หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 060
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 060
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้รับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังเราก็พยายามเริ่มสร้างเสีย ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ให้ได้ทุกอิริยาบถไม่ว่าจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน หลับตา ลืมตา
เพียงแค่เรื่องการสร้างความรู้ตัวก็ให้เป็นธรรมชาติในการหายใจเข้าหายใจออก ความรู้ตัวก็จะตั้งมั่นต่อเนื่อง เพื่อที่จะรู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต รู้การก่อตัวของจิต รู้อาการของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งจิต ถ้าเรารู้เท่าทันตั้งแต่เขาเริ่มก่อตัว เขาเริ่มเกิด ตัวใจ หรือว่าตัวจิตของเราก็จะคลายออกจากขันธ์ห้า เขาก็จะคลายความหลง ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถ้าสังเกตไม่ทันตรงนี้ก็ได้เพียงแค่ควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์
บางทีก็อยู่ในความสงบ ถ้าเปรียบเสมือนกับขัน ขันที่ยังคว่ำอยู่ ยังไม่ได้หงาย ถ้าเราสังเกตจิตของเราคลายออกจากอาการของความคิดได้ เหมือนกับหงายของที่คว่ำ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา การเกิดการดับของความคิดก็จะชัดเจน แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรามีน้อย จะเอาแต่ปัญญาที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้า ไปแสวงหาธรรม มันปิดบังอำพรางตัวเองเอาไว้ในตัว
ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เข้มข้น เราก็จะพลั้งเผลอ ช่วงใหม่ๆ จะพลั้งเผลอกันแทบทุกคน ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องได้เมื่อไหร่ ถ้าเห็นลักษณะของจิตคลายออกจากความคิดได้เมื่อไหร่นั่นแหละ ถึงจะเริ่มต้นเข้าสู่วิปปัสสนา รู้แจ้งเห็นจริง สัมมาทิฏฐิ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม
การควบคุมใจให้อยู่ในความสงบ เขาเรียกว่าเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าใจของคนเรานี้หลงมานาน หลงเกิดมานาน แล้วก็หลงความคิด หลงอารมณ์ เข้าไปร่วมกันมานาน กำลังความรู้ตัวของเราต้องมองเห็นเหตุเห็นผล ตามดู ตามรู้ ตามทำความเข้าใจ เข้าใจในหลักของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในความคิดของเรา ทุกเรื่องว่าไม่มีตัวมีตน ไม่มีสาระอะไร นั่นแหละใจเขาถึงจะยอมรับ
เพียงแค่เห็นครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้ง เขาไม่ยอมรับหรอก ต้องตามดู ตามรู้ทุกเรื่อง แล้วก็ละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ ละความทะเยอทะยานอยาก ดับนั่นแหละ ออกจากใจของเรา แล้วก็มาดับความเกิด ความคิดที่เกิดจากตัวใจของเรา เพราะว่าความคิดที่เกิดจากตัวใจของเรานี่ทุกคนมีกันหมด มีมากมีน้อย มีจนฝึกเอาไปจนเกิดความเคยกิน เพราะตัวใจ หรือว่าตัววิญญาณนี่ควบคุมเอาหมดทุกอย่างเลย
เราต้องสร้างผู้รู้ตัวใหม่เข้าไปคลาย ไปแยก ไปหมั่นพร่ำสอน ไปตามดู ตามรู้ หาเหตุหาผลไปให้ใจรับรู้ ใจยังเกิด เราก็พยายามดับ พยายามข่ม จนรู้เห็นตามความเป็นจริง จนรู้จนเป็นธรรมชาติในการดู ในการรู้ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดทุกสิ่งทุกอย่าง เนี่ยถ้ายังไม่ตกกระแสธรรมก็อึดอัดหมด กายก็อึดอัด ใจก็อึดอัด จะนั่งทีก็อึดอัด จะทำอะไรทีก็อึดอัด เพราะว่าใจยังไม่ได้แยกได้คลาย ยังไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง ต้องสร้างความเพียร สร้างตบะอย่างแรงกล้า เจริญสตินี่แหล่ะเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบเรา คอยตรวจสอบใจของเรา คอยตรวจสอบกายของเรา ตรวจสอบสมมติ อะไรต่างๆ ว่าอะไรถูก อะไรผิด
อยู่กับปัจจุบันธรรม เอาความเป็นกลาง ความว่างเป็นเครื่องตัดสิน ไม่เข้าข้างตัวเอง แต่เวลานี้กำลังสติความรู้ตัวของเรานี่มี แต่มีน้อย เราต้องพยายามสร้าง ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่อยากในอาหาร การอยู่การกิน ความอยาก ความเกิดนี่มันดับเลย ดับ ดับแล้วก็วาง ดับแล้วก็วาง อยู่กับปัจจุบันธรรม คือมีความรู้ตัวปัจจุบัน คือทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเราเสีย ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง
ทีนี้เราจะละกิเลสได้มากได้น้อย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ความกังวลความฟุ้งซ่าน ความลังเล พวกมลทินต่างๆ เราก็พยายามดับ พยายามกำจัดออกให้หมด หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปพิจารณาทำหน้าที่แทน รู้ด้วย เห็นด้วย ถึงด้วย แล้วก็รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ด้วย ใจจะเกิด เราก็รู้จักดับ ถ้าเราไม่ดับความเกิด เขาก็ไม่นิ่ง เขาก็ไม่สงบ ถ้าเราไม่ละกิเลสออกจากใจของเรา มันก็ไม่บริสุทธิ์ เราพยายามกำจัดตั้งแต่ตัวเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเราดับตั้งแต่การก่อตัว แล้วตัวใหญ่มันจะเกิดได้อย่างไร
เราพยายามคลายออกๆ จากใจของเราหมดทุกเรื่อง จนเหลือตั้งแต่ความเกิดความบริสุทธิ์ของใจของเราอันนั้นแหล่ะ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทนจนเต็มรอบ จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ถ้าใจจะเกิดแล้วก็ดับปุ๊บ เราดับตั้งแต่ต้นเหตุ กำลังส่งมันก็ไม่มี ทำความเข้าใจกับอริยสัจความจริง ใจส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร ใจหลงเป็นอย่างไร การคลายขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร การทรงความว่างเป็นอย่างไร ลักษณะสมมติวิมุตติเป็นอย่างไร
ต้องรู้ชัดเจนหมดทุกเรื่อง ก่อนที่ใจจะปล่อยจะวาง แล้วก็มาดับความเกิด เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ รอบรู้ในโลกธรรม รอบรู้ในชีวิตของตัวเราเอง กายเนื้อแตกดับแล้ว วิญญาณของเราจะไปอย่างไร มาอย่างไร เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เราก็พยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมี สร้างประโยชน์ให้กับตัวเรา ให้กับสมมติ ให้กับสังคม ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา
ตอนนี้อากาศก็รู้สึกว่าฝนฟ้าก็ไม่ค่อยจะตกแล้วแหละ น้ำไปท่วมหลายจังหวัดมากมายทีเดียวในประเทศไทยของเรา เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ทั่วโลก เพราะว่าคนเราไปทำลายธรรมชาติภายนอกกัน ธรรมชาติภายในก็เข้าไม่ถึง ธรรมชาติภายนอกก็พากันไปทำร้ายกัน ความสมดุลธรรมชาติก็เลยขาดไป คอยดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่เราก็ต้องแก้ไขที่ใจของเรา ไม่ให้ใจของเราเป็นทุกข์ เอาภายในของเราให้มันจบเสียก่อน
วันนี้ขอกำลังนะ พระเราชีเราช่วยกันเทคานน้ำตกใหญ่ ช่วงเช้าพากันรวมพลกันเทคานให้ได้มีความสวยความงามในสถานที่ของเรา หน้าวิหาร ตอนนี้จะได้เทคานบนช่วงบน ช่วยกันยกปูนยกอะไรช่วยกัน ญาติโยมว่างๆ ก็ช่วยกัน มาอยู่มาอาศัยอยู่ เราก็จะได้อยู่ดีมีความสุข ไปที่ไหนมาที่ไหน ถ้าเรามีแต่ความเกียจคร้าน งอมืองอเท้า มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ประโยชน์สมมติเราก็ทำให้ดี เราก็พลอยได้รับอานิสงส์ประโยชน์สมมตินั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์
ประโยชน์สมมติที่เราทำ จิตใจก็สบาย ทุกสิ่งทุกอย่างมีเพียบพร้อม ไม่ได้ลำบาก มีแต่จะนำความสุขมาให้กับทุกคน ใครเข้ามาเหยียบย่ำ เข้ามาในบ้าน ใจก็สบาย เข้ามาโล่งโปร่ง มีแต่ความร่มรื่นร่มเย็น สบายตา บุญก็เกิดขึ้น ก็จากน้ำมือของพวกเรานี่แหละช่วยกันทำ อย่าพากันงอมืองอเท้า ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้านที่วัด ตรงไหนไม่สะอาดเราก็ช่วยกันทำเสีย ห้องส้วมห้องน้ำไม่ดี เราก็ช่วยกันดูแลปัดกวาด ดูแลความสะอาด น้ำท่าน้ำใช้สอยต่างๆ โรงครัวไม่สะอาดเราก็ทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อย มันไม่สะอาด เราก็ทำให้สะอาด มันไม่ดี เราก็ทำให้ดีเสีย มันก็จะดี ดีทั้งภายนอก ดีทั้งภายใน
ไม่ใช่ว่าไปที่โน่นก็ไม่ดี ไปที่นี่ก็ไม่ดี ที่นั่นก็ไม่ดี ครูบาอาจารย์องค์นั้นเป็นอย่างนั้น ครูบาอาจารย์องค์นี้เป็นอย่างนี้ กิเลสมันเกิดจากใจของเรานั่นแหละ นี่ก็ไปมองถ้าใจของเราไม่ดีแล้วก็มองเห็นโลกนี้ไม่ดี ถ้าใจของเราดีแล้วก็มองเห็นโลกนี้เป็นของดี
ละที่ใจ แก้ไขที่ใจ แล้วก็ทำความเข้าใจกับสมมติ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็จะมีแต่ความสุข ความเจริญ ความกล้าหาญอาจหาญมีเกิดขึ้น มาฝึกฝนตนเองให้มากๆ สร้างตบะ สร้างอานิสงส์ให้กับตัวเรามากๆ จะส่งผลถึงวันข้างหน้า ทำวันนี้ให้ดีอนาคตก็จะออกมาดีเอง ก็พยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไห้วพระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
เพียงแค่เรื่องการสร้างความรู้ตัวก็ให้เป็นธรรมชาติในการหายใจเข้าหายใจออก ความรู้ตัวก็จะตั้งมั่นต่อเนื่อง เพื่อที่จะรู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต รู้การก่อตัวของจิต รู้อาการของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งจิต ถ้าเรารู้เท่าทันตั้งแต่เขาเริ่มก่อตัว เขาเริ่มเกิด ตัวใจ หรือว่าตัวจิตของเราก็จะคลายออกจากขันธ์ห้า เขาก็จะคลายความหลง ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถ้าสังเกตไม่ทันตรงนี้ก็ได้เพียงแค่ควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์
บางทีก็อยู่ในความสงบ ถ้าเปรียบเสมือนกับขัน ขันที่ยังคว่ำอยู่ ยังไม่ได้หงาย ถ้าเราสังเกตจิตของเราคลายออกจากอาการของความคิดได้ เหมือนกับหงายของที่คว่ำ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา การเกิดการดับของความคิดก็จะชัดเจน แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรามีน้อย จะเอาแต่ปัญญาที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้า ไปแสวงหาธรรม มันปิดบังอำพรางตัวเองเอาไว้ในตัว
ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เข้มข้น เราก็จะพลั้งเผลอ ช่วงใหม่ๆ จะพลั้งเผลอกันแทบทุกคน ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องได้เมื่อไหร่ ถ้าเห็นลักษณะของจิตคลายออกจากความคิดได้เมื่อไหร่นั่นแหละ ถึงจะเริ่มต้นเข้าสู่วิปปัสสนา รู้แจ้งเห็นจริง สัมมาทิฏฐิ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม
การควบคุมใจให้อยู่ในความสงบ เขาเรียกว่าเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าใจของคนเรานี้หลงมานาน หลงเกิดมานาน แล้วก็หลงความคิด หลงอารมณ์ เข้าไปร่วมกันมานาน กำลังความรู้ตัวของเราต้องมองเห็นเหตุเห็นผล ตามดู ตามรู้ ตามทำความเข้าใจ เข้าใจในหลักของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในความคิดของเรา ทุกเรื่องว่าไม่มีตัวมีตน ไม่มีสาระอะไร นั่นแหละใจเขาถึงจะยอมรับ
เพียงแค่เห็นครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้ง เขาไม่ยอมรับหรอก ต้องตามดู ตามรู้ทุกเรื่อง แล้วก็ละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ ละความทะเยอทะยานอยาก ดับนั่นแหละ ออกจากใจของเรา แล้วก็มาดับความเกิด ความคิดที่เกิดจากตัวใจของเรา เพราะว่าความคิดที่เกิดจากตัวใจของเรานี่ทุกคนมีกันหมด มีมากมีน้อย มีจนฝึกเอาไปจนเกิดความเคยกิน เพราะตัวใจ หรือว่าตัววิญญาณนี่ควบคุมเอาหมดทุกอย่างเลย
เราต้องสร้างผู้รู้ตัวใหม่เข้าไปคลาย ไปแยก ไปหมั่นพร่ำสอน ไปตามดู ตามรู้ หาเหตุหาผลไปให้ใจรับรู้ ใจยังเกิด เราก็พยายามดับ พยายามข่ม จนรู้เห็นตามความเป็นจริง จนรู้จนเป็นธรรมชาติในการดู ในการรู้ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดทุกสิ่งทุกอย่าง เนี่ยถ้ายังไม่ตกกระแสธรรมก็อึดอัดหมด กายก็อึดอัด ใจก็อึดอัด จะนั่งทีก็อึดอัด จะทำอะไรทีก็อึดอัด เพราะว่าใจยังไม่ได้แยกได้คลาย ยังไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง ต้องสร้างความเพียร สร้างตบะอย่างแรงกล้า เจริญสตินี่แหล่ะเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบเรา คอยตรวจสอบใจของเรา คอยตรวจสอบกายของเรา ตรวจสอบสมมติ อะไรต่างๆ ว่าอะไรถูก อะไรผิด
อยู่กับปัจจุบันธรรม เอาความเป็นกลาง ความว่างเป็นเครื่องตัดสิน ไม่เข้าข้างตัวเอง แต่เวลานี้กำลังสติความรู้ตัวของเรานี่มี แต่มีน้อย เราต้องพยายามสร้าง ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่อยากในอาหาร การอยู่การกิน ความอยาก ความเกิดนี่มันดับเลย ดับ ดับแล้วก็วาง ดับแล้วก็วาง อยู่กับปัจจุบันธรรม คือมีความรู้ตัวปัจจุบัน คือทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเราเสีย ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง
ทีนี้เราจะละกิเลสได้มากได้น้อย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ความกังวลความฟุ้งซ่าน ความลังเล พวกมลทินต่างๆ เราก็พยายามดับ พยายามกำจัดออกให้หมด หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปพิจารณาทำหน้าที่แทน รู้ด้วย เห็นด้วย ถึงด้วย แล้วก็รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ด้วย ใจจะเกิด เราก็รู้จักดับ ถ้าเราไม่ดับความเกิด เขาก็ไม่นิ่ง เขาก็ไม่สงบ ถ้าเราไม่ละกิเลสออกจากใจของเรา มันก็ไม่บริสุทธิ์ เราพยายามกำจัดตั้งแต่ตัวเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเราดับตั้งแต่การก่อตัว แล้วตัวใหญ่มันจะเกิดได้อย่างไร
เราพยายามคลายออกๆ จากใจของเราหมดทุกเรื่อง จนเหลือตั้งแต่ความเกิดความบริสุทธิ์ของใจของเราอันนั้นแหล่ะ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทนจนเต็มรอบ จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ถ้าใจจะเกิดแล้วก็ดับปุ๊บ เราดับตั้งแต่ต้นเหตุ กำลังส่งมันก็ไม่มี ทำความเข้าใจกับอริยสัจความจริง ใจส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร ใจหลงเป็นอย่างไร การคลายขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร การทรงความว่างเป็นอย่างไร ลักษณะสมมติวิมุตติเป็นอย่างไร
ต้องรู้ชัดเจนหมดทุกเรื่อง ก่อนที่ใจจะปล่อยจะวาง แล้วก็มาดับความเกิด เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ รอบรู้ในโลกธรรม รอบรู้ในชีวิตของตัวเราเอง กายเนื้อแตกดับแล้ว วิญญาณของเราจะไปอย่างไร มาอย่างไร เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เราก็พยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมี สร้างประโยชน์ให้กับตัวเรา ให้กับสมมติ ให้กับสังคม ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา
ตอนนี้อากาศก็รู้สึกว่าฝนฟ้าก็ไม่ค่อยจะตกแล้วแหละ น้ำไปท่วมหลายจังหวัดมากมายทีเดียวในประเทศไทยของเรา เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ทั่วโลก เพราะว่าคนเราไปทำลายธรรมชาติภายนอกกัน ธรรมชาติภายในก็เข้าไม่ถึง ธรรมชาติภายนอกก็พากันไปทำร้ายกัน ความสมดุลธรรมชาติก็เลยขาดไป คอยดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่เราก็ต้องแก้ไขที่ใจของเรา ไม่ให้ใจของเราเป็นทุกข์ เอาภายในของเราให้มันจบเสียก่อน
วันนี้ขอกำลังนะ พระเราชีเราช่วยกันเทคานน้ำตกใหญ่ ช่วงเช้าพากันรวมพลกันเทคานให้ได้มีความสวยความงามในสถานที่ของเรา หน้าวิหาร ตอนนี้จะได้เทคานบนช่วงบน ช่วยกันยกปูนยกอะไรช่วยกัน ญาติโยมว่างๆ ก็ช่วยกัน มาอยู่มาอาศัยอยู่ เราก็จะได้อยู่ดีมีความสุข ไปที่ไหนมาที่ไหน ถ้าเรามีแต่ความเกียจคร้าน งอมืองอเท้า มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ประโยชน์สมมติเราก็ทำให้ดี เราก็พลอยได้รับอานิสงส์ประโยชน์สมมตินั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์
ประโยชน์สมมติที่เราทำ จิตใจก็สบาย ทุกสิ่งทุกอย่างมีเพียบพร้อม ไม่ได้ลำบาก มีแต่จะนำความสุขมาให้กับทุกคน ใครเข้ามาเหยียบย่ำ เข้ามาในบ้าน ใจก็สบาย เข้ามาโล่งโปร่ง มีแต่ความร่มรื่นร่มเย็น สบายตา บุญก็เกิดขึ้น ก็จากน้ำมือของพวกเรานี่แหละช่วยกันทำ อย่าพากันงอมืองอเท้า ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้านที่วัด ตรงไหนไม่สะอาดเราก็ช่วยกันทำเสีย ห้องส้วมห้องน้ำไม่ดี เราก็ช่วยกันดูแลปัดกวาด ดูแลความสะอาด น้ำท่าน้ำใช้สอยต่างๆ โรงครัวไม่สะอาดเราก็ทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อย มันไม่สะอาด เราก็ทำให้สะอาด มันไม่ดี เราก็ทำให้ดีเสีย มันก็จะดี ดีทั้งภายนอก ดีทั้งภายใน
ไม่ใช่ว่าไปที่โน่นก็ไม่ดี ไปที่นี่ก็ไม่ดี ที่นั่นก็ไม่ดี ครูบาอาจารย์องค์นั้นเป็นอย่างนั้น ครูบาอาจารย์องค์นี้เป็นอย่างนี้ กิเลสมันเกิดจากใจของเรานั่นแหละ นี่ก็ไปมองถ้าใจของเราไม่ดีแล้วก็มองเห็นโลกนี้ไม่ดี ถ้าใจของเราดีแล้วก็มองเห็นโลกนี้เป็นของดี
ละที่ใจ แก้ไขที่ใจ แล้วก็ทำความเข้าใจกับสมมติ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็จะมีแต่ความสุข ความเจริญ ความกล้าหาญอาจหาญมีเกิดขึ้น มาฝึกฝนตนเองให้มากๆ สร้างตบะ สร้างอานิสงส์ให้กับตัวเรามากๆ จะส่งผลถึงวันข้างหน้า ทำวันนี้ให้ดีอนาคตก็จะออกมาดีเอง ก็พยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไห้วพระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา