หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 048

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 048
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 048
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราลองน้อมไปสังเกตใจของเราแล้วหรือยังว่าใจของเราไปอย่างไร มาอย่างไร ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา ไปคิดเอาว่าสติปัญญาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไปคิดหาเหตุคิดหาผล นั่นแหละกิเลสมันปกปิดเอาไว้หมด

ความรู้สึกตัว เราต้องสร้างขึ้นมาจากน้อยๆ ไปหามากๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก สัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้ขณะลมเข้าขณะลมออก อันนี้เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ส่วนจิต หรือว่าวิญญาณอยู่ในกายของเรานี้ บางทีเขาก็เกิดปรุงแต่งใจส่งออกไป บางทีก็มีอาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งรวมกันไป เขาเรียกว่า ‘ความหลง’ ตรงนั้นมีอยู่ เพราะว่าความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่อง ไม่เร็วไวไม่แหลมคมก็เลยไม่เห็น เพราะว่าเราเคยชินกับความคิดเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ

อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรม เราต้องสร้างความรู้ตัวเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกต บางครั้งบางคราวใจของเราก็ปกติสงบอยู่ เราก็อาจจะรู้ได้เป็นบางเรื่อง เราต้องพยายามรู้ให้ได้ทุกเรื่องตั้งแต่เขาเริ่มก่อตัว ซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ รอบรู้ในการเกิดการดับของความคิด อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม นามธรรมที่เขาเกิดนั้นเป็นกุศลหรือว่ากุศล เกิดจากวิญญาณ หรือว่าเกิดจากอาการของวิญญาณ เป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะต้องศึกษาค้นคว้า ไม่มีใครที่จะศึกษาค้นคว้าให้เราได้ นอกจากตัวของเราเอง

แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบหลักของอริยสัจ ความจริงว่ากายของเรานี้มีอะไรบ้างที่มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง วิญญาณในขันธ์ห้าของเรา ขันธ์ห้าของเรามีกี่ขันธ์ กี่กอง ท่านบอกว่ามี 5 กอง มี 5 ขันธ์ เป็นขันธ์อย่างไร เป็นกองอย่างไร เราต้องให้รู้ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติ ถ้าตัววิญญาณคลายออกจากอาการของวิญญาณได้ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตากับคําว่า ‘อนัตตา’ อัตตาคือตัวตน คําว่า ‘อนัตตา’ คือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าในตัวตน นี่แหละ ในกายของเรานี้แหละ ซึ่งมีหนังห่อหุ้มอยู่ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ตัววิญญาณนี่แหละทั้งเกิดด้วย ทั้งหลงด้วย ทั้งเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลสด้วย ทั้งมีความทะเยอทะยานอยากด้วย เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปสะสาง วิญญาณเกิดกิเลส หรือว่าบางคนบางท่านก็เรียกว่า ‘จิต’ บางคนก็เรียกว่า ‘วิญญาณ’ บางคนก็เรียกว่า ‘ใจ’

เราก็พยายามดูรู้ให้ชัดเจนว่าใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ ใจของเราปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักควบคุมตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ หนุนกําลังสติ หรือว่าสร้างความรู้ตัวนี่แหละเอาไปใช้ ใช้ทำหน้าที่ ทำการทำงาน เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเรา ให้ใจของเรารับรู้ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาของเราไปแก้ไข ต้องรู้ให้ได้ทุกเรื่อง แต่ส่วนมากจะรู้เพียงแค่บางเรื่อง บางครั้งบางคราว ก็เลยไม่ถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ทำให้มันถึงจุดหมายปลายทางกัน แล้วก็ไม่ค่อยจะสนใจ สนใจในการทำบุญ สนใจในการให้ทาน มีศรัทธา อยู่ระดับการทำบุญ ในการให้ทาน กับการควบคุมจิตได้เป็นบางครั้งบางคราว

แต่ไม่สนใจที่จะทำความเข้าใจในรายละเอียดให้มันกระจ่าง ว่านิวรณธรรมเป็นลักษณะอย่างไรที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา นิวรณธรรม จิตขณะนี้จิตมีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ จิตของเรามีความปกติ หรือว่ามีความกังวล หรือว่ามีความลังเล ความรู้ตัวของเราต่อเนื่องหรือไม่ พลั้งเผลอหรือไม่ จาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง จากนาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาทีเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้

สติที่เราสร้างขึ้นมา ถ้าเรารู้ไม่เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิตกับอาการของจิต แยกคลายออกจากกัน ยากที่จะเป็นมหาสติ ถ้าเรารู้สังเกตทัน ตัวจิตคลายออกจากอาการของความคิด ตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง กําลังสติของเราจะพุ่งแรงเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนเอาไม่อยู่ จนตามดู ตามรู้ ตามเห็นทุกซอกทุกมุม จนให้ใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยจะวาง ถ้าไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวาง ยากที่จะวางได้ แต่ก็อย่าไปท้อใจ ถ้าไม่ถึงวาระเวลาก็วางไม่ได้ อานิสงส์วิบากกรรม ถ้าวิบากกรรมคลาย ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะวาง ถ้าเราหมั่นสร้างบารมีของเราให้เต็ม ความเสียสละของเรามีความเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความอดทนอดกลั้น สัจจะ ขันติ วิริยะความเพียรต่างๆ ถ้าอานิสงส์บุญบารมีของเราเต็ม การปล่อยการวาง ก็จะปล่อยวางได้เร็วได้ไว

แล้วก็การเจริญสติ การเจริญสมาธิ ทำความเข้าใจให้ชัดเจน ลักษณะของสติที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะนี้ จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นลักษณะนี้ จิตที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นลักษณะอย่างนี้ อารมณ์ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ตัวจิตวิญญาณเข้าไปรวมได้อย่างไร เข้าไปเสวยได้อย่างไร ท่านถึงบอกว่าต้องรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้าของเราให้เรียบร้อย เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในโลก’ โลกธรรมแปดก็มีอยู่ประจำโลก โลกภายใน โลกภายนอก กายของเราเป็นก้อนทุกข์

เราก็ต้องพยายาม ไม่มีเรื่องไหนเลยที่จะไปศึกษาให้มากมาย เราศึกษาดูใจ รู้กายของเราให้มันเรียบร้อย สติปัญญาของเราก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก ทำความเข้าใจกับภายนอกในสิ่งที่เราก็ไปยุ่งเกี่ยว ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ทำหน้าที่ของเขาหมด แต่เขาก็รวมอาศัยกันอยู่ โน่นแหละ หมดลมหายใจจริงๆ นั่นแหละ ถึงจะได้วางสมมติก้อนนี้ได้จริงๆ แต่เวลานี้ เราวางด้วยเหตุด้วยผล วางด้วยสติ วางด้วยปัญญา ให้รู้เห็นด้วยสติ ด้วยปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็พิจารณา มีรูปมีนามเหมือนกันหมด ยิ่งอยู่ด้วยกันเยอะๆ หลายๆ คนหลายๆ ท่าน อยู่หลายคนก็รู้เรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา

พรรษานี้ก็ใกล้เข้ามา ก็ร่วมกลางๆพรรษาแล้วแหละ จะหย่อนๆ แล้ว ใกล้ๆ แล้ว คงอีกไม่นานเผลอแผล็บเดียว วันเดือนปีผ่านไปๆ พวกเราทำอะไร สิ่งประโยชน์ภายนอก เราก็พยายามยังประโยชน์ภายนอกให้อยู่ดีมีความสุข ให้บริบูรณ์ พวกเราก็อยู่อาศัยกันมีความสุข ใครไปใครมาก็มีความสุข อะไรพอช่วยกันได้เราก็ช่วยกัน อย่าไปปล่อยปละละเลย ช่วยกันดูแลรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งภายนอก ทั้งภายใน มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบต่อตัวเรา รับผิดชอบต่อส่วนรวม ไม่ใช่ว่าหนักก็ไม่เอา เบาก็ไม่สู้ มีแต่กิเลสเข้าครอบงำ ยิ่งเราเข้ามาศึกษา เราก็พยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้เป็นทวีคูณ

คนที่มีความขยันหมั่นเพียรนั่นแหละ จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว ขยันทั้งภายนอก ขยันทั้งภายใน ละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ ชําระสะสางกิเลสของเราตลอดเวลา กิเลสเกิด ใจเกิดเมื่อไร ก็ดับเมื่อนั้นแหละ การเกิดของใจนั่นแหละ หลงแหละ ความหลงเขาถึงได้เกิด เกิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก บางทีก็หลงความคิด หลงอารมณ์เข้าไปรวมกันอีก ทำให้เกิดอัตตาตัวตนอีก ถ้าเราคลายวิญญาณ หรือว่าคลายจิตออกจากอาการของจิตไม่ได้ เราก็จะไม่เข้าใจ เราก็จะไม่เห็น ไม่เข้าใจคําว่า ‘อัตตาอนัตตา’ ถ้าเราคลายได้เมื่อไรเราก็จะมองเห็นอัตตากับอนัตตาทันที

ถ้าตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจในหลักอริยสัจสี่ที่พูด พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แยกแยะขันธ์ห้าได้เมื่อไร เราก็จะเห็นเป็นกอง เป็นขันธ์ เป็นชิ้น แต่เขาก็ร่วมกันอยู่ ที่นี้วิญญาณเกิด กิเลสอยาบกิเลสละเอียดที่ปกปิดเอาไว้ แม้แต่ตัวของจิตเอง เขาก็ปกปิดตัวของเขาเอาไว้ เพราะเขาชอบคิด ชอบเที่ยว ชอบปรุง ชอบแต่ง สารพัดอย่าง ก็ต้องพอยายาม ค่อยสะสางกันไปทีละเล็กทีละน้อย ได้เท่าไรก็ดี อย่าว่าไม่ทำ ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา อานิสงส์ผลบุญผลทานไล่ตั้งแต่มีศรัทธาน้อมกายเข้ามา ตั้งแต่การบริจาค การให้ การเอาออก การคลาย การวิเคราะห์ สำรวจตรวจตราดูตั้งแต่เช้าขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักทีเรื่อง สักกี่เที่ยว เราเคยวิเคราะห์ไหม เป็นเรื่องอะไร เป็นเรื่องกุศลหรือว่าอกุศล

เพียงแค่เรื่องการรับประทานข้าวปลาอาหาร การขบฉัน กายของเราเกิดความหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ทวารทั้งหก ตาทำหน้าที่อย่างไร หูทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมะ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสำรวจตรวจตราดูให้เรียบร้อยหมด ให้หมดจดก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ได้เท่าไรก็เอา พยายามเอานะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็พยายามทำให้ชํานาญ

รู้จักรับผิดชอบตัวเรา หายใจให้เป็น ทานข้าวให้เป็น อยู่ให้เป็น อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร ใจของเราต้องนิ่ง รับรู้ ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไข แม้แต่กายจะแตกจะดับ ถ้าเราเข้าใจแล้ว อันนี้เป็นเรื่องของสัจธรรมของชีวิต ทุกคนเกิดมาก็เดินเข้าไปสู่ความเป็นจริงคือความตายนั่นแหละ เกิดตายๆ แต่วิญญาณเขายังเกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ นาทีต่อนาที วินาทีต่อวินาที เขาเกิด เราต้องไปดับ ไปละ ไปคลายก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ได้เท่าไรก็ต้องพยายามทำกัน

เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง