หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 090
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 090
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆนะ พระเรา พิจารณาปฏิสังขาโย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทุกเรื่อง ตั้งแต่การหายใจเข้าหายใจออก ตั้งแต่ความรู้ตัว ตั้งแต่ยังไม่ตื่น ความอยาก ความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวใจของเราให้รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักควบคุม ยิ่งพระบวชใหม่ กายก็หิว ใจก็อยาก สภาพร่างกายต้องการอาหารมาหล่อเลี้ยงร่างกาย ใจจะเกิดความยาก เพราะว่าเราอดอาหารเป็นมื้อ 2 มื้อ กายหิวใจจะปรุงแต่งความอยากได้เร็วได้ไว เราก็รู้จักระงับ รู้จักดับ รู้จักควบคุม ควบคุมใจของเราให้ได้เสียก่อน ค่อยเอาค่อยพิจารณาให้ตัวเข้าไปควบคุม ก็คือตัวสติตัวปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา พยายามดู
ถ้าเราไม่ฝึกฝนตนเองไม่มีใครจะฝึกให้เราได้เลย นอกจากตัวของเรา รู้จักแก้ไข อย่าให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากในอาหาร การอยู่ การขบการฉัน อยากในรูป รส กลิ่น เสียงต่างๆ อยากปรุงแต่ง อยากไปอยากมา ความไม่อยาก จะมีมากมีน้อยก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก แล้วก็ต้องรู้จักควบคุม รู้จักพิจารณา แสวงหาด้วยสติ แสวงหาด้วยปัญญา จะเอามากเอาน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล พยายาม เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจในการสังเกตในการวิเคราะห์ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจอยากจะได้บุญ ใจมีฐานในการสร้างความดีงาม สร้างบุญสร้างอานิสงส์อยู่ แต่การหยุดการระงับยับยั้ง การแยกการคลาย คลายความหลงไม่มี ก็เลยต้องวนเวียนว่ายตายเกิด ไม่จบไม่สิ้น
ถ้าเรามารู้ความจริง มารู้จักวิเคราะห์มองเห็นเหตุเห็นผล ก็จะไม่อยากจะเกิดเลย เพียงแค่การเกิด เราก็จะไม่ให้ใจของเราเกิด เพราะว่าการเกิดก็เป็นทุกข์ ทั้งเกิดด้วย ทั้งหลงด้วย ทั้งเป็นทาสของอารมณ์ด้วย สารพัดอย่าง หล่อหลอมรวมกันจนปิดมืดมิดเอาไว้หมด ก็เลยยากที่จะคลาย นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติ เจริญพรหมวิหาร รู้จักละกิเลสออกจากใจของเรา กิเลสหนา กิเลสหยาบ กิเลสกลาง กิเลสละเอียด ออกจากใจของตัวเรา เราถึงจะมองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน แต่ส่วนมากคนทั่วไปก็ฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทานอยู่ในระดับนี้กันเยอะ
บุคคลที่มีปัญญา ก็ต้องทำความเพียรให้สูงขึ้นไป ทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าคนเราก็มีบุญมีอานิสงส์นั่นแหละถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทีนี้การได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็มาแก้ไขมาปรับปรุงวิญญาณของตัวเรา สมมติของเรา กายของเราให้ดี ก่อนที่จะหมดลมหายใจ ให้วิญญาณของเราไปสู่แนวทางที่ดี ตราบใดที่ใจหรือว่าวิญญาณของเรายังละกิเลสไม่หมดจด ยังดับความเกิดไม่ได้ก็ต้องเกิด แต่ก็ขอให้เกิดอยู่ในภพภูมิที่ดี
ภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ มี เราอย่าประมาท วันนี้มี พรุ่งนี้มี เมื่อวานนี้ก็ผ่านมาแล้วก็มี พ่อแม่มี ครูบาอาจารย์มี มีหมดถ้าเรามาวิเคราะห์พิจารณา อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรมที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อ หรือมองเห็นด้วยตาสติตาปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเราถึงจะมองเห็นความเป็นจริง อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันเกียจคร้าน มาศึกษาชีวิตของเราให้ถ่องแท้ก่อนที่จะหมดลมหายใจ โอกาสเปิดให้ทุกคนนั่นแหละ ทีนี้เราจะตักตวงในทางกุศล หรืออกุศลก็เท่านั้นเอง
ในหลักธรรมแล้วท่านให้ละอกุศล เจริญกุศล แต่ไม่ให้ยึด ให้อยู่เหนือ เหนือบุญเหนือบาป เราก็จะอยู่กับบุญ ทุกคนก็อยากจะปล่อยอยากจะวางแต่ไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวางก็เลยวางไม่ได้ นอกจากบุคคลที่มีสติมีปัญญาเดินตามแนวทางของพระพุทธองค์ คือพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร เรื่องทุกข์ อะไรคือทุกข์ สอนความไม่เที่ยงอะไรคือความไม่เที่ยง สอนเรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา คำว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร ท่านชี้แนะแนวทางไว้ให้หมด แล้วก็บอก บอกหนทางเดินด้วยคือ อริยมรรคมีองค์แปด สัมมาทิฏฐิเป็นข้อแรก ความเห็นที่ถูกต้อง
เพียงแค่ความเห็นที่ถูกต้องพวกเรายังไม่เข้าใจเลย ความเห็นที่ถูกต้องคือเห็น คือแยกรูปแยกนามนั่นแหละ เห็นวิญญาณหรือว่าจิตมันคลายออกจากความคิด คลายออกจากอารมณ์ เขาเรียกว่าหรือคลายความหลง เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง รู้ด้วยเห็นด้วย ทำอย่างไรถึงจะเห็นตรงนี้ เราต้องมาสร้างสติหรือว่ามาสร้างความรู้ตัวนั่นแหละให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้รู้เท่าทัน ถ้าเห็นแล้วก็ยังไม่พอ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจอีกก็ยิ่งยากอีก เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง แล้วก็ดับความเกิดละกิเลสของเราให้หมดจดอีก ทั้งกายกรรม วจีกรรม แล้วก็มโนกรรม
กายกรรม คือสภาพร่างกายของเราต้องไปในทางที่สุจริต กาย วาจา ใจ เรามาศึกษาให้ละเอียด ยิ่งพระเรา ยิ่งชีเรา น้อมนำตัวเข้ามาแล้ว เข้ามาฝึกหัดปฏิบัติให้ถึงให้เร็วให้ไว สิ่งพวกนี้บังคับกันไม่ได้หรอก สิ่งพวกนี้บังคับกันไม่ได้ แล้วแต่อานิสงส์ผลบุญของแต่ละบุคคล สร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนสมมติก็ลำบาก บางคนสมมติก็อุดมสมบูรณ์ ขอให้เราน้อมใจของเราเข้ามา แล้วก็รู้จักหาแนวทางหาวิธี แล้วก็ทำความเพียร ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ความอดทน ก็ต้องพยายามกัน
ยิ่งอยู่ด้วยกันเยอะๆ ก็ต้องพยายามสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็ช่วยกัน ทำงานภายนอกงานภายใน ให้ช่วยกันทำ งานภายนอกก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ สมมติที่เราเข้ามายุ่งเกี่ยวนี่แหละ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องน้ำ ห้องส้วม โรงครัว ซึ่งเป็นปัจจัยอํานวยความสะดวกให้ทางกาย ในการปฏิบัติจะได้ไปได้เร็วได้ไว นี่ถ้าที่พักไม่มี กายของเราก็ลำบาก ห้องส้วมห้องน้ำไม่มี จะปลดหนักปลดเบาก็ลำบาก เพราะว่าวิญญาณมาอาศัยกายนี้อยู่แต่เราเข้าไม่ถึงก็เลยไปเหมารวมกันหมด กายก็เป็นกายของเรานั่นแหละ แต่ในหลักธรรมท่านต้องให้รู้ความเป็นจริง ก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเรา
บุคคลที่มีปัญญามีบุญจะพยายามแก้ไขตัวเองทุกอิริยาบถ จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ พร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา แม้แต่กายจะแตกจะดับก็ไม่ให้ใจของเราไปเกาะเกี่ยวอะไร ปล่อยวางขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ วางขณะที่เราทำอยู่นี่แหละ วางขณะที่เราพูดอยู่นี่แหละ วางความยึดมั่นถือมั่น แต่ถ้าไม่รู้จักจุดวางก็วางไม่ได้เหมือนเดิม เพราะว่าใจยังเกิดอยู่
เพียงแค่ความเกิดนั้นใจก็ไม่เที่ยงแล้ว นี่ใจยังไม่คลายออกจากความคิดอีก ก็ยังไม่ได้หงายยังไม่ได้พลิก ถ้าใจหงายออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนามไปก็นึกถึงเรื่องพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติเพียงแค่เริ่มต้นที่ถูกต้อง การตามดู การรู้การเห็น ต้องขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน กิเลสหยาบกิเลสละเอียด นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นใจของเราเป็นอย่างไร นี่เราต้องทำความเข้าใจ อันนี้ไม่สนใจเลยยิ่งห่างไกล แล้วแต่อานิสงค์บุญนะ อานิสงค์บุญของแต่ละบุคคล ความขยันหมั่นเพียรของแต่ละบุคคล
ทุกคนก็มีบุญ อย่าให้หยุดอยู่แค่การทำบุญให้ทาน เราต้องทำความเข้าใจสติ สมาธิ ปัญญา ศีลสมาธิปัญญานั่นแหละ ความปกติของกายเป็นอย่างไร ของปกติของวาจาเป็นอย่างไร ความปกติของใจเป็นอย่างไร ระเบียบวินัยเป็นอย่างไร ระเบียบวินัย วินัยภายนอกวินัยภายในเป็นอย่างไร อธิจิต อธิศีล อธิวินัย เราต้องทำความเข้าใจหมด ไม่ใช่ว่าแต่ละวันตื่นขึ้นมาใจวิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ไปอคติตั้งแต่คนโน้น ไปว่าตั้งแต่คนนี้ คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ก็ใจของเราไม่ดี ก็เที่ยววิ่งพล่านไปอคติคนโน้นอคติคนนี้ อยู่ใกล้คนไหนก็ไปอคติคนโน้น อยู่ใกล้ที่ไหนก็ไปอคติคนนี้ นั่นแหละเขาเรียกว่ามลทิน
ยกตนเองสูงมองเห็นคนอื่นต่ำ ยกตัวเองต่ำมองเห็นตัวเองต่ำ ยกคนอื่นสูง อคติเพ่งโทษ ไปวัดไหนก็หลวงพ่อองค์นั้นไม่ดี ไปวัดนี้หลวงพ่อองค์นี้ก็ไม่ดี สารพัดอย่าง มันไปอคติ แทนที่จะสอนตัวเองแก้ไขตัวเอง ดีหมดทุกที่ถ้าใจของเราดี ภายนอกไม่ดีถ้าใจของเราดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม เราก็ต้องพยายาม พยายามเอาใจของเราดีแล้ว ถึงภายนอกไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม เป็นเรื่องของเราทุกคนต้องพิจารณา
ท่านให้พิจารณาก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิดอีก ลึกลงไปก็ดับความคิดอีก ดับความเกิดอีก ให้ใจของเราอยู่ในความเป็นกลาง อยู่ในความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น บุคคลที่มีสติปัญญาที่แหลมคม บุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรถึงจะเข้าใจ แต่ก็อย่าไปทิ้งบุญนะ พยายามพากันทำบุญเอาไว้ เจริญพรหมวิหารเอาไว้ ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา เราทำบุญอย่าไปคิดว่าคนโน้นเขาทำแล้วคนนี้เขาทำแล้ว อันนั้นเป็นเรื่องของคนอื่นเขา คนอื่นเขาทำเราพลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็ได้มีอานิสงส์แห่งบุญกับเขาด้วย ส่วนของเรา ของเราก็ต้องทำ
ได้แต่คิดดีก็เป็นบุญแล้ว คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ไม่อคติไม่เพ่งโทษ พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด ต้องบอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขปรับปรุงตัวเราให้ได้ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่อะไรที่ยังเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ ไม่ใช่งอมืองอเท้า ช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ใช้ตัวเองก็ไม่เป็น เสียเวลาเปล่าๆ ทุกคนก็ต้องเกิดมาช่วยเหลือตัวเองแก้ไขตัวเองให้มันได้เสียก่อน ไม่ว่าภายนอกภายใน สมมติเราก็ช่วยกันทำ จากน้อยไปหามากๆ มันก็อานิสงส์ก็เกิดขึ้น
เรามีความเกียจคร้านเราก็ละความเกียจคร้าน สติของเราไม่ต่อเนื่อง เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา กายวิเวกเป็นอย่างนั้น ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปเที่ยวให้สำนักโน้นสำนักนี้เขาบังคับ ต้องนั่ง ต้องยืน ต้องเดิน ต้องทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ เรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว เร่งทำความเพียรจนถึงจุดหมายปลายทางจนไม่มีงานที่จะทำแล้ว คืองานภายใน คือความสะอาดความหมดจดบังเกิดขึ้น งานภายนอกเราก็แก้ไข อะไรเราขาดบกพร่องตรงไหนผิดพลาดแก้ไขใหม่ ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ก็ยังประโยชน์จากน้อยๆ ก็จะล้นไปสู่สังคมสู่ภายนอกได้เต็มเปี่ยม
ตั้งใจรับพรกัน
ถ้าเราไม่ฝึกฝนตนเองไม่มีใครจะฝึกให้เราได้เลย นอกจากตัวของเรา รู้จักแก้ไข อย่าให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากในอาหาร การอยู่ การขบการฉัน อยากในรูป รส กลิ่น เสียงต่างๆ อยากปรุงแต่ง อยากไปอยากมา ความไม่อยาก จะมีมากมีน้อยก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก แล้วก็ต้องรู้จักควบคุม รู้จักพิจารณา แสวงหาด้วยสติ แสวงหาด้วยปัญญา จะเอามากเอาน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล พยายาม เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจในการสังเกตในการวิเคราะห์ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจอยากจะได้บุญ ใจมีฐานในการสร้างความดีงาม สร้างบุญสร้างอานิสงส์อยู่ แต่การหยุดการระงับยับยั้ง การแยกการคลาย คลายความหลงไม่มี ก็เลยต้องวนเวียนว่ายตายเกิด ไม่จบไม่สิ้น
ถ้าเรามารู้ความจริง มารู้จักวิเคราะห์มองเห็นเหตุเห็นผล ก็จะไม่อยากจะเกิดเลย เพียงแค่การเกิด เราก็จะไม่ให้ใจของเราเกิด เพราะว่าการเกิดก็เป็นทุกข์ ทั้งเกิดด้วย ทั้งหลงด้วย ทั้งเป็นทาสของอารมณ์ด้วย สารพัดอย่าง หล่อหลอมรวมกันจนปิดมืดมิดเอาไว้หมด ก็เลยยากที่จะคลาย นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติ เจริญพรหมวิหาร รู้จักละกิเลสออกจากใจของเรา กิเลสหนา กิเลสหยาบ กิเลสกลาง กิเลสละเอียด ออกจากใจของตัวเรา เราถึงจะมองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน แต่ส่วนมากคนทั่วไปก็ฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทานอยู่ในระดับนี้กันเยอะ
บุคคลที่มีปัญญา ก็ต้องทำความเพียรให้สูงขึ้นไป ทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าคนเราก็มีบุญมีอานิสงส์นั่นแหละถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทีนี้การได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็มาแก้ไขมาปรับปรุงวิญญาณของตัวเรา สมมติของเรา กายของเราให้ดี ก่อนที่จะหมดลมหายใจ ให้วิญญาณของเราไปสู่แนวทางที่ดี ตราบใดที่ใจหรือว่าวิญญาณของเรายังละกิเลสไม่หมดจด ยังดับความเกิดไม่ได้ก็ต้องเกิด แต่ก็ขอให้เกิดอยู่ในภพภูมิที่ดี
ภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ มี เราอย่าประมาท วันนี้มี พรุ่งนี้มี เมื่อวานนี้ก็ผ่านมาแล้วก็มี พ่อแม่มี ครูบาอาจารย์มี มีหมดถ้าเรามาวิเคราะห์พิจารณา อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรมที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อ หรือมองเห็นด้วยตาสติตาปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเราถึงจะมองเห็นความเป็นจริง อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันเกียจคร้าน มาศึกษาชีวิตของเราให้ถ่องแท้ก่อนที่จะหมดลมหายใจ โอกาสเปิดให้ทุกคนนั่นแหละ ทีนี้เราจะตักตวงในทางกุศล หรืออกุศลก็เท่านั้นเอง
ในหลักธรรมแล้วท่านให้ละอกุศล เจริญกุศล แต่ไม่ให้ยึด ให้อยู่เหนือ เหนือบุญเหนือบาป เราก็จะอยู่กับบุญ ทุกคนก็อยากจะปล่อยอยากจะวางแต่ไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวางก็เลยวางไม่ได้ นอกจากบุคคลที่มีสติมีปัญญาเดินตามแนวทางของพระพุทธองค์ คือพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร เรื่องทุกข์ อะไรคือทุกข์ สอนความไม่เที่ยงอะไรคือความไม่เที่ยง สอนเรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา คำว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร ท่านชี้แนะแนวทางไว้ให้หมด แล้วก็บอก บอกหนทางเดินด้วยคือ อริยมรรคมีองค์แปด สัมมาทิฏฐิเป็นข้อแรก ความเห็นที่ถูกต้อง
เพียงแค่ความเห็นที่ถูกต้องพวกเรายังไม่เข้าใจเลย ความเห็นที่ถูกต้องคือเห็น คือแยกรูปแยกนามนั่นแหละ เห็นวิญญาณหรือว่าจิตมันคลายออกจากความคิด คลายออกจากอารมณ์ เขาเรียกว่าหรือคลายความหลง เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง รู้ด้วยเห็นด้วย ทำอย่างไรถึงจะเห็นตรงนี้ เราต้องมาสร้างสติหรือว่ามาสร้างความรู้ตัวนั่นแหละให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้รู้เท่าทัน ถ้าเห็นแล้วก็ยังไม่พอ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจอีกก็ยิ่งยากอีก เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง แล้วก็ดับความเกิดละกิเลสของเราให้หมดจดอีก ทั้งกายกรรม วจีกรรม แล้วก็มโนกรรม
กายกรรม คือสภาพร่างกายของเราต้องไปในทางที่สุจริต กาย วาจา ใจ เรามาศึกษาให้ละเอียด ยิ่งพระเรา ยิ่งชีเรา น้อมนำตัวเข้ามาแล้ว เข้ามาฝึกหัดปฏิบัติให้ถึงให้เร็วให้ไว สิ่งพวกนี้บังคับกันไม่ได้หรอก สิ่งพวกนี้บังคับกันไม่ได้ แล้วแต่อานิสงส์ผลบุญของแต่ละบุคคล สร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนสมมติก็ลำบาก บางคนสมมติก็อุดมสมบูรณ์ ขอให้เราน้อมใจของเราเข้ามา แล้วก็รู้จักหาแนวทางหาวิธี แล้วก็ทำความเพียร ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ความอดทน ก็ต้องพยายามกัน
ยิ่งอยู่ด้วยกันเยอะๆ ก็ต้องพยายามสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็ช่วยกัน ทำงานภายนอกงานภายใน ให้ช่วยกันทำ งานภายนอกก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ สมมติที่เราเข้ามายุ่งเกี่ยวนี่แหละ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องน้ำ ห้องส้วม โรงครัว ซึ่งเป็นปัจจัยอํานวยความสะดวกให้ทางกาย ในการปฏิบัติจะได้ไปได้เร็วได้ไว นี่ถ้าที่พักไม่มี กายของเราก็ลำบาก ห้องส้วมห้องน้ำไม่มี จะปลดหนักปลดเบาก็ลำบาก เพราะว่าวิญญาณมาอาศัยกายนี้อยู่แต่เราเข้าไม่ถึงก็เลยไปเหมารวมกันหมด กายก็เป็นกายของเรานั่นแหละ แต่ในหลักธรรมท่านต้องให้รู้ความเป็นจริง ก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเรา
บุคคลที่มีปัญญามีบุญจะพยายามแก้ไขตัวเองทุกอิริยาบถ จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ พร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา แม้แต่กายจะแตกจะดับก็ไม่ให้ใจของเราไปเกาะเกี่ยวอะไร ปล่อยวางขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ วางขณะที่เราทำอยู่นี่แหละ วางขณะที่เราพูดอยู่นี่แหละ วางความยึดมั่นถือมั่น แต่ถ้าไม่รู้จักจุดวางก็วางไม่ได้เหมือนเดิม เพราะว่าใจยังเกิดอยู่
เพียงแค่ความเกิดนั้นใจก็ไม่เที่ยงแล้ว นี่ใจยังไม่คลายออกจากความคิดอีก ก็ยังไม่ได้หงายยังไม่ได้พลิก ถ้าใจหงายออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนามไปก็นึกถึงเรื่องพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติเพียงแค่เริ่มต้นที่ถูกต้อง การตามดู การรู้การเห็น ต้องขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน กิเลสหยาบกิเลสละเอียด นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นใจของเราเป็นอย่างไร นี่เราต้องทำความเข้าใจ อันนี้ไม่สนใจเลยยิ่งห่างไกล แล้วแต่อานิสงค์บุญนะ อานิสงค์บุญของแต่ละบุคคล ความขยันหมั่นเพียรของแต่ละบุคคล
ทุกคนก็มีบุญ อย่าให้หยุดอยู่แค่การทำบุญให้ทาน เราต้องทำความเข้าใจสติ สมาธิ ปัญญา ศีลสมาธิปัญญานั่นแหละ ความปกติของกายเป็นอย่างไร ของปกติของวาจาเป็นอย่างไร ความปกติของใจเป็นอย่างไร ระเบียบวินัยเป็นอย่างไร ระเบียบวินัย วินัยภายนอกวินัยภายในเป็นอย่างไร อธิจิต อธิศีล อธิวินัย เราต้องทำความเข้าใจหมด ไม่ใช่ว่าแต่ละวันตื่นขึ้นมาใจวิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ไปอคติตั้งแต่คนโน้น ไปว่าตั้งแต่คนนี้ คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ก็ใจของเราไม่ดี ก็เที่ยววิ่งพล่านไปอคติคนโน้นอคติคนนี้ อยู่ใกล้คนไหนก็ไปอคติคนโน้น อยู่ใกล้ที่ไหนก็ไปอคติคนนี้ นั่นแหละเขาเรียกว่ามลทิน
ยกตนเองสูงมองเห็นคนอื่นต่ำ ยกตัวเองต่ำมองเห็นตัวเองต่ำ ยกคนอื่นสูง อคติเพ่งโทษ ไปวัดไหนก็หลวงพ่อองค์นั้นไม่ดี ไปวัดนี้หลวงพ่อองค์นี้ก็ไม่ดี สารพัดอย่าง มันไปอคติ แทนที่จะสอนตัวเองแก้ไขตัวเอง ดีหมดทุกที่ถ้าใจของเราดี ภายนอกไม่ดีถ้าใจของเราดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม เราก็ต้องพยายาม พยายามเอาใจของเราดีแล้ว ถึงภายนอกไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม เป็นเรื่องของเราทุกคนต้องพิจารณา
ท่านให้พิจารณาก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิดอีก ลึกลงไปก็ดับความคิดอีก ดับความเกิดอีก ให้ใจของเราอยู่ในความเป็นกลาง อยู่ในความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น บุคคลที่มีสติปัญญาที่แหลมคม บุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรถึงจะเข้าใจ แต่ก็อย่าไปทิ้งบุญนะ พยายามพากันทำบุญเอาไว้ เจริญพรหมวิหารเอาไว้ ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา เราทำบุญอย่าไปคิดว่าคนโน้นเขาทำแล้วคนนี้เขาทำแล้ว อันนั้นเป็นเรื่องของคนอื่นเขา คนอื่นเขาทำเราพลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็ได้มีอานิสงส์แห่งบุญกับเขาด้วย ส่วนของเรา ของเราก็ต้องทำ
ได้แต่คิดดีก็เป็นบุญแล้ว คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ไม่อคติไม่เพ่งโทษ พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด ต้องบอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขปรับปรุงตัวเราให้ได้ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่อะไรที่ยังเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ ไม่ใช่งอมืองอเท้า ช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ใช้ตัวเองก็ไม่เป็น เสียเวลาเปล่าๆ ทุกคนก็ต้องเกิดมาช่วยเหลือตัวเองแก้ไขตัวเองให้มันได้เสียก่อน ไม่ว่าภายนอกภายใน สมมติเราก็ช่วยกันทำ จากน้อยไปหามากๆ มันก็อานิสงส์ก็เกิดขึ้น
เรามีความเกียจคร้านเราก็ละความเกียจคร้าน สติของเราไม่ต่อเนื่อง เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา กายวิเวกเป็นอย่างนั้น ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปเที่ยวให้สำนักโน้นสำนักนี้เขาบังคับ ต้องนั่ง ต้องยืน ต้องเดิน ต้องทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ เรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว เร่งทำความเพียรจนถึงจุดหมายปลายทางจนไม่มีงานที่จะทำแล้ว คืองานภายใน คือความสะอาดความหมดจดบังเกิดขึ้น งานภายนอกเราก็แก้ไข อะไรเราขาดบกพร่องตรงไหนผิดพลาดแก้ไขใหม่ ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ก็ยังประโยชน์จากน้อยๆ ก็จะล้นไปสู่สังคมสู่ภายนอกได้เต็มเปี่ยม
ตั้งใจรับพรกัน