หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 047

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 047
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 047
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้สึก​ตัวกันหรือยัง เราได้ทำความเข้าใจกับจิต ทำความเข้าใจกับวิญญาณของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เป็นเรื่องของทุกคนที่จะต้องทำความเข้าใจกับวิญญาณในร่างกายของเรา ในชีวิตของเรา​ แต่ละวันๆ​ เขาเกิดอย่างไร เขาไปอย่างไร เขามาอย่างไร อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง

ภาระหน้าที่สมมติอะไรเรายังขาดตกบกพร่อง เราก็พยายามรีบทำเสีย สมมติของเราไม่บริบูรณ์ เราก็พยายามทำให้บริบูรณ์ หมั่นฝักใฝ่ หมั่นสนใจ รู้จักวิเคราะห์ รู้จักพิจารณา ลักษณะของการเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ วิญญาณในขันธ์ห้าของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ ทำไมเขาถึงเกิด ทำไมเขาถึงหลง ทำไมเขาถึงเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์

เพียงแค่ระดับของการเจริญสติก็ยังทำไม่ต่อเนื่องกัน ก็เลยรู้ไม่เท่าทันความเป็นจริงในชีวิตของเรา แต่ตัววิญญาณ หรือว่าตัวจิตนั้นมีศรัทธากันเต็มเปี่ยม ฝักใฝ่ในการทำบุญ ฝักใฝ่ในการให้ทาน สร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี แต่การเกิดของเขามีอยู่ การเกิดของเขามี ความหลงก็มีอยู่ ตราบใดที่เรายังไม่ได้เจริญสติเข้าไปสังเกตดูรู้ตั้งแต่ต้นเหตุ จนกว่าเขาจะคลายออกจากอาการของขันธ์ห้าได้ หรือว่าคลายออกจากความคิดได้​ เขายังหลงอยู่ บางครั้งบางคราวเราก็รู้อยู่​ เราก็ควบคุมได้อยู่​ แต่สมมติคือความคิด อารมณ์ยังครอบงำอยู่ ในส่วนรายละเอียดวิญญาณยังไม่ได้พลิก​ ยังไม่ได้แยก​ ยังไม่ได้หงาย บางทีก็สงบอยู่

ทุกคนก็มีศรัทธา แต่ให้เป็นศรัทธาที่มีปัญญาเข้าไปกำกับ ไม่ใช่ศรัทธาแบบหลงงมงาย ศรัทธาต้องมีปัญญา ปัญญาก็คือปัญญาที่เกิดจากการเจริญสติ​ แล้วก็พยายามทำให้ต่อเนื่อง ความอดทนอดกลั้นเป็นอย่างไร ความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นอย่างไร ความเสียสละ มานะทิฐิ ​ความเห็นเก่าๆ เราพยายามอย่าเอามาโต้แย้ง นอกจากเราเจริญสติให้ต่อเนื่อง​ เราถึงจะรู้ว่าสติโลกิยะนั้น ไม่ใช่สติปัญญาที่จะเข้าไปคลายทุกข์ได้เลย มีตั้งแต่จะเพิ่มทุกข์ เพิ่มทุกข์เข้าไปเท่านั้นเอง

เราพยายามกลับปัญญาโลกิยะให้เป็นปัญญาโลกุตระ หมายถึงคลายจิตออกจากความคิด ตามดูรู้เห็น ให้จิตยอมรับความเป็นจริงได้ ก็จะกลับกลายเป็นปัญญาโลกุตระ ปัญญาธรรม ใจของเราเป็นธรรม เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม ใจของเราเป็นโลก เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นโลก แต่ก็ไม่เหลือวิสัย พยายามหมั่นสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่ใจของเรายังไม่หลุดพ้น เราก็พยายามสร้างบารมี ความเสียสละ ความอดทนความอ่อนน้อมถ่อมตน การฝักใฝ่ การสนใจการวิเคราะห์​ มองโลกในทางที่ดี คิดดีอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน

อันนี้ก็ใกล้จะออกพรรษาแล้ว ก็กลางๆ เสียแล้วเผลอแป๊บเดียว อีกสักหน่อยก็งานกฐิน มีอะไรก็ให้ช่วยกัน ช่วยกันทำ ช่วยกันดูแล เพื่อยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ดูแลรักษาความสะอาด​ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งภายนอกภายใน​ ตั้งแต่ปากทางถึงก้นครัว มองข้างบนข้างล่าง มองกลางใจของเรา อย่าไปมองว่าไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นเรื่องของทุกคนที่เข้ามาอาศัยสถานที่อยู่ เรามาอาศัยสมมติ เราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ สมมติว่าจะเอื้ออำนวยให้พวกเราได้อยู่ดีมีความสุข​

ถึงวาระเวลาเราก็ต้องได้วางสมมติ เราวางภายใน​ ข้างนอกเราก็รับผิดชอบด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา ให้อยู่ดีมีความสุข ไม่ใช่ว่าปล่อยวางแล้วทำอะไรไม่เป็น ปล่อยวางด้วยสติด้วยปัญญา มีให้เป็น​ มีด้วยสติมีด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าความรับผิดชอบก็ไม่มี ความเสียสละก็ไม่มี ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ปล่อยปละละเลย อย่างนั้นก็ปัญญาหัวตอ​ สมาธิปัญญาหัวตอ สมาธิไม่มีปัญญา ปัญญาต้องรอบภายใน รอบภายนอก ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเสียสละ​ ภาระหน้าที่ ที่เราจะต้องเข้าไปสะสาง เข้าไปทำความเข้าใจให้เกิดประโยชน์​ วางในขณะที่เราทำ​

เรื่องจิต เรื่องวิญญาณเป็นของละเอียดอ่อน ถ้าพวกเราไม่ศึกษาค้นคว้ากันจริงๆ ยากที่จะเข้าใจ​ มันก็เข้าใจอยู่ในระดับของโลก ของสมมติ ในรายละเอียดจริงๆ อันนี้เป็นรูปธรรม อันนี้เป็นนามธรรม การเกิดการดับ​ ความหลง​ การแยกการคลาย แนวทางนั้นมีมาตั้งนานแล้ว เป็นธรรมชาติ ถ้าเขาไม่เกิด เขาไม่หลง เขาก็บริสุทธิ์ เวลานี้ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด สารพัดอย่าง​ ถ้าเราแยกไม่ได้ คลายไม่ได้ เราก็ว่าเราไม่หลง

ถ้าเราไม่ได้เจริญสติ ประคับประคองสติให้รู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรามีสติมีปัญญา สติปัญญาของสมมติมีกันเต็มเปี่ยมนั่นแหละ สติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้สำคัญ จนเอาไปใช้ทำความเข้าใจกับวิญญาณ แล้วก็เอาไปใช้กับสมมติ ทำความเข้าใจกับโลก​ โลกธรรม รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ในวิญญาณ รอบรู้ในกองสังขาร​ แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรม​

เราต้องพยายามพากันไปพิจารณา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ปล่อยเวลาทิ้ง โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ กาลเวลาเปิดให้ เราจะมีสติปัญญาที่ถูกต้องหรือไม่ สติปัญญาที่ถูกต้องนั้น พระพุทธพระองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยในหลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ

ทุกข์​ ลักษณะของทุกข์ การเกิด ความไม่เที่ยง​ ไม่เที่ยงทั้งด้านรูปธรรม ทั้งด้านนามธรรม ทำไมท่านถึงว่าไม่เที่ยง​ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป​ อันนั้นส่วนนามธรรม กายของเราก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อาศัยปัญญาที่แทงตลอดเท่านั้นถึงจะเข้าใจ ถ้าปัญญาเนื้อ ทางโลกิยะก็มองเห็นอยู่​ แค่ตาเนื้อ แต่ตาปัญญาไม่ได้แทงตลอด​ ก็เลยยากที่จะเข้าใจ ก็ต้องพยายามกันนะ เพียงแค่การเจริญสติ​ การสร้างความรู้ตัว ก็พยายามทำให้ชัดเจน

ลองสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้โล่ง​ สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง