หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 056
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 056
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ให้หมด ฟังไปด้วยน้อมสําเหนียก เสียงก็สักแต่ว่าเสียง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ พวกเรายังทํากันไม่ชํานาญเลย ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ให้เรารู้จักการสร้างความรู้สึกตัว เวลาลมสัมผัสเข้าลมสัมผัสออกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัวทั่วพร้อม’ มีสติสัมปชัญญะ มีความต่อเนื่อง ตรงนี้แหละ พวกเราขาดการทําให้เรารู้ให้ชัดเจนว่าส่วนจิตนั้น ส่วนใจนั้นอยู่ส่วนหนึ่ง
ส่วนความรู้ตัวหรือส่วนสติปัญญาตัวใหม่ เราต้องสร้างขึ้นมา จากน้อยๆ ไปหามากๆ แล้วก็รู้จักสังเกตลักษณะของจิตที่ปกติเป็นอย่างไร ลักษณะของจิตที่สงบเป็นอย่างไร ลักษณะการก่อตัวของจิต การก่อตัวของความคิดซึ่งเราไม่ได้ตั้งใจคิด ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์’ ห้าผุดขึ้นมา ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร จนเป็นสิ่งเดียวกันไปด้วยกันนี่แหละ เขาเรียกว่าหลงอยู่ ในความรู้ตรงนี้อยู่
เราต้องจําแนกแจกแจงให้ชัดเจนว่า สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี้อยู่ส่วนบน ส่วนสมองนี้ส่วนหนึ่ง ส่วนใจนั้นอยู่กลางใจเขาเกิดๆ ดับๆ ความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดตั้งแต่เกิดนั่นแหละ แต่เราขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ เราไปเหมาเอารวมกัน เรารู้อยู่เฉพาะเวลาเขารวมกันหมด ก็เลยเกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก ใจก็ยังเกิดอยู่ ยังเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลสอยู่
ตัวใจนั่นแหละเขาก็หาวิธี หาอุบายปิดบังอําพรางตัวเขาเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่การเกิดเขาก็ปิดบังอําพรางตัวเองเอาไว้ เกิดกิเลสความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ความยินดียินร้ายต่างๆ นอกจากเราจะมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ ไปมันพร่ำสอนใจของเรา รู้จักควบคุมใจของเราจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘วิปัสสนา’
ถ้าเห็นตรงจุดนี้แล้ว กำลังสติของเราตามดู ตามรู้ ตามเห็น เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป’ แต่ใจต้องว่างรับรู้อยู่ภายใน ไม่ใช่ว่าใจเข้าไปรวม เราต้องแยกคลายใจของเราให้ได้เสียก่อนจุดแรก รู้จักควบคุมใจให้ได้เสียก่อน ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องไปกังวลจะไม่เห็นไม่เข้าใจ เพียงแค่การเจริญสติเข้าไปสํารวจ สํารวม รู้จักดับ รู้จักระงับ ใหม่ๆ ซึ่งเรียกว่า ‘ทวนกระแส’
เพราะว่าจิตของเราชอบคิด ชอบเที่ยว ชอบปิดบังอําพรางตัวเอง ทั้งขันธ์ห้าก็มาปิดบังอําพราง ถ้าความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ส่วนมากก็จะพลั้งเผลอ เพราะว่าความไม่เคยชิน จะฝึกที จะนั่งที จะเจริญสติที นี่ก็ลำบาก ฝืน ถ้าเรามาฝึกฝืน จนรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว กําลังสติของเราจะค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่างจนเป็นมหาสติ จนเป็นมหาปัญญา จนไม่ได้สร้าง จนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง อะไรมาปิดบังอําพรางใจของเราบ้าง
ขณะนี้ใจของเราเกิดความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง เราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ใจของเราเกิดความโลภ เราก็รู้จักละ รู้จักดับ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็รู้จักแก้ไข รู้จักละทิฐิ ละมานะ แยกรูปแยกนามได้ เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา ตามทําความเข้าใจ เข้าใจในหลักของอริยสัจสี่ เข้าใจในเรื่องขันธ์ห้า ในวิปัสสนาภูมิ การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ต้องตามมาอย่างเข้มข้นเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าไปศึกษา แต่ไม่เข้าใจ ก็ได้แค่ศึกษา ได้แค่ลูบๆ คลำๆ
ไปวัดไปทําบุญ ก็ได้อยู่ในระดับบุญนั้นก็ดีอยู่ แต่เราต้องพยายามหัดเดิน ฝึกศึกษาเดินปัญญาขั้นสูง ละจนใจของเราหลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่กับกองบุญ เราไม่อยากจะได้บุญเราก็ได้บุญ เราไม่อยากจะได้ความสงบ เราก็ได้ความสงบ ถ้าใจของเราไม่เกิด ใจของเราไม่มีกิเลส ใจของเราคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น ทุกอิริยาบถ เราต้องประคับประคองความรู้ตัว หรือว่าประคับประคองสติให้ได้เป็นอัตโนมัติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เอาไปใช้กับชีวิตประจําวันของเรา กายของเราทําหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทําหน้าที่อย่างไร
ตาก็ทําหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทําหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ รูปรสกลิ่นเสียงก็จะส่งผ่านเข้าไปทางทวารทั้งหก เข้าไปถึงใจของเรา ใจของเรายังปกติดีอยู่หรือไม่ หรือเกิดความยินดียินร้าย เกิดความทะเยอทะยานอยาก เราต้องวิเคราะห์ หัดวิเคราะห์ เราอยากจะทําอะไร เราก็ทําด้วยสติทําด้วยปัญญา ทําด้วยความขยันหมั่นเพียร ทําด้วยความรับผิดชอบ
ขอให้เรารู้จักจำแนกแจกแจงภายในให้เรียบร้อยเสียก่อน นี่คือตัวใจของเรา ลักษณะของความว่าง ในความว่างนั้นมีวิญญาณ หรือว่ามีใจอยู่ ศึกษาให้ละเอียดเถอะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง การสร้างบารมีทุกคนสร้างกันมาดี ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เรารู้จักวิธีแล้ว รู้จักแนวทางแล้ว อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา วิเคราะห์การกระทําของเรา พึ่งตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น
การได้ศึกษา การได้ค้นคว้า การได้เล่าเรียนทุกคนผ่านกันมาหมด ไม่ต้องไปให้คนอื่นเขาสอนหรอก เราเจริญสตินี่แหละไปสอนใจของเรา รู้ไม่เท่าทัน เราก็รู้จะระงับยับยั้งเอาไว้ รู้จักดับเอาไว้ก่อน จนกว่าเราจะกําลังสติของเราจะแก่กล้า ทําความเข้าใจ หมั่นอบรมใจของเรา จนใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสของอารมณ์เขาก็ไม่เอา จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญา ทําหน้าที่ด้วยสติด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ก็จะมีตั้งแต่ความสงบความสุข แม้แต่กายจะแตกจะดับ เราก็เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป ก็ต้องพยายามกันนะ รู้จักสร้างสะสมอานิสงส์ สร้างผลบุญผลทานให้มีให้เกิด
ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ต้องสร้างอานิสงส์ผลบุญผลทาน เพื่อเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป ถ้าสูงขึ้นไปก็สร้างกุศล ละกุศล แต่ไม่ให้ยึด แม้แต่ใจก็ต้องวาง ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม ไม่ใช่ที่ไหนหรอก แต่เวลานี้ก็ยังปิดบังอําพรางตัวเองทุกคน ถ้ากําลังสติปัญญาไม่แหลมคมจริงๆ ยากที่จะเข้าใจ เพราะเป็นของละเอียด เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยังลําบากอยู่ ก็ต้องพยายามกันให้ได้ครบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เหลือวิสัย
อย่าพากันทิ้งบุญ อย่าพากันทิ้งวัด ทํากายให้เป็นวัด ทําใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ เจริญพรหมวิหารอยู่บ่อยๆ มองโลกในทางที่ดี คิดดี อย่าไปมองโลกในแง่ร้าย อย่าไปมองโลกในแง่อกุศล ให้เราพยายามปรับปรุงแก้ไขตัวเรา ไม่มีใครแก้ไขให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง จะไปอยู่ที่ไหน ถ้าเราไม่แก้ไขเราก็เหมือนเดิม ก็ต้องพยายามนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทําความเข้าใจกันเอานะ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ พวกเรายังทํากันไม่ชํานาญเลย ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ให้เรารู้จักการสร้างความรู้สึกตัว เวลาลมสัมผัสเข้าลมสัมผัสออกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัวทั่วพร้อม’ มีสติสัมปชัญญะ มีความต่อเนื่อง ตรงนี้แหละ พวกเราขาดการทําให้เรารู้ให้ชัดเจนว่าส่วนจิตนั้น ส่วนใจนั้นอยู่ส่วนหนึ่ง
ส่วนความรู้ตัวหรือส่วนสติปัญญาตัวใหม่ เราต้องสร้างขึ้นมา จากน้อยๆ ไปหามากๆ แล้วก็รู้จักสังเกตลักษณะของจิตที่ปกติเป็นอย่างไร ลักษณะของจิตที่สงบเป็นอย่างไร ลักษณะการก่อตัวของจิต การก่อตัวของความคิดซึ่งเราไม่ได้ตั้งใจคิด ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์’ ห้าผุดขึ้นมา ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร จนเป็นสิ่งเดียวกันไปด้วยกันนี่แหละ เขาเรียกว่าหลงอยู่ ในความรู้ตรงนี้อยู่
เราต้องจําแนกแจกแจงให้ชัดเจนว่า สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี้อยู่ส่วนบน ส่วนสมองนี้ส่วนหนึ่ง ส่วนใจนั้นอยู่กลางใจเขาเกิดๆ ดับๆ ความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดตั้งแต่เกิดนั่นแหละ แต่เราขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ เราไปเหมาเอารวมกัน เรารู้อยู่เฉพาะเวลาเขารวมกันหมด ก็เลยเกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก ใจก็ยังเกิดอยู่ ยังเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลสอยู่
ตัวใจนั่นแหละเขาก็หาวิธี หาอุบายปิดบังอําพรางตัวเขาเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่การเกิดเขาก็ปิดบังอําพรางตัวเองเอาไว้ เกิดกิเลสความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ความยินดียินร้ายต่างๆ นอกจากเราจะมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ ไปมันพร่ำสอนใจของเรา รู้จักควบคุมใจของเราจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘วิปัสสนา’
ถ้าเห็นตรงจุดนี้แล้ว กำลังสติของเราตามดู ตามรู้ ตามเห็น เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป’ แต่ใจต้องว่างรับรู้อยู่ภายใน ไม่ใช่ว่าใจเข้าไปรวม เราต้องแยกคลายใจของเราให้ได้เสียก่อนจุดแรก รู้จักควบคุมใจให้ได้เสียก่อน ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องไปกังวลจะไม่เห็นไม่เข้าใจ เพียงแค่การเจริญสติเข้าไปสํารวจ สํารวม รู้จักดับ รู้จักระงับ ใหม่ๆ ซึ่งเรียกว่า ‘ทวนกระแส’
เพราะว่าจิตของเราชอบคิด ชอบเที่ยว ชอบปิดบังอําพรางตัวเอง ทั้งขันธ์ห้าก็มาปิดบังอําพราง ถ้าความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ส่วนมากก็จะพลั้งเผลอ เพราะว่าความไม่เคยชิน จะฝึกที จะนั่งที จะเจริญสติที นี่ก็ลำบาก ฝืน ถ้าเรามาฝึกฝืน จนรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว กําลังสติของเราจะค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่างจนเป็นมหาสติ จนเป็นมหาปัญญา จนไม่ได้สร้าง จนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง อะไรมาปิดบังอําพรางใจของเราบ้าง
ขณะนี้ใจของเราเกิดความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง เราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ใจของเราเกิดความโลภ เราก็รู้จักละ รู้จักดับ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็รู้จักแก้ไข รู้จักละทิฐิ ละมานะ แยกรูปแยกนามได้ เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา ตามทําความเข้าใจ เข้าใจในหลักของอริยสัจสี่ เข้าใจในเรื่องขันธ์ห้า ในวิปัสสนาภูมิ การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ต้องตามมาอย่างเข้มข้นเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าไปศึกษา แต่ไม่เข้าใจ ก็ได้แค่ศึกษา ได้แค่ลูบๆ คลำๆ
ไปวัดไปทําบุญ ก็ได้อยู่ในระดับบุญนั้นก็ดีอยู่ แต่เราต้องพยายามหัดเดิน ฝึกศึกษาเดินปัญญาขั้นสูง ละจนใจของเราหลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่กับกองบุญ เราไม่อยากจะได้บุญเราก็ได้บุญ เราไม่อยากจะได้ความสงบ เราก็ได้ความสงบ ถ้าใจของเราไม่เกิด ใจของเราไม่มีกิเลส ใจของเราคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น ทุกอิริยาบถ เราต้องประคับประคองความรู้ตัว หรือว่าประคับประคองสติให้ได้เป็นอัตโนมัติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เอาไปใช้กับชีวิตประจําวันของเรา กายของเราทําหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทําหน้าที่อย่างไร
ตาก็ทําหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทําหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ รูปรสกลิ่นเสียงก็จะส่งผ่านเข้าไปทางทวารทั้งหก เข้าไปถึงใจของเรา ใจของเรายังปกติดีอยู่หรือไม่ หรือเกิดความยินดียินร้าย เกิดความทะเยอทะยานอยาก เราต้องวิเคราะห์ หัดวิเคราะห์ เราอยากจะทําอะไร เราก็ทําด้วยสติทําด้วยปัญญา ทําด้วยความขยันหมั่นเพียร ทําด้วยความรับผิดชอบ
ขอให้เรารู้จักจำแนกแจกแจงภายในให้เรียบร้อยเสียก่อน นี่คือตัวใจของเรา ลักษณะของความว่าง ในความว่างนั้นมีวิญญาณ หรือว่ามีใจอยู่ ศึกษาให้ละเอียดเถอะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง การสร้างบารมีทุกคนสร้างกันมาดี ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เรารู้จักวิธีแล้ว รู้จักแนวทางแล้ว อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา วิเคราะห์การกระทําของเรา พึ่งตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น
การได้ศึกษา การได้ค้นคว้า การได้เล่าเรียนทุกคนผ่านกันมาหมด ไม่ต้องไปให้คนอื่นเขาสอนหรอก เราเจริญสตินี่แหละไปสอนใจของเรา รู้ไม่เท่าทัน เราก็รู้จะระงับยับยั้งเอาไว้ รู้จักดับเอาไว้ก่อน จนกว่าเราจะกําลังสติของเราจะแก่กล้า ทําความเข้าใจ หมั่นอบรมใจของเรา จนใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสของอารมณ์เขาก็ไม่เอา จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญา ทําหน้าที่ด้วยสติด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ก็จะมีตั้งแต่ความสงบความสุข แม้แต่กายจะแตกจะดับ เราก็เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป ก็ต้องพยายามกันนะ รู้จักสร้างสะสมอานิสงส์ สร้างผลบุญผลทานให้มีให้เกิด
ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ต้องสร้างอานิสงส์ผลบุญผลทาน เพื่อเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป ถ้าสูงขึ้นไปก็สร้างกุศล ละกุศล แต่ไม่ให้ยึด แม้แต่ใจก็ต้องวาง ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม ไม่ใช่ที่ไหนหรอก แต่เวลานี้ก็ยังปิดบังอําพรางตัวเองทุกคน ถ้ากําลังสติปัญญาไม่แหลมคมจริงๆ ยากที่จะเข้าใจ เพราะเป็นของละเอียด เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยังลําบากอยู่ ก็ต้องพยายามกันให้ได้ครบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เหลือวิสัย
อย่าพากันทิ้งบุญ อย่าพากันทิ้งวัด ทํากายให้เป็นวัด ทําใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ เจริญพรหมวิหารอยู่บ่อยๆ มองโลกในทางที่ดี คิดดี อย่าไปมองโลกในแง่ร้าย อย่าไปมองโลกในแง่อกุศล ให้เราพยายามปรับปรุงแก้ไขตัวเรา ไม่มีใครแก้ไขให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง จะไปอยู่ที่ไหน ถ้าเราไม่แก้ไขเราก็เหมือนเดิม ก็ต้องพยายามนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทําความเข้าใจกันเอานะ