หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 070
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 070
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นการสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน แม้แต่ลมหายใจ อย่าไปบังคับนะ เพราะว่าการหายใจก็หายใจมาตั้งแต่เกิด
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ จะมีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูก ความรู้สึกนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ จะมีความรู้สึกต่อเนื่องก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามสร้างตรงนี้ให้มีให้เกิด สติความรู้สึกตรงนี้ไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ขณะที่เราสร้างให้ต่อเนื่องนั้น บางทีตัววิญญาณและตัวจิตที่อยู่กลางใจของเรา มันจะวิ่ง คิดไปเรื่องโน้นคิดไปเรื่องนี้ มันจะเห็น มันจะรู้เป็นสองส่วนแล้ว ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้ส่วนหนึ่ง
ส่วนวิญญาณนั้นบางทีก็ปกติ บางทีก็เวลาเขาก่อตัวเขาเกิด เราก็จะรู้ แต่เราไม่เห็นขณะเขาเกิด เรารู้เฉยๆ เขาเกิด คิดไปไม่รู้ว่าคิดไปที่ไหนแล้ว เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกแรงๆ ยาวๆ ใหม่ๆ ตัวใจก็จะกลับมาอยู่ในกายของเราเอง หรือกลับมาอยู่กับลมหายใจของเราเอง มันไปอีกเราก็กระตุ้นความรู้สึกใหม่ๆ นี่เรียกว่า ‘ฝืน’ เขาเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิด ชอบเที่ยว เราไม่ให้คิดก็เลยเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เราควบคุมจิตของเราได้อยู่ในระดับหนึ่ง มีความรู้ตัวทั่วพร้อมตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แต่ยังมีอาการของจิต อาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยที่ไม่ตั้งใจคิดอีก
ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็จะเห็นเขาก่อตัวเริ่มก่อตัว เริ่มคิด เริ่มปรุง เริ่มแต่งเป็นเรื่องเป็นราว ขณะเขาเริ่มก่อตัว ตัววิญญาณก็จะเคลื่อนเข้าไปรวม ขณะวิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็นตรงนั้นแหละ ตัววิญญาณขณะเคลื่อนเข้าไปรวมปุ๊บ มีความรู้ตัวไปเห็นตรงนั้นปุ๊บ วิญญาณจะดีดออกจากอาการของความคิด เขาเรียกว่า ‘หงาย’ หงาย ของที่คว่ำ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นี้แหละที่ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิในอริยมรรค ในข้อแรกในองค์แปดคือสัมมาทิฎฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง ต้องเห็นตรงนี้
พอหงายจิต ดีดออกหงายปุ๊บ จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา ความคิดที่มันมาปรุงแต่งจิต เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความรู้ตัวที่เราสร้างมา หรือว่าสติก็ตามไปดู ตั้งแต่เขาเกิดขึ้น เขาตั้งอยู่ ก็ดับไป นั่นแหละอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของเราซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ส่วนกายของเราที่เป็นก้อนรูป แต่เราไม่เห็นตรงนั้น เรารู้อยู่ว่าเราคิด เราก็รู้อยู่ว่าเราทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ แต่เราจำแนกแจกแจงตรงนี้ไม่ได้ เพราะว่ากำลังความรู้ตัวของเรามีไม่เพียงพอ แล้วก็ไม่รู้จักสร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็ไม่รู้จักเอาไปใช้ ก็เลยขาดตรงนี้
ทั้งที่ใจเนี่ย ตัววิญญาณ ตัวใจนั้นอยู่ในบุญ ฝักใฝ่บุญ อยากจะได้บุญ อยากทำบุญ อยากได้ธรรม สารพัดอย่าง เรามาละความอยาก ดับความอยาก เรามาดับความเกิด มันก็สงบ มันก็ตั้งมั่น เราละกิเลสออกให้มันหมด มันไม่เกิด มันก็ว่าง ความว่างนั่นแหละคือองค์ธรรม นั่นแหละคือเครื่องอยู่ของวิญญาณ ความว่างนั้น แต่ส่วนมากมันเกิดไปตั้งนานแล้ว มันหลงไปตั้งนานแล้ว มันก็หาเหตุหาผลมาให้มาปิดบังอำพรางตัวเองทั้งขันธ์ห้า ทั้งตัวจิต ทั้งสติปัญญาต่างฝ่ายก็ต่างหาเหตุหาผล
กำลังสติของเราจะมีเพียงพอ หาเหตุหาผล รู้เห็นตามความเป็นจริง ให้ตัววิญญาณของเรายอมรับความเป็นจริง ว่ามันไม่เที่ยง ว่ามันเป็นทุกข์ มันถึงจะยอมปล่อยยอมวาง อยากจะวางก็วางไม่ได้หรอก ถ้าเรากำลังสติของเราหาเหตุหาผลไม่เพียงพอ ถ้ากำลังกับสติของเราหาเหตุหาผลได้เพียงพอแล้ว ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว ละกิเลสได้แล้ว การเกิดมันก็ไม่เกิด เพราะว่าเป็นทุกข์ เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลสมันก็ไม่เอา
การพูดนี่ง่ายนะ การลงมือการทำความเพียร การละกิเลสออกจนใจไม่เหลืออะไร มันต้องใช้เวลา ใช้ความเพียรสร้างตบะอย่างแรงกล้า หรือว่าบารมีให้เต็มเปี่ยม ทานของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความสัจจะมี ไม่มี มีความตระหนี่เหนียวแน่น ละกิเลสออกจากจิตใจของเรา ไม่มีความเห็นแก่ตัว ต้องกำจัดออกให้หมด เจริญพรหมวิหารให้มันเพียบพร้อม ให้เข้าถึงรู้ด้วย เห็นด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย นั่นแหละถึงจะหายจากความสงสัยของพระพุทธเจ้า เข้าถึงคำสอนของท่าน น้อมนำคำสอนของท่านมาเกิดขึ้นที่ใจของเรา
ใจที่ปราศจากกิเลส จะมีตั้งแต่ปีติ มีตั้งแต่ความสุข ใจที่ไม่เกิดแล้ว ใจก็นิ่ง ใจก็อยู่ในองค์สมาธินั่นแหละ ใจนิ่งใจเที่ยง อันนี้นิพพานว่าเที่ยง ใจไม่มีกิเลส ใจก็สะอาดสว่าง กิเลสมันก็มีหลายชั้นนะ ไม่ใช่ว่าจะไปไล่เขาออกได้ง่ายๆ นะ เพราะว่าเขาอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน เขาสร้างสะสมมาด้วยกันตั้งนาน ความคิด อารมณ์ แม้กระทั่งกิเลสฝ่ายดี ความคิดดีก็เป็นกิเลสฝ่ายดี ทั้งดำทั้งขาว ทั้งดีทั้งไม่ดี เป็นนั่นหมดแหละ เพียงแค่ความคิดแม้แต่นิดเดียวก็ยังไม่ให้เกิดขึ้น ไม่ให้ใจของเราเกิด คลายความหลง ละกิเลส
มันพูดง่าย การดับ การละ มีความเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เราระงับยับยั้งได้มั้ย เราดับได้มั้ย กำลังสติของเราต่อเนื่องหรือไม่ จนฝึกเอาไปใช้จำแนกแจกแจงจนเอาไปใช้ได้ เอาไปบริหารกายบริหารใจของเราได้ จนใจไม่เกิดเลย ตราบใดที่จะยังเกิด ก็ต้องดับต้องละอยู่ ต้องพยายาม ถ้าบุคคลใดที่สร้างบุญ สร้างอานิสงส์มาดี พื้นฐานของใจมีแต่ความเสียสละ มีแต่ความเมตตา มีแต่ขัดเกลาเอาออกอยู่ตลอดเวลาบุคคลเช่นนี้แหละจะเข้าถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ฝั่งก็คือพระนิพพาน
มีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ ความจริงมีอยู่ แต่เราเข้าไม่ถึง เราต้องเข้าเหตุ เราถึงจะหมดความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนเรื่องทุก เรื่องดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ คือการดับทุกข์ อะไรคือลักษณะของอัตตา ลักษณะของอนัตตา ลักษณะสมมติวิมุตติเป็นอะไร ขันธ์ห้าของเรามันมีอะไรบ้าง ที่ท่านบอกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก ตัววิญญาณเข้ามาครอบครองได้อย่างไร มันเกิดได้อย่างไร เราต้องเจริญสติหาเหตุหาผล จนวิญญาณของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงนั่นแหละ
แต่ทุกวันนี้เราไปมั่นหมายเอาตัวจิต ตัวความคิดก่อนให้ว่าเป็นสติ ว่าเป็นปัญญา มันก็เลยปิดกั้นตัวเองไปหมด เราต้องมาสร้างความรู้สึกตัวให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักควบคุมเอาไว้ จนกว่าเราจะมองเห็นเหตุเห็นผล ตามดูรู้เห็นจนหมดสิ่งที่จะพบว่าสงสัยนั่นแหละ ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ พยายาม
ทุกคนเกิดมาก็มีบุญอยู่แล้ว บุญเก่าก็มี ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บุญใหม่เราก็ได้สร้างได้ทำ อะไรที่เป็นอกุศลพยายามละเสีย อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็พยายามเจริญ ไล่ลงไปตั้งแต่รู้จักวาจา แล้วก็ทำให้วาจาของเราให้เป็นบุญ กายให้เป็นบุญ วาจาให้เป็นบุญ ลึกลงไปก็ใจให้อยู่ในกองบุญ ให้ได้ครบทั้ง 3 อย่างนั่นแหล่ะ ศีล สมาธิ ปัญญาก็จะอยู่กับเรา ดูกายก้อนนี้แหละ ดูใจก้อนนี้แหละ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน ประกาศด้วยตนเอง ใครรู้ธรรม คนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า ใครเห็นพระพุทธเจ้า คนนั้นก็เห็นธรรม ก็เห็นใจ รู้ใจนั่นแหละ พุทธะก็คือผู้รู้ ผู้รู้ใจของเรานั้นรู้อะไร รู้โลก รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่หลงไม่ยึด มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
อันนี้ก็ใกล้จะออกพรรษาเต็มที ก็เหลืออีกไม่นาน ปีนี้ประเทศไทยก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ต่างๆ อุปสรรคก็เยอะ น้ำท่วมก็เยอะ เหตุเภทภัยก็เยอะ แต่เราก็พยายามช่วยกันแก้ไขในสิ่งแวดล้อมของเราให้ได้ แล้วก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก เราอย่าไปทุกข์ไปกังวลอะไร เหตุการณ์ต่างๆ เราไม่อยากให้มันเกิดมันก็เกิด เราก็พยายามแก้ไขเท่าที่เรามีกำลังสติปัญญาแก้ไขได้
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานกันต่อนะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ จะมีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูก ความรู้สึกนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ จะมีความรู้สึกต่อเนื่องก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามสร้างตรงนี้ให้มีให้เกิด สติความรู้สึกตรงนี้ไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ขณะที่เราสร้างให้ต่อเนื่องนั้น บางทีตัววิญญาณและตัวจิตที่อยู่กลางใจของเรา มันจะวิ่ง คิดไปเรื่องโน้นคิดไปเรื่องนี้ มันจะเห็น มันจะรู้เป็นสองส่วนแล้ว ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้ส่วนหนึ่ง
ส่วนวิญญาณนั้นบางทีก็ปกติ บางทีก็เวลาเขาก่อตัวเขาเกิด เราก็จะรู้ แต่เราไม่เห็นขณะเขาเกิด เรารู้เฉยๆ เขาเกิด คิดไปไม่รู้ว่าคิดไปที่ไหนแล้ว เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกแรงๆ ยาวๆ ใหม่ๆ ตัวใจก็จะกลับมาอยู่ในกายของเราเอง หรือกลับมาอยู่กับลมหายใจของเราเอง มันไปอีกเราก็กระตุ้นความรู้สึกใหม่ๆ นี่เรียกว่า ‘ฝืน’ เขาเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิด ชอบเที่ยว เราไม่ให้คิดก็เลยเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เราควบคุมจิตของเราได้อยู่ในระดับหนึ่ง มีความรู้ตัวทั่วพร้อมตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แต่ยังมีอาการของจิต อาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยที่ไม่ตั้งใจคิดอีก
ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็จะเห็นเขาก่อตัวเริ่มก่อตัว เริ่มคิด เริ่มปรุง เริ่มแต่งเป็นเรื่องเป็นราว ขณะเขาเริ่มก่อตัว ตัววิญญาณก็จะเคลื่อนเข้าไปรวม ขณะวิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็นตรงนั้นแหละ ตัววิญญาณขณะเคลื่อนเข้าไปรวมปุ๊บ มีความรู้ตัวไปเห็นตรงนั้นปุ๊บ วิญญาณจะดีดออกจากอาการของความคิด เขาเรียกว่า ‘หงาย’ หงาย ของที่คว่ำ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นี้แหละที่ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิในอริยมรรค ในข้อแรกในองค์แปดคือสัมมาทิฎฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง ต้องเห็นตรงนี้
พอหงายจิต ดีดออกหงายปุ๊บ จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา ความคิดที่มันมาปรุงแต่งจิต เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความรู้ตัวที่เราสร้างมา หรือว่าสติก็ตามไปดู ตั้งแต่เขาเกิดขึ้น เขาตั้งอยู่ ก็ดับไป นั่นแหละอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของเราซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ส่วนกายของเราที่เป็นก้อนรูป แต่เราไม่เห็นตรงนั้น เรารู้อยู่ว่าเราคิด เราก็รู้อยู่ว่าเราทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ แต่เราจำแนกแจกแจงตรงนี้ไม่ได้ เพราะว่ากำลังความรู้ตัวของเรามีไม่เพียงพอ แล้วก็ไม่รู้จักสร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็ไม่รู้จักเอาไปใช้ ก็เลยขาดตรงนี้
ทั้งที่ใจเนี่ย ตัววิญญาณ ตัวใจนั้นอยู่ในบุญ ฝักใฝ่บุญ อยากจะได้บุญ อยากทำบุญ อยากได้ธรรม สารพัดอย่าง เรามาละความอยาก ดับความอยาก เรามาดับความเกิด มันก็สงบ มันก็ตั้งมั่น เราละกิเลสออกให้มันหมด มันไม่เกิด มันก็ว่าง ความว่างนั่นแหละคือองค์ธรรม นั่นแหละคือเครื่องอยู่ของวิญญาณ ความว่างนั้น แต่ส่วนมากมันเกิดไปตั้งนานแล้ว มันหลงไปตั้งนานแล้ว มันก็หาเหตุหาผลมาให้มาปิดบังอำพรางตัวเองทั้งขันธ์ห้า ทั้งตัวจิต ทั้งสติปัญญาต่างฝ่ายก็ต่างหาเหตุหาผล
กำลังสติของเราจะมีเพียงพอ หาเหตุหาผล รู้เห็นตามความเป็นจริง ให้ตัววิญญาณของเรายอมรับความเป็นจริง ว่ามันไม่เที่ยง ว่ามันเป็นทุกข์ มันถึงจะยอมปล่อยยอมวาง อยากจะวางก็วางไม่ได้หรอก ถ้าเรากำลังสติของเราหาเหตุหาผลไม่เพียงพอ ถ้ากำลังกับสติของเราหาเหตุหาผลได้เพียงพอแล้ว ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว ละกิเลสได้แล้ว การเกิดมันก็ไม่เกิด เพราะว่าเป็นทุกข์ เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลสมันก็ไม่เอา
การพูดนี่ง่ายนะ การลงมือการทำความเพียร การละกิเลสออกจนใจไม่เหลืออะไร มันต้องใช้เวลา ใช้ความเพียรสร้างตบะอย่างแรงกล้า หรือว่าบารมีให้เต็มเปี่ยม ทานของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความสัจจะมี ไม่มี มีความตระหนี่เหนียวแน่น ละกิเลสออกจากจิตใจของเรา ไม่มีความเห็นแก่ตัว ต้องกำจัดออกให้หมด เจริญพรหมวิหารให้มันเพียบพร้อม ให้เข้าถึงรู้ด้วย เห็นด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย นั่นแหละถึงจะหายจากความสงสัยของพระพุทธเจ้า เข้าถึงคำสอนของท่าน น้อมนำคำสอนของท่านมาเกิดขึ้นที่ใจของเรา
ใจที่ปราศจากกิเลส จะมีตั้งแต่ปีติ มีตั้งแต่ความสุข ใจที่ไม่เกิดแล้ว ใจก็นิ่ง ใจก็อยู่ในองค์สมาธินั่นแหละ ใจนิ่งใจเที่ยง อันนี้นิพพานว่าเที่ยง ใจไม่มีกิเลส ใจก็สะอาดสว่าง กิเลสมันก็มีหลายชั้นนะ ไม่ใช่ว่าจะไปไล่เขาออกได้ง่ายๆ นะ เพราะว่าเขาอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน เขาสร้างสะสมมาด้วยกันตั้งนาน ความคิด อารมณ์ แม้กระทั่งกิเลสฝ่ายดี ความคิดดีก็เป็นกิเลสฝ่ายดี ทั้งดำทั้งขาว ทั้งดีทั้งไม่ดี เป็นนั่นหมดแหละ เพียงแค่ความคิดแม้แต่นิดเดียวก็ยังไม่ให้เกิดขึ้น ไม่ให้ใจของเราเกิด คลายความหลง ละกิเลส
มันพูดง่าย การดับ การละ มีความเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เราระงับยับยั้งได้มั้ย เราดับได้มั้ย กำลังสติของเราต่อเนื่องหรือไม่ จนฝึกเอาไปใช้จำแนกแจกแจงจนเอาไปใช้ได้ เอาไปบริหารกายบริหารใจของเราได้ จนใจไม่เกิดเลย ตราบใดที่จะยังเกิด ก็ต้องดับต้องละอยู่ ต้องพยายาม ถ้าบุคคลใดที่สร้างบุญ สร้างอานิสงส์มาดี พื้นฐานของใจมีแต่ความเสียสละ มีแต่ความเมตตา มีแต่ขัดเกลาเอาออกอยู่ตลอดเวลาบุคคลเช่นนี้แหละจะเข้าถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ฝั่งก็คือพระนิพพาน
มีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ ความจริงมีอยู่ แต่เราเข้าไม่ถึง เราต้องเข้าเหตุ เราถึงจะหมดความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนเรื่องทุก เรื่องดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ คือการดับทุกข์ อะไรคือลักษณะของอัตตา ลักษณะของอนัตตา ลักษณะสมมติวิมุตติเป็นอะไร ขันธ์ห้าของเรามันมีอะไรบ้าง ที่ท่านบอกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก ตัววิญญาณเข้ามาครอบครองได้อย่างไร มันเกิดได้อย่างไร เราต้องเจริญสติหาเหตุหาผล จนวิญญาณของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงนั่นแหละ
แต่ทุกวันนี้เราไปมั่นหมายเอาตัวจิต ตัวความคิดก่อนให้ว่าเป็นสติ ว่าเป็นปัญญา มันก็เลยปิดกั้นตัวเองไปหมด เราต้องมาสร้างความรู้สึกตัวให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักควบคุมเอาไว้ จนกว่าเราจะมองเห็นเหตุเห็นผล ตามดูรู้เห็นจนหมดสิ่งที่จะพบว่าสงสัยนั่นแหละ ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ พยายาม
ทุกคนเกิดมาก็มีบุญอยู่แล้ว บุญเก่าก็มี ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บุญใหม่เราก็ได้สร้างได้ทำ อะไรที่เป็นอกุศลพยายามละเสีย อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็พยายามเจริญ ไล่ลงไปตั้งแต่รู้จักวาจา แล้วก็ทำให้วาจาของเราให้เป็นบุญ กายให้เป็นบุญ วาจาให้เป็นบุญ ลึกลงไปก็ใจให้อยู่ในกองบุญ ให้ได้ครบทั้ง 3 อย่างนั่นแหล่ะ ศีล สมาธิ ปัญญาก็จะอยู่กับเรา ดูกายก้อนนี้แหละ ดูใจก้อนนี้แหละ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน ประกาศด้วยตนเอง ใครรู้ธรรม คนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า ใครเห็นพระพุทธเจ้า คนนั้นก็เห็นธรรม ก็เห็นใจ รู้ใจนั่นแหละ พุทธะก็คือผู้รู้ ผู้รู้ใจของเรานั้นรู้อะไร รู้โลก รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่หลงไม่ยึด มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
อันนี้ก็ใกล้จะออกพรรษาเต็มที ก็เหลืออีกไม่นาน ปีนี้ประเทศไทยก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ต่างๆ อุปสรรคก็เยอะ น้ำท่วมก็เยอะ เหตุเภทภัยก็เยอะ แต่เราก็พยายามช่วยกันแก้ไขในสิ่งแวดล้อมของเราให้ได้ แล้วก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก เราอย่าไปทุกข์ไปกังวลอะไร เหตุการณ์ต่างๆ เราไม่อยากให้มันเกิดมันก็เกิด เราก็พยายามแก้ไขเท่าที่เรามีกำลังสติปัญญาแก้ไขได้
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานกันต่อนะ