หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 033
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 033
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงทำความสงบ เจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว หรือว่าได้เจริญสติแล้วหรือยัง เพียงแค่เจริญกับสร้างให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่องกัน ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะทำบุญ อยากจะได้บุญ ใจอยากจะหาหนทางดับทุกข์ หาหนทางหลุดพ้น การเกิดของใจนั้นก็ปิดบังอำพรางตัวเอง
เราต้องมาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่ต่อเนื่อง แล้วก็รู้ให้เท่าทัน ทำความเข้าใจกับความหมายของคำว่า ‘ปัจจุบัน’ คือทุกขณะเวลาลมสัมผัสวิ่งเข้ากระทบปลายจมูก มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออก ก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เป็นอุบายที่จะให้มีความรู้ตัวให้ต่อเนื่องอยู่ที่กายของเรา
ถ้าความรู้ตัวต่อเนื่อง ตัวใจของเราจะเกิดจะก่อตัว เราก็จะเห็น เห็นลักษณะการเกิดของเขา เขาก่อตัวอย่างไร เขาส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร บางทีก็ความคิดที่เราไม่ตั้งใจเขาผุดขึ้นมาได้อย่างไร ตัวใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร นี่แหละ ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมแล้วทำให้หลง หลงในส่วนที่ลึกๆ ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ใจก็ยังเป็นทาสของอารมณ์อีก ทาสของกิเลสอีก ไปยินดี ไปยินร้าย ไปเสวย หลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องค้นคว้า เจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล เพื่อที่จะหมั่นพร่ำสอนตัวเราให้รู้เห็นตามความเป็นจริงให้ได้
เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ทำลุ่มๆ ดอนๆ หรือบางทีไม่ค่อยจะทำ ก็เลยไม่เข้าใจในเรื่องรูป เรื่องนาม ไม่เข้าใจในเรื่องสมมติวิมุตติ ไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่า ‘อัตตา’ ลักษณะของอัตตาเป็นอย่างไร ลักษณะของอนัตตาเป็นอย่างไร การเก็บรายละเอียดต่างๆ พวกเราไม่ค่อยสนใจกัน คิดก็รู้ทำก็รู้ ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์อยู่ในระดับของโลกียะ แต่ไม่เคยคลาย ว่ากายก้อนนี้ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครองเขาอยู่อย่างไร เขาอยู่ร่วมกันอย่างไร ทำอย่างไรเขาถึงอยู่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราต้องมาสังเกต มาวิเคราะห์ หาเหตุหาผลด้วยสติด้วยปัญญา
แต่เวลานี้สติปัญญาของเรามีน้อย เราต้องสร้างขึ้นมา เพียงแค่สร้างสติเจริญสติให้ต่อเนื่อง จุดนี้จุดเดียวจุดเริ่มต้น ก็ยังไม่ค่อยจะทำให้ต่อเนื่องกัน ก็เลยขาดการทำความเข้าใจในปัญญาขั้นสูง มีแต่จะกระโดดข้ามเอาทีเดียว ไปทำบุญที่โน่น ทำทานที่นี่ ไปปฏิบัติธรรมที่นั่น ปฏิบัติธรรมที่นี่ ไม่รู้ว่าความหมายของการปฏิบัติเป็นอย่างไร ไม่รู้คำว่าสติรู้ตัวอยู่เป็นอย่างไร
ถ้าเรารู้จักสร้างสติรู้ตัวขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลยทีเดียว ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติตั้งมั่นปุ๊บ นิวรณธรรมเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นความจิตของเรา จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ จิตของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้ดับ จิตของเรามีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็รู้จักดับ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็สร้างขึ้นมาใหม่ เราจงพยายามน้อมสำเหนียก หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ รับรู้ รับทราบ รับฟัง แล้วก็พิจารณาอยู่ตลอดเวลา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ เพียงแค่การเกิดของตัวจิต หรือตัววิญญาณ เราก็พยายามควบคุม พยายามดับ
ตามธรรมดาจิตที่ไม่ได้ฝึกนี้ก็จะเกิด ทั้งเกิดด้วย หลงด้วย ยึดด้วย สารพัดอย่าง จิตที่ฝึกดีแล้วเขารู้เห็นตามความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เข้าไปรวม เข้าไปหลงกับสิ่งต่างๆ เขาก็ไม่เอา เพราะว่าเป็นทุกข์ นอกจากบุคคลที่มีความเพียร การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรอย่างยิ่งยวด เป็นบุคคลที่มีความขยัน เป็นบุคคลที่มีเสียสละอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแกอยาก ไม่เห็นแก่นอน มีตั้งแต่ความเสียสละคลายออกๆ เราคลายออกให้มันหมดจด ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่เกิดเขาก็จะนิ่ง เขาก็จะว่าง ก็จะโล่ง เขาก็จะโปร่ง ซึ่งมีอยู่ในกายของเรานี้แหละ กายของเราก้อนนี้แหละ เราพยายามจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่เข้าใจในชีวิตของเรา
การประพฤติวัตร การปฏิบัติธรรมก็คือการปฏิบัติกาย ปฏิบัติใจของเรา กาย วาจา ใจ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ที่กายของเราหมด ถ้าเราไม่ศึกษาให้ละเอียดก็ยากที่จะเข้าใจ เพียงแค่อานาปานสติ บางทีเวลามาสร้างมาเจริญสติ มาสร้างความรู้ตัวรู้การหายใจเข้าออก บางทีหายใจก็อึดอัด บางทีสมองก็ตึง บางทีจิตก็หน้าอกก็แน่น เพราะว่าเรายังไม่เข้าใจร่องของธรรมชาติของการหายใจ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ หายใจยาวเป็นลักษณะอย่างนี้นะ หายใจออกยาวเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจเข้าสั้นเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจที่ไม่อึดอัดเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้
ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ทุกเรื่องเลยในร่างกายของเรา ในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาปุ๊บ จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปัจจุบันอยู่ที่การเดิน จะแปรงฟัน จะล้างหน้า เราก็มีใจเป็นปกติรับรู้อยู่ ตัวไหนเป็นตัวพากายไป เป็นตัวไหนเป็นตัวสั่งกายไป
สติปัญญาของเรานี่แหละ เราพยายามสร้างขึ้นมา ช่วงใหม่ๆ สติจะพลั้งเผลอ ถ้าเรารู้ลักษณะของจิต รู้การเกิดของจิต รู้การเกิดของความคิด หรือว่าขันธ์ห้า เขาแยกเขาคลายออกจากกัน ความรู้ตัวของเราก็จะตามไปดู เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ในขันธ์ห้า
ถ้าแยกได้คลายได้ ตรงนี้แหละ กำลังสติของเราจะตามดูค้นคว้า ถ้าเราไม่ตามดู เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม ตามดูตามรู้ตามเห็นจนหมดความสงสัย จนละได้หมดจดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ปล่อยปละละเลย ทำอะไรก็ไม่ให้ปล่อยปละละเลย ต้องทำให้ต่อเนื่อง ความต่อเนื่องนั่นแหละ เราก็จะรู้ก็จะเห็น ลักษณะของจิตที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ลักษณะของจิตที่เกิดเป็นลักษณะนี้ การดับการควบคุม มีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละในชีวิตของเรา ถ้าพูดนอกเรื่องก็นอกประเด็น
เอาใกล้ๆ ตัวของเรา เอาใจของเรา เอากายของเรา เอาภาระหน้าที่การงานของเรา มีความรับผิดชอบต่อตัวเราเองหรือไม่ มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมหรือไม่ มีความเสียสละอย่างเต็มเปี่ยมหรือไม่ ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน ตื่นขึ้นมาเหมือนกับนกกระจอก อยู่ด้วยกันหลายๆ คนไม่รู้อะไรต่ออะไรเจี้ยวจ้าวกันไปหมด บางทีก็เป็นเรื่องกุศล บางทีก็เป็นเรื่องอกุศล บางทีอยู่คนเดียวก็คิดไปสารพัดเรื่อง
เราต้องมาแก้ไข มาปรับปรุงตัวเราเสีย หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ พวกท่านไม่ไปทำก็ไม่เข้าใจ ไม่ไปวิเคราะห์ตัวเราเองก็ไม่เข้าใจ เราก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัย เราแสวงหาธรรมก็ย่อมจะรู้ธรรม แสวงหาโลกก็ย่อมจะรู้โลก โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้ทิ้งก้อนโลก
ทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย แล้วก็ไม่ถึงกาลถึงเวลาเราก็ไม่ได้ไป ถ้าถึงกาลถึงเวลา เอาอะไรมาผูกมัดเอาไว้ก็ไม่อยู่ บุญเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม เพียงแค่คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้านเราก็ทำบุญได้ อยู่ที่วัดเราก็ทำบุญได้ ทำบุญให้ตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เก็บตายของเรา มีโอกาสเราอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง โอกาสอันดีงามของทุกคน มีโอกาสก็ได้มาร่วมกัน
ที่วัดของเราก็สร้างประโยชน์ได้ทุกวัน สร้างบุญอยู่ทุกวัน มีโอกาสก็ขอเชิญชวนมา อยากจะมาช่วยทำโน่น อยากจะมาช่วยทำนี้ มาก่อร่างสร้างอิฐ สร้างวิหาร มาถือปูน มาเทปูน มาทำโน่นทำนี่ช่วยกัน ฝากเอาไว้ในใจของเรา ฝากเอาไว้ในแผ่นดินให้เป็นแหล่งบุญของทุกคน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว หรือว่าได้เจริญสติแล้วหรือยัง เพียงแค่เจริญกับสร้างให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่องกัน ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะทำบุญ อยากจะได้บุญ ใจอยากจะหาหนทางดับทุกข์ หาหนทางหลุดพ้น การเกิดของใจนั้นก็ปิดบังอำพรางตัวเอง
เราต้องมาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่ต่อเนื่อง แล้วก็รู้ให้เท่าทัน ทำความเข้าใจกับความหมายของคำว่า ‘ปัจจุบัน’ คือทุกขณะเวลาลมสัมผัสวิ่งเข้ากระทบปลายจมูก มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออก ก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เป็นอุบายที่จะให้มีความรู้ตัวให้ต่อเนื่องอยู่ที่กายของเรา
ถ้าความรู้ตัวต่อเนื่อง ตัวใจของเราจะเกิดจะก่อตัว เราก็จะเห็น เห็นลักษณะการเกิดของเขา เขาก่อตัวอย่างไร เขาส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร บางทีก็ความคิดที่เราไม่ตั้งใจเขาผุดขึ้นมาได้อย่างไร ตัวใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร นี่แหละ ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมแล้วทำให้หลง หลงในส่วนที่ลึกๆ ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ใจก็ยังเป็นทาสของอารมณ์อีก ทาสของกิเลสอีก ไปยินดี ไปยินร้าย ไปเสวย หลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องค้นคว้า เจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล เพื่อที่จะหมั่นพร่ำสอนตัวเราให้รู้เห็นตามความเป็นจริงให้ได้
เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ทำลุ่มๆ ดอนๆ หรือบางทีไม่ค่อยจะทำ ก็เลยไม่เข้าใจในเรื่องรูป เรื่องนาม ไม่เข้าใจในเรื่องสมมติวิมุตติ ไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่า ‘อัตตา’ ลักษณะของอัตตาเป็นอย่างไร ลักษณะของอนัตตาเป็นอย่างไร การเก็บรายละเอียดต่างๆ พวกเราไม่ค่อยสนใจกัน คิดก็รู้ทำก็รู้ ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์อยู่ในระดับของโลกียะ แต่ไม่เคยคลาย ว่ากายก้อนนี้ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครองเขาอยู่อย่างไร เขาอยู่ร่วมกันอย่างไร ทำอย่างไรเขาถึงอยู่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราต้องมาสังเกต มาวิเคราะห์ หาเหตุหาผลด้วยสติด้วยปัญญา
แต่เวลานี้สติปัญญาของเรามีน้อย เราต้องสร้างขึ้นมา เพียงแค่สร้างสติเจริญสติให้ต่อเนื่อง จุดนี้จุดเดียวจุดเริ่มต้น ก็ยังไม่ค่อยจะทำให้ต่อเนื่องกัน ก็เลยขาดการทำความเข้าใจในปัญญาขั้นสูง มีแต่จะกระโดดข้ามเอาทีเดียว ไปทำบุญที่โน่น ทำทานที่นี่ ไปปฏิบัติธรรมที่นั่น ปฏิบัติธรรมที่นี่ ไม่รู้ว่าความหมายของการปฏิบัติเป็นอย่างไร ไม่รู้คำว่าสติรู้ตัวอยู่เป็นอย่างไร
ถ้าเรารู้จักสร้างสติรู้ตัวขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลยทีเดียว ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติตั้งมั่นปุ๊บ นิวรณธรรมเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นความจิตของเรา จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ จิตของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้ดับ จิตของเรามีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็รู้จักดับ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็สร้างขึ้นมาใหม่ เราจงพยายามน้อมสำเหนียก หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ รับรู้ รับทราบ รับฟัง แล้วก็พิจารณาอยู่ตลอดเวลา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ เพียงแค่การเกิดของตัวจิต หรือตัววิญญาณ เราก็พยายามควบคุม พยายามดับ
ตามธรรมดาจิตที่ไม่ได้ฝึกนี้ก็จะเกิด ทั้งเกิดด้วย หลงด้วย ยึดด้วย สารพัดอย่าง จิตที่ฝึกดีแล้วเขารู้เห็นตามความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เข้าไปรวม เข้าไปหลงกับสิ่งต่างๆ เขาก็ไม่เอา เพราะว่าเป็นทุกข์ นอกจากบุคคลที่มีความเพียร การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรอย่างยิ่งยวด เป็นบุคคลที่มีความขยัน เป็นบุคคลที่มีเสียสละอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแกอยาก ไม่เห็นแก่นอน มีตั้งแต่ความเสียสละคลายออกๆ เราคลายออกให้มันหมดจด ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่เกิดเขาก็จะนิ่ง เขาก็จะว่าง ก็จะโล่ง เขาก็จะโปร่ง ซึ่งมีอยู่ในกายของเรานี้แหละ กายของเราก้อนนี้แหละ เราพยายามจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่เข้าใจในชีวิตของเรา
การประพฤติวัตร การปฏิบัติธรรมก็คือการปฏิบัติกาย ปฏิบัติใจของเรา กาย วาจา ใจ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ที่กายของเราหมด ถ้าเราไม่ศึกษาให้ละเอียดก็ยากที่จะเข้าใจ เพียงแค่อานาปานสติ บางทีเวลามาสร้างมาเจริญสติ มาสร้างความรู้ตัวรู้การหายใจเข้าออก บางทีหายใจก็อึดอัด บางทีสมองก็ตึง บางทีจิตก็หน้าอกก็แน่น เพราะว่าเรายังไม่เข้าใจร่องของธรรมชาติของการหายใจ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ หายใจยาวเป็นลักษณะอย่างนี้นะ หายใจออกยาวเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจเข้าสั้นเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจที่ไม่อึดอัดเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้
ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ทุกเรื่องเลยในร่างกายของเรา ในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาปุ๊บ จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปัจจุบันอยู่ที่การเดิน จะแปรงฟัน จะล้างหน้า เราก็มีใจเป็นปกติรับรู้อยู่ ตัวไหนเป็นตัวพากายไป เป็นตัวไหนเป็นตัวสั่งกายไป
สติปัญญาของเรานี่แหละ เราพยายามสร้างขึ้นมา ช่วงใหม่ๆ สติจะพลั้งเผลอ ถ้าเรารู้ลักษณะของจิต รู้การเกิดของจิต รู้การเกิดของความคิด หรือว่าขันธ์ห้า เขาแยกเขาคลายออกจากกัน ความรู้ตัวของเราก็จะตามไปดู เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ในขันธ์ห้า
ถ้าแยกได้คลายได้ ตรงนี้แหละ กำลังสติของเราจะตามดูค้นคว้า ถ้าเราไม่ตามดู เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม ตามดูตามรู้ตามเห็นจนหมดความสงสัย จนละได้หมดจดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ปล่อยปละละเลย ทำอะไรก็ไม่ให้ปล่อยปละละเลย ต้องทำให้ต่อเนื่อง ความต่อเนื่องนั่นแหละ เราก็จะรู้ก็จะเห็น ลักษณะของจิตที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ลักษณะของจิตที่เกิดเป็นลักษณะนี้ การดับการควบคุม มีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละในชีวิตของเรา ถ้าพูดนอกเรื่องก็นอกประเด็น
เอาใกล้ๆ ตัวของเรา เอาใจของเรา เอากายของเรา เอาภาระหน้าที่การงานของเรา มีความรับผิดชอบต่อตัวเราเองหรือไม่ มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมหรือไม่ มีความเสียสละอย่างเต็มเปี่ยมหรือไม่ ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน ตื่นขึ้นมาเหมือนกับนกกระจอก อยู่ด้วยกันหลายๆ คนไม่รู้อะไรต่ออะไรเจี้ยวจ้าวกันไปหมด บางทีก็เป็นเรื่องกุศล บางทีก็เป็นเรื่องอกุศล บางทีอยู่คนเดียวก็คิดไปสารพัดเรื่อง
เราต้องมาแก้ไข มาปรับปรุงตัวเราเสีย หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ พวกท่านไม่ไปทำก็ไม่เข้าใจ ไม่ไปวิเคราะห์ตัวเราเองก็ไม่เข้าใจ เราก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัย เราแสวงหาธรรมก็ย่อมจะรู้ธรรม แสวงหาโลกก็ย่อมจะรู้โลก โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้ทิ้งก้อนโลก
ทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย แล้วก็ไม่ถึงกาลถึงเวลาเราก็ไม่ได้ไป ถ้าถึงกาลถึงเวลา เอาอะไรมาผูกมัดเอาไว้ก็ไม่อยู่ บุญเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม เพียงแค่คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้านเราก็ทำบุญได้ อยู่ที่วัดเราก็ทำบุญได้ ทำบุญให้ตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เก็บตายของเรา มีโอกาสเราอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง โอกาสอันดีงามของทุกคน มีโอกาสก็ได้มาร่วมกัน
ที่วัดของเราก็สร้างประโยชน์ได้ทุกวัน สร้างบุญอยู่ทุกวัน มีโอกาสก็ขอเชิญชวนมา อยากจะมาช่วยทำโน่น อยากจะมาช่วยทำนี้ มาก่อร่างสร้างอิฐ สร้างวิหาร มาถือปูน มาเทปูน มาทำโน่นทำนี่ช่วยกัน ฝากเอาไว้ในใจของเรา ฝากเอาไว้ในแผ่นดินให้เป็นแหล่งบุญของทุกคน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา