หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 086
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 086
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วรึยัง ถ้ายังก็เริ่มชะนะ อันนี้เป็นการย้ำ เป็นการเตือน เป็นการบอกชี้แนะแนวทาง อุบายเท่านั้นเอง การสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออก ตั้งแต่เกิดเราขาดการสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ก็เลยไม่เข้าใจในการดำเนินชีวิตของตัวเราเอง
มีแต่ไปคิดไปค้นหา ด้วยอำนาจของความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต ที่เกิดจากอาการของจิต ความรู้ตัว ลักษณะการสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เราไม่ค่อยจะสนใจกัน ไม่ค่อยจะสร้างขึ้นมา หรืออาจจะสร้างขึ้นมาได้เป็นบางครั้ง แล้วก็ไม่รู้จักทำให้ต่อเนื่อง เอาไปแก้ไข ไปใช้ ไปสํารวจ เอาไปวิเคราะห์ใจของตัวเอง ว่าการเกิดของใจ เขาเกิด เขาก่อตัวอย่างไร เขาส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร เขาหลงความคิด หลงอารมณ์ได้อย่างไร เขาเป็นทาสของกิเลสแต่อย่างไร กิเลสมีหลายระดับ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดอีก
ในรูปกายของเรานี่มีอะไรบ้าง เราต้องพยายามสร้างผู้รู้ หรือว่าเจริญสติเข้าไปสํารวจดู เข้าไปตรวจตาดูอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นส่วนรูปธรรม อันนี้เป็นส่วนนามธรรม เขาแยกเขาคลายกันได้อย่างไร ทุกคนก็ปรารถนา จิตวิญญาณของแต่ละดวงก็ปรารถนาหาหนทางดับทุกข์ ต้องการที่จะปรารถนาหาความสุขใส่ตัวเอง แต่ทำไมถึงปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เพราะความไม่เข้าใจ ความหลง ความหลงนั่นแหละถึงได้มาเกิด มาเกิดอยู่ในกายเนื้อ มาเกิดอยู่ในกายของมนุษย์ แล้วก็หลงเกิดต่ออีก หลงคิด หลงปรุงหลงแต่งนั่นแหละ ความเกิดของจิต ของวิญญาณ เขาเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งจิตอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเราก็จะเห็น ไม่ว่าภายใน 5 นาที 10 นาทีภายในชั่วโมงนี้ ตัวจิต หรือว่าวิญญาณของเราเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง สักกี่เที่ยว ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง เราไม่มีผู้รู้ เราไม่ได้สร้างผู้รู้ เราไม่ได้เจริญสติ เราก็เลยไม่เห็น แล้วก็เพราะว่าจิตนั้นเป็นธาตุรู้ แต่เขาเกิดอยู่ รู้อยู่ว่าเกิด รู้อยู่ว่าคิด รู้อยู่ว่าทำ ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วก็ยังไม่ใช่สติปัญญาที่จะเข้าไปดับทุกข์ คลายทุกข์ได้ รู้ความจริงได้ นอกจากจะมาเจริญ มาสร้างให้มีให้เกิด ทำความเข้าใจจนกว่าจิตของเราคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘คลายความหลง’ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ขนาดแยกรูปแยกนามได้แล้ว เราต้องทำความเข้าใจแล้วก็ละอีก ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรแต่ละบุคคล
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าพากันปิดกั้นตัวเราเอง ทำเถอะ พยายามพากันทำ การทำบุญ การให้ทาน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ทุกคนก็แสวงหาเพื่อที่จะหาทางดับทุกข์ ยิ่งนักบวชของเรา เข้ามาแล้วเราก็ต้องพยายามให้ถึงจุดหมายปลายทาง ให้เต็มรอบทุกอย่าง หมั่นสํารวจตรวจตรา ละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร เพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้ตัวเรา การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ กายวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมต่างๆ เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ การก่อตัว การเริ่มเกิดของจิตเป็นอย่างนี้ คนมีปัญญาเขาจะไปทำ พอรู้จักแนวทางแล้วก็ไปทำความเพียร
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวพลังเผลอเป็นลักษณะอย่างนี้ อย่าไปเกียจคร้าน การเกียจคร้านตั้งแต่แรกก็ยากที่จะเข้าใจในทรัพย์อันสูง หมั่นสํารวจตรวจตราดู แล้วย้อนเข้าไปตั้งแต่โน่น ตั้งแต่เด็กๆ นําขึ้นมาหากิเลสตัวไหนมันมาเล่นงานเรา ยิ่งเราแยกรูปแยกนามได้ ตามดูได้ ยิ่งจะเห็น เห็นชัดเจน เห็นตัวจิตของเราพลั้งเผลอให้กิเลสไปกี่เที่ยว สักกี่อย่าง หรือว่าเกิดขึ้นจากภายใน หรือว่าเกิดจากภายนอก มาทำให้ใจของเราเกิด ไม่เหลือวิสัยหรอกนะ พยายามเอา
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง เล่าเรื่องเก่ามารู้ สัก 20 ปี ถึง 30 ปีแล้วแหละ ไม่มีเรื่องอื่นที่จะเล่า เพราะว่าไม่มีประโยชน์อะไร เล่าเรื่องเก่านี่แหละ พวกท่านไปทำให้มีให้เกิดขึ้นในใจของตัวเราเองเถอะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัด เข้าถึงธรรม เราก็จะได้ฟังธรรมตลอดเวลา ใครเห็นจิต ใครรู้จิต คนนั้นก็เห็นธรรม คนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า แต่จิตก็มีกันทุกคน ปีนี้จะพลิก จะหงาย จะคลายความหลงได้หรือไม่ จะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล พยายามกันนะ
เราอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ทั้งพระทั้งชีทั้งอะไร ก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคีกัน มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าเอาทิฐิมานะของตัวเราเข้ามาเป็นที่ตั้ง เอาความเป็นกลาง เอาความถูกต้องเป็นที่ตั้ง มีอะไรเราก็ช่วยกัน อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ระดับของสมมติ ประโยชน์ระดับของวิมุตติ ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน่น ก็ไม่เข้าใจในธรรม ไปอยู่ที่นี่ ก็ไม่เข้าใจในธรรม
เพราะว่าความเพียรของเราไม่มี มีแต่ความเกียจคร้าน มีตั้งแต่ความไม่สน ไม่ฝักใฝ่ ไม่สนใจ มันก็ยากที่จะเข้าใจ ถ้าคนมีบุญ มีอานิสงส์ อยู่คนเดียวก็เข้าใจ เพียงแค่ได้อ่าน เพียงแค่ได้ฟัง แล้วก็ไปทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา รู้ด้วย เห็นด้วย อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อยู่คนเดียวก็เข้าใจ ถ้าบุคคลที่จะไม่เอาจริงๆ จะพูดอย่างไรก็เหมือนเดิม พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าบุคคลที่จะเอาแล้ว เขาไปทำความเพียร ไปทำความเข้าใจให้ครบทั้งหมด ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งสมาธิ
ศีล ลักษณะของศีล ความปกติของกาย วาจา ใจเป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของสมาธิ ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายความหลงเป็นลักษณะอย่างนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดก่อตัวส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง แต่ละวันมีทั้งใจส่งออกไปข้างนอก ทั้งความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเราจะเห็น แต่ความรู้ตัวก็ยังไม่ชัดเจน อาจจะมีเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว มันก็เลยไม่รู้ความเป็นจริง ก็ได้อยู่ในระดับการทำบุญ ศรัทธา การทำบุญ ให้ทาน แต่ปัญญาวิปัสสนารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ในโลกธรรม ตรงนี้ไม่เต็มเปี่ยม รู้ด้วยปัญญาโลกิยะ ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา เพียงแค่เล่าให้ฟัง
มีแต่ไปคิดไปค้นหา ด้วยอำนาจของความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต ที่เกิดจากอาการของจิต ความรู้ตัว ลักษณะการสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เราไม่ค่อยจะสนใจกัน ไม่ค่อยจะสร้างขึ้นมา หรืออาจจะสร้างขึ้นมาได้เป็นบางครั้ง แล้วก็ไม่รู้จักทำให้ต่อเนื่อง เอาไปแก้ไข ไปใช้ ไปสํารวจ เอาไปวิเคราะห์ใจของตัวเอง ว่าการเกิดของใจ เขาเกิด เขาก่อตัวอย่างไร เขาส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร เขาหลงความคิด หลงอารมณ์ได้อย่างไร เขาเป็นทาสของกิเลสแต่อย่างไร กิเลสมีหลายระดับ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดอีก
ในรูปกายของเรานี่มีอะไรบ้าง เราต้องพยายามสร้างผู้รู้ หรือว่าเจริญสติเข้าไปสํารวจดู เข้าไปตรวจตาดูอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นส่วนรูปธรรม อันนี้เป็นส่วนนามธรรม เขาแยกเขาคลายกันได้อย่างไร ทุกคนก็ปรารถนา จิตวิญญาณของแต่ละดวงก็ปรารถนาหาหนทางดับทุกข์ ต้องการที่จะปรารถนาหาความสุขใส่ตัวเอง แต่ทำไมถึงปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เพราะความไม่เข้าใจ ความหลง ความหลงนั่นแหละถึงได้มาเกิด มาเกิดอยู่ในกายเนื้อ มาเกิดอยู่ในกายของมนุษย์ แล้วก็หลงเกิดต่ออีก หลงคิด หลงปรุงหลงแต่งนั่นแหละ ความเกิดของจิต ของวิญญาณ เขาเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งจิตอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเราก็จะเห็น ไม่ว่าภายใน 5 นาที 10 นาทีภายในชั่วโมงนี้ ตัวจิต หรือว่าวิญญาณของเราเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง สักกี่เที่ยว ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง เราไม่มีผู้รู้ เราไม่ได้สร้างผู้รู้ เราไม่ได้เจริญสติ เราก็เลยไม่เห็น แล้วก็เพราะว่าจิตนั้นเป็นธาตุรู้ แต่เขาเกิดอยู่ รู้อยู่ว่าเกิด รู้อยู่ว่าคิด รู้อยู่ว่าทำ ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วก็ยังไม่ใช่สติปัญญาที่จะเข้าไปดับทุกข์ คลายทุกข์ได้ รู้ความจริงได้ นอกจากจะมาเจริญ มาสร้างให้มีให้เกิด ทำความเข้าใจจนกว่าจิตของเราคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘คลายความหลง’ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ขนาดแยกรูปแยกนามได้แล้ว เราต้องทำความเข้าใจแล้วก็ละอีก ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรแต่ละบุคคล
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าพากันปิดกั้นตัวเราเอง ทำเถอะ พยายามพากันทำ การทำบุญ การให้ทาน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ทุกคนก็แสวงหาเพื่อที่จะหาทางดับทุกข์ ยิ่งนักบวชของเรา เข้ามาแล้วเราก็ต้องพยายามให้ถึงจุดหมายปลายทาง ให้เต็มรอบทุกอย่าง หมั่นสํารวจตรวจตรา ละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร เพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้ตัวเรา การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ กายวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมต่างๆ เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ การก่อตัว การเริ่มเกิดของจิตเป็นอย่างนี้ คนมีปัญญาเขาจะไปทำ พอรู้จักแนวทางแล้วก็ไปทำความเพียร
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวพลังเผลอเป็นลักษณะอย่างนี้ อย่าไปเกียจคร้าน การเกียจคร้านตั้งแต่แรกก็ยากที่จะเข้าใจในทรัพย์อันสูง หมั่นสํารวจตรวจตราดู แล้วย้อนเข้าไปตั้งแต่โน่น ตั้งแต่เด็กๆ นําขึ้นมาหากิเลสตัวไหนมันมาเล่นงานเรา ยิ่งเราแยกรูปแยกนามได้ ตามดูได้ ยิ่งจะเห็น เห็นชัดเจน เห็นตัวจิตของเราพลั้งเผลอให้กิเลสไปกี่เที่ยว สักกี่อย่าง หรือว่าเกิดขึ้นจากภายใน หรือว่าเกิดจากภายนอก มาทำให้ใจของเราเกิด ไม่เหลือวิสัยหรอกนะ พยายามเอา
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง เล่าเรื่องเก่ามารู้ สัก 20 ปี ถึง 30 ปีแล้วแหละ ไม่มีเรื่องอื่นที่จะเล่า เพราะว่าไม่มีประโยชน์อะไร เล่าเรื่องเก่านี่แหละ พวกท่านไปทำให้มีให้เกิดขึ้นในใจของตัวเราเองเถอะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัด เข้าถึงธรรม เราก็จะได้ฟังธรรมตลอดเวลา ใครเห็นจิต ใครรู้จิต คนนั้นก็เห็นธรรม คนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า แต่จิตก็มีกันทุกคน ปีนี้จะพลิก จะหงาย จะคลายความหลงได้หรือไม่ จะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล พยายามกันนะ
เราอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ทั้งพระทั้งชีทั้งอะไร ก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคีกัน มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าเอาทิฐิมานะของตัวเราเข้ามาเป็นที่ตั้ง เอาความเป็นกลาง เอาความถูกต้องเป็นที่ตั้ง มีอะไรเราก็ช่วยกัน อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ระดับของสมมติ ประโยชน์ระดับของวิมุตติ ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน่น ก็ไม่เข้าใจในธรรม ไปอยู่ที่นี่ ก็ไม่เข้าใจในธรรม
เพราะว่าความเพียรของเราไม่มี มีแต่ความเกียจคร้าน มีตั้งแต่ความไม่สน ไม่ฝักใฝ่ ไม่สนใจ มันก็ยากที่จะเข้าใจ ถ้าคนมีบุญ มีอานิสงส์ อยู่คนเดียวก็เข้าใจ เพียงแค่ได้อ่าน เพียงแค่ได้ฟัง แล้วก็ไปทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา รู้ด้วย เห็นด้วย อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อยู่คนเดียวก็เข้าใจ ถ้าบุคคลที่จะไม่เอาจริงๆ จะพูดอย่างไรก็เหมือนเดิม พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าบุคคลที่จะเอาแล้ว เขาไปทำความเพียร ไปทำความเข้าใจให้ครบทั้งหมด ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งสมาธิ
ศีล ลักษณะของศีล ความปกติของกาย วาจา ใจเป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของสมาธิ ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายความหลงเป็นลักษณะอย่างนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดก่อตัวส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง แต่ละวันมีทั้งใจส่งออกไปข้างนอก ทั้งความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเราจะเห็น แต่ความรู้ตัวก็ยังไม่ชัดเจน อาจจะมีเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว มันก็เลยไม่รู้ความเป็นจริง ก็ได้อยู่ในระดับการทำบุญ ศรัทธา การทำบุญ ให้ทาน แต่ปัญญาวิปัสสนารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ในโลกธรรม ตรงนี้ไม่เต็มเปี่ยม รู้ด้วยปัญญาโลกิยะ ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา เพียงแค่เล่าให้ฟัง