดเป็นทาสของกิเลส ของความทะเยอทะยานอยาก ให้บริหารด้วยสติด้วยปัญญา
แต่เวลานี้สติปัญญาของเรามีน้อย มีไม่ต่อเนื่องก็เลยเป็นสติปัญญาของโลกิยะที่เกิดจากตัวใจไปบงการ หรือว่าไปสั่งงาน ขันธ์ห้าไปสั่งงานหมด เราต้องเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกเรื่อง ไม่ว่าจะลุกยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย อันนั้นขอให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ พูดง่าย แต่การลงมือยากถ้าไม่ขยัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี จงพยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี ไม่ว่าจะอยู่ในที่ไหน ทำบุญให้ตัวเรา ทำบุญให้เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ ไม่ใช่ว่ามาวัดแล้วถึงจะได้ทำบุญ อยู่ที่บ้าน เราก็ทำบ้านให้เป็นวัด ทำกายให้เป็นวัด แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเรามีความเสียสละ มีความเป็นระเบียบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เห็นแก่ตัว มองโลกในแง่ดี ไม่แง่ร้าย ถึงภายนอกจะร้าย ถ้าใจของเราดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีเหมือนเดิม พยายามสร้างเอาธรรม เอาขณะที่เรายังมีกำลัง ยังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจแล้วก็หมดโอกาส เราต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา