หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 011

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 011
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 011
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบีบอย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อของร่างกาย เป็นการระงับยับยั้งความนึกคิดปรุงแต่งของตัวจิต

ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความรู้ตัวของเรา เราได้สร้างขึ้นมาแล้วหรือยัง แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ตรงนี้แหละคนเราผิดพลาดกันมากเลยทีเดียว มีตั้งแต่ไปนึกเอา ไปคิดเอา มันก็เลยปิดบังอำพรางตัวเองเอาไว้หมด

ตัวจิตยังเกิดอยู่ ทั้งเกิดด้วย ทั้งอาการของจิตกับตัวจิต หรือว่าวิญญาณกับอาการของวิญญาณในขันธ์ห้าของเรา ในร่างกายของเรา มันเกิด มันส่ง มันหลง เป็นทาสอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส เราต้องมาสร้างความรู้ตัวนี้แหละ มาเจริญสตินี้แหละให้ต่อเนื่อง สติไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้มี ไม่ต่อเนื่อง เราก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง

ถ้าเราทำได้ต่อเนื่องแล้ว เราจะรู้ลักษณะของจิต เวลาจิตเกิด เวลาจิตก่อตัว เวลาความคิดผุดขึ้นมา ตัวจิตเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร เขาไปหลงความคิด หลงอารมณ์ได้อย่างไร ค่อยๆ หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ลึกลงไปเรื่อยๆ จนกว่ารอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในวิมุตติ รอบรู้ในโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว

แต่เวลานี้เรามีศรัทธากันเต็มเปี่ยม เรามีศรัทธา เรามีความเสียสละ รู้จักการแสวงหา แต่แสวงหาด้วยอำนาจของจิต จิตที่มีแต่ความทะเยอทะยาน อยากรู้ อยากได้ อยากเห็น อยากมี อยากเป็น อยากได้ธรรม อยากรู้ธรรม อยากได้บุญ ทั้งที่ตัวจิตนั้นก็เป็นบุญอยู่ ฝักใฝ่ในบุญในกุศลอยู่ เราต้องมาสร้างความรู้ตัว เข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเรา

ใจของเรายังเกิดอยู่ เราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ กำหนดลมหายใจให้ต่อเนื่อง ใจก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพร่ำสอนมัน สังเกตจนจิตของเราแยกได้คลายได้ ซึ่งก็เรียกว่า ‘วิปัสสนา’ สัมมาทิฏฐิ แยกรูปแยกนาม เราก็ต้องตามดูให้รู้ ให้เห็นอีก ให้ใจรู้เห็นตามความเป็นจริงอีก ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันได้ปั๊บ

เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเรา วิเคราะห์กายของเรา เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น เรามีความทะเยอทะยานอยาก เราก็ละความอยาก เรามีความโกรธเรา ก็พยายามละความโกรธ เรามีความโลภ เราก็พยายามละความโลภ พยายามขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา ลึกลงไปเราก็ต้องพยายามรู้ ตัวใจของเราอยู่ฐานตรงไหน อยู่กลางใจของเรา มันเริ่มก่อตัวอย่างไร เกิดอย่างไร ต้องให้รู้ชัดเจน ทุกเรื่องในชีวิตของเรา

อันนี้คือรูป อันนี้คือนาม เราอย่ารู้แต่ชื่อของเขา สติไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมาเสียก่อน ใจไม่สงบ เราก็พยายามฝึกให้สงบ จนกว่าเราจะสังเกต รู้เห็นใจของเราคลายออกจากความคิดได้ เพียงแค่เริ่มคลายเท่านั้น ก็เป็นแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจทุกเรื่องอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม

ความอยากแม้แต่นิดเดียวนะที่เกิดจากตัวจิต ตัววิญญาณน่ะ อยากมีอยากเป็น อยากไป ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา เราก็ต้องพยายามระงับยับยั้งเอา หยุด หนุนกำลังสติเข้าไปตามดู ตามรู้ วิเคราะห์ทุกเรื่อง อย่าไปพลาดโอกาสของสติปัญญาได้เลย การพูดนี้ง่าย การกระทำนี้ยาก อาศัยความเพียร อาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยการขัดเกลากิเลสออกให้มันหมดจด การดับความเกิด เราก็จะมองเห็นชัดเจนว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิด กิเลสตัวไหนเราละได้ ตัวไหนเราละไม่ได้ เราก็ต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดหมด กิเลสหยาบกิเลสละเอียด

แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย ท่านสอนเรื่องอัตตาอนัตตา สอนเรื่องสมมติ เรื่องวิมุตติ สอนเรื่องโลกเรื่องธรรม อะไรคือโลก อะไรคือธรรม ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างไร กายของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างไร มีหมด เว้นแต่ว่าพวกเราจะเจริญสติ เพียงแค่การสร้างสติ

เจริญสติ พวกเราก็ยังไม่ค่อยจะทำกันให้ต่อเนื่อง อาจจะทำอยู่บ้างกะปริบกะปรอย ทำบ้างไม่ทำบ้าง ทั้งที่ใจก็แสวงหาธรรม ใจก็แสวงหาบุญ ใจก็ส่วนหนึ่ง สติก็ส่วนหนึ่ง ต่อไปข้างหน้า อาการของใจก็ส่วนหนึ่ง เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าเอาแต่บุญ อยากได้แต่บุญ ถ้าเรารู้จักบุญ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ตัวใจนั่นแหละคือตัวบุญ ความอิ่มอกอิ่มใจ ความสบายใจนั่นแหละคือบุญ

เราอยู่กับสมมติ เราต้องทำความเข้าใจ แต่ละวัน ๆ ตื่นขึ้นมาเราก็จะอยู่กับบุญ เราได้สร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์อะไรแต่ละวัน ๆ ความเกียจคร้านมี เราก็พยายามละความเกียจคร้าน ความขยันหมั่นเพียร ขยันหมั่นเพียรให้ถูกที่ให้ถูกทาง ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง บุญเราก็ทำ สมาธิ เจริญสติเราก็ทำ การวิเคราะห์ การสำรวจ การละกิเลสเราก็ทำ ทำให้เต็มรอบหมด ให้รอบรู้ทั้งภายใน รอบรู้ทั้งภายนอก อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข

จงเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร ขยันหมั่นเพียรให้ถูกที่ให้ถูกทาง แล้วพยายามขยันให้ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็จะได้มีความสุขทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ สมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ไม่ใช่ว่าเอาแต่งอมืองอเท้า เอาแต่ความเกียจคร้าน เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียรให้เต็มเปี่ยม เราจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ตกอับ เป็นบุคคลที่มีความกล้าหาญอาจหาญอยู่ในตัวเองตลอดเวลา ก็ต้องพยายาม

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง