หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 125
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 125
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ให้ต่อเนื่องให้ชัดเจนกันสักพักสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เราก็อย่างมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ การเจริญสติเราก็เจริญให้ต่อเนื่อง จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะรู้เท่าทันใจของเรา รู้จักควบคุมใจ รู้จักสังเกตวิเคราะห์ รู้จักทำความเข้าใจ รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย
ใจของทุกคนก็เป็นบุญใจของทุกคนก็มีศรัทธาเต็มเปี่ยมอยู่ แต่การเจริญสติที่ต่อเนื่องตรงนี้มีไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่าไร อาจจะรู้ได้เป็นบางครั้งบางคราว หรือว่าอาจจะรวมกันอยู่ทั้งใจทั้งสติ ทั้งขันธ์ห้าทั้งความคิด เราขาดการจำแนกแจกแจง อันนี้สติที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ การสังเกตการวิเคราะห์ การทำความเข้าใจ สติของเราพลั้งเผลอได้ยังไง ใจของเราเกิดความกังวลหรือว่าเกิดความฟุ้งซ่าน
เราทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส กายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ในหลักธรรมความอยากความทะเยอทะยานอยากนี่แหละคือต้นเหตุแห่งทุกข์เลยทีเดียว เราพยายามหยุดระงับยับยั้งดับความอยากละความอยากด้วยการเอาออกด้วยการให้ ด้วยการคลายด้วยการสร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น อย่าไปเลือกกาลเวลา เวลาโน้นจะทำเวลานี้จะทำ
กายของเรานี้เป็นก้อนของสมมติ ที่นี้จิตหลงแล้วก็มาเกิดในภพมนุษย์มาสร้างขึ้นมามีหนังเข้ามาห่อหุ้ม แล้วก็มีวิญญาณซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เขาเอาร่างกายอัตภาพของมนุษย์นี้มาปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ เราต้องมาเจริญสติเน้นลงอยู่ที่กายของเรา จนกว่าใจของเราจะคลายออก รับรู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเรา กำลังสติปัญญาของเราก็ต้องตามดูรู้ หาเหตุหาผลทุกเรื่อง จนใจยอมรับความเป็นจริงจนเกิดความเบื่อหน่าย
เบื่อหน่าย เบื่อหน่ายในความคิดในอารมณ์แล้วก็อยากจะหนี หนีไม่พ้นก็ต้องอยู่อุเบกขาเพราะว่าตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้วางสมมติ เราอยากจะหลบเราอยากจะหลีกเราอยากจะหนี หนีให้มันพ้นจากสิ่งต่างๆ มันก็หนีไม่พ้น เราต้องหยุดเราต้องอุเบกขา รับรู้มองเห็นตามความเป็นจริง ความเป็นจริงระดับของสมมติ ความเป็นจริงระดับของวิมุตติ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา
ใจของเราก็จะอยู่อุเบกขาวางเฉยรับรู้ตื่นตัว แต่ไม่ให้เกิดไม่ให้เกิดความกังวล ไม่ให้เกิดความทุกข์ไม่ให้เกิดความเครียด ใหม่ๆ เขาเกิดความเบื่อหน่ายทางด้านวัตถุทางด้านอารมณ์ต่างๆ อยากจะหนีให้พ้นมันหนีไม่พ้น เราก็ต้องไปหยุดระงับยับยั้งอยู่ที่ใจของเรา ทำความเข้าใจของเรา ทำใจของเราให้สงบให้สะอาดให้บริสุทธิ์ แล้วก็ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหก ตามีหน้าที่ดู หูมีหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างนี้ เราก็จะอยู่มีความสงบความสุข กายสมมติของเราก็มีความสุข ทางด้านจิตทางด้านวิญญาณของเราก็สงบปราศจากการปรุงการแต่ง ก็ต้องพยายามเอา
ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร อาศัยความหนักแน่นผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออบเพื่อรมเพื่อขัดเพื่อเกลา สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ ลดละกิเลส จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ เราก็ต้องพยายาม ตัวเรานั่นแหละจะเป็นที่พึ่งแห่งตัวเรา คือการเจริญสติเข้าไปเป็นที่พึ่งของใจ ยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ กายสมมติของเราก็ไม่ได้ลำบาก เรามีบุญแล้วแหละถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พยายามเอานะพยายามเอา
นี่ก็วันปวารณาออกพรรษากัน ส่วนพระเราส่วนที่จะสึกก็จะมีเพราะว่ามีภาระหน้าที่ทางสมมติ พระเราชีเราวันพรุ่งนี้ถึงค่อยว่ากัน ใครอยากจะสึกก็มาจะได้สึกให้เพราะว่ายังมีพันธะมีภาระ มีหน้าที่ทางสมมติอยู่ ชีก็เหมือนกันชีอยากจะสึกก็ให้รอสึกพร้อมกัน หรืออยากจะอยู่ต่อก็อยู่ เรามาสร้างบุญบารมีร่วมกัน ได้เท่าไรก็ดีมาฝากเอาไว้กับสมมติ
มีโอกาสเราก็ไปสร้างสานต่อ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนถ้าเราเข้าใจ อยู่ที่บ้านที่ไร่ที่นาที่ทำการทำงาน ถ้าเรามีสติปัญญาคอยสอดส่องคอยวิเคราะห์ อะไรควรละอะไรควรเจริญ อะไรเป็นบุญอะไรไม่เป็นบุญ อะไรเป็นกุศลอะไรไม่เป็น เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์ไม่ใช่ว่าปล่อยปะละเลย ถ้าใจของเราดีอยู่ที่ไหนก็ดี ถ้าใจของเราสงบอยู่ที่ไหนก็สงบ
ถ้ากำลังสติปัญญาของเราเร็วไวขึ้น อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรม ตากระทบรูปเราก็ได้ฟังธรรม หูกระทบเสียงเราก็ได้ฟังธรรม กายทำการทำงานเราก็ได้ฟังธรรม เพราะว่าเรามีสติคอยตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา อะไรควรยังให้เกิดประโยชน์อยู่ในระดับของสมมติวิมุตติ เราก็ต้องพยายามศึกษากันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
หลังจากวันนี้ไปก็คงจะเป็นวันที่ 25 เป็นวันงานกฐินของทางวัด วันที่ 24 25 สองวัน วันที่ 24 ก็จะได้มีการบวชพระ ซึ่งเจ้าคณะบริวารของสามเคก็มาบวชบริวาร วันที่ 25 ก็จะได้ทำการทอดถวายผ้ามหากฐินกัน ก็เป็นบุญของทุกคน เรามาช่วยกันฝากฝังเอาไว้ ผิดพลาดเราก็ช่วยกันแก้ไขไม่ว่าทางกายทางวาจาทางใจ เราก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน
เอาล่ะ วันนี้หลวงพ่อขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ
ใจของทุกคนก็เป็นบุญใจของทุกคนก็มีศรัทธาเต็มเปี่ยมอยู่ แต่การเจริญสติที่ต่อเนื่องตรงนี้มีไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่าไร อาจจะรู้ได้เป็นบางครั้งบางคราว หรือว่าอาจจะรวมกันอยู่ทั้งใจทั้งสติ ทั้งขันธ์ห้าทั้งความคิด เราขาดการจำแนกแจกแจง อันนี้สติที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ การสังเกตการวิเคราะห์ การทำความเข้าใจ สติของเราพลั้งเผลอได้ยังไง ใจของเราเกิดความกังวลหรือว่าเกิดความฟุ้งซ่าน
เราทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส กายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ในหลักธรรมความอยากความทะเยอทะยานอยากนี่แหละคือต้นเหตุแห่งทุกข์เลยทีเดียว เราพยายามหยุดระงับยับยั้งดับความอยากละความอยากด้วยการเอาออกด้วยการให้ ด้วยการคลายด้วยการสร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น อย่าไปเลือกกาลเวลา เวลาโน้นจะทำเวลานี้จะทำ
กายของเรานี้เป็นก้อนของสมมติ ที่นี้จิตหลงแล้วก็มาเกิดในภพมนุษย์มาสร้างขึ้นมามีหนังเข้ามาห่อหุ้ม แล้วก็มีวิญญาณซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เขาเอาร่างกายอัตภาพของมนุษย์นี้มาปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ เราต้องมาเจริญสติเน้นลงอยู่ที่กายของเรา จนกว่าใจของเราจะคลายออก รับรู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเรา กำลังสติปัญญาของเราก็ต้องตามดูรู้ หาเหตุหาผลทุกเรื่อง จนใจยอมรับความเป็นจริงจนเกิดความเบื่อหน่าย
เบื่อหน่าย เบื่อหน่ายในความคิดในอารมณ์แล้วก็อยากจะหนี หนีไม่พ้นก็ต้องอยู่อุเบกขาเพราะว่าตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้วางสมมติ เราอยากจะหลบเราอยากจะหลีกเราอยากจะหนี หนีให้มันพ้นจากสิ่งต่างๆ มันก็หนีไม่พ้น เราต้องหยุดเราต้องอุเบกขา รับรู้มองเห็นตามความเป็นจริง ความเป็นจริงระดับของสมมติ ความเป็นจริงระดับของวิมุตติ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา
ใจของเราก็จะอยู่อุเบกขาวางเฉยรับรู้ตื่นตัว แต่ไม่ให้เกิดไม่ให้เกิดความกังวล ไม่ให้เกิดความทุกข์ไม่ให้เกิดความเครียด ใหม่ๆ เขาเกิดความเบื่อหน่ายทางด้านวัตถุทางด้านอารมณ์ต่างๆ อยากจะหนีให้พ้นมันหนีไม่พ้น เราก็ต้องไปหยุดระงับยับยั้งอยู่ที่ใจของเรา ทำความเข้าใจของเรา ทำใจของเราให้สงบให้สะอาดให้บริสุทธิ์ แล้วก็ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหก ตามีหน้าที่ดู หูมีหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างนี้ เราก็จะอยู่มีความสงบความสุข กายสมมติของเราก็มีความสุข ทางด้านจิตทางด้านวิญญาณของเราก็สงบปราศจากการปรุงการแต่ง ก็ต้องพยายามเอา
ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร อาศัยความหนักแน่นผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออบเพื่อรมเพื่อขัดเพื่อเกลา สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ ลดละกิเลส จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ เราก็ต้องพยายาม ตัวเรานั่นแหละจะเป็นที่พึ่งแห่งตัวเรา คือการเจริญสติเข้าไปเป็นที่พึ่งของใจ ยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ กายสมมติของเราก็ไม่ได้ลำบาก เรามีบุญแล้วแหละถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พยายามเอานะพยายามเอา
นี่ก็วันปวารณาออกพรรษากัน ส่วนพระเราส่วนที่จะสึกก็จะมีเพราะว่ามีภาระหน้าที่ทางสมมติ พระเราชีเราวันพรุ่งนี้ถึงค่อยว่ากัน ใครอยากจะสึกก็มาจะได้สึกให้เพราะว่ายังมีพันธะมีภาระ มีหน้าที่ทางสมมติอยู่ ชีก็เหมือนกันชีอยากจะสึกก็ให้รอสึกพร้อมกัน หรืออยากจะอยู่ต่อก็อยู่ เรามาสร้างบุญบารมีร่วมกัน ได้เท่าไรก็ดีมาฝากเอาไว้กับสมมติ
มีโอกาสเราก็ไปสร้างสานต่อ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนถ้าเราเข้าใจ อยู่ที่บ้านที่ไร่ที่นาที่ทำการทำงาน ถ้าเรามีสติปัญญาคอยสอดส่องคอยวิเคราะห์ อะไรควรละอะไรควรเจริญ อะไรเป็นบุญอะไรไม่เป็นบุญ อะไรเป็นกุศลอะไรไม่เป็น เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์ไม่ใช่ว่าปล่อยปะละเลย ถ้าใจของเราดีอยู่ที่ไหนก็ดี ถ้าใจของเราสงบอยู่ที่ไหนก็สงบ
ถ้ากำลังสติปัญญาของเราเร็วไวขึ้น อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรม ตากระทบรูปเราก็ได้ฟังธรรม หูกระทบเสียงเราก็ได้ฟังธรรม กายทำการทำงานเราก็ได้ฟังธรรม เพราะว่าเรามีสติคอยตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา อะไรควรยังให้เกิดประโยชน์อยู่ในระดับของสมมติวิมุตติ เราก็ต้องพยายามศึกษากันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
หลังจากวันนี้ไปก็คงจะเป็นวันที่ 25 เป็นวันงานกฐินของทางวัด วันที่ 24 25 สองวัน วันที่ 24 ก็จะได้มีการบวชพระ ซึ่งเจ้าคณะบริวารของสามเคก็มาบวชบริวาร วันที่ 25 ก็จะได้ทำการทอดถวายผ้ามหากฐินกัน ก็เป็นบุญของทุกคน เรามาช่วยกันฝากฝังเอาไว้ ผิดพลาดเราก็ช่วยกันแก้ไขไม่ว่าทางกายทางวาจาทางใจ เราก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน
เอาล่ะ วันนี้หลวงพ่อขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ