หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 006
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 006
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายไม่ต้องประนมมือ นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ทำใจของเราให้สบายให้สงบ ฟังไปด้วยแล้วก็น้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวตรงนี้แล้วหรือยัง แล้วก็สร้างได้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้สึกรับรู้ ความรู้สึกรับรู้ไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมาให้มีให้ต่อเนื่อง มันมีอยู่แต่เราไม่ได้ทำความเข้าใจ เราไปมั่นหมายเอาตัวจิตตัววิญญาณเป็นตัวกำกับเป็นตัวรับรู้
เราต้องสร้างความรู้ตัวใหม่ เน้นลงอยู่ที่กายของเรา เพื่อที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิตของเรา ว่าจิตของเราขณะนี้เป็นอย่างไร สงบปกติหรือว่าเกิดความกังวล หรือว่าเกิดความฟุ้งซ่าน หรือว่าปรุงแต่งส่งไปภายนอก ไม่ว่าจะไปฝึกหัดปฏิบัติอยู่ที่ไหนเราต้องรู้ให้ชัดเจนว่า การสร้างความรู้ตัวหรือว่าการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ ต้องฉีก ความรู้ตัวเน้นลงอยู่ที่กายของเราให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ส่วนความรู้สึกรับรู้จากตัวจิตนั้นมีอยู่เดิม ความคิดมีอยู่เดิม การเกิดการดับของจิตก็มีอยู่เดิม
ถ้าเราสร้างความรู้ตัวเราใหม่เน้นลงอยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ลมหายใจบ้างอยู่ที่การเดินบ้างให้ต่อเนื่อง ทำให้ต่อเนื่องเราถึงจะรู้ว่าเราขาดสติตัวนี้มากเลยทีเดียว เราฝึกเราสร้างขึ้นมาให้ได้ให้ต่อเนื่องแล้วเอาไปสังเกตใจของเรา สังเกตใจของเราไม่ทันเราก็รู้จักดับ รู้จักดับรู้จักระงับให้ได้ รู้จักดับรู้จักระงับควบคุมใจของเราซึ่งเรียกว่า ‘สมถะ’ ถ้าเราสังเกตใจของเราคลายออกจากความคิดอาการของความคิด ซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้าได้นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง วิปัสสนาถึงจะเปิดทางให้
การตามดูตามรู้ตามเห็นการเกิดการดับของความคิดของอารมณ์เรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เขาก็จะจำแนกแจกแจงออกไปเป็นกองเป็นขันธ์ ซึ่งพระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ขันธ์ของใครขันธ์ของมัน กองของใครกองของมัน แต่ถ้าเราขาดการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ก็ยากที่จะเข้าใจก็ยากที่จะเห็น ก็ต้องพยายามหมั่นเพียร หมั่นวิเคราะห์แล้วก็เจริญพรหมวิหารควบคู่กันไปด้วย
แต่ละวันตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ใจของเราไม่แข็งกระด้าง ใจของเรามีความฝักใฝ่สนใจในการทำบุญในการให้ทาน ฝักใฝ่แสวงหา ทีนี้เรามาดับการแสวงหาที่เกิดจากตัวใจด้วยการเจริญสติเข้าไปควบคุม ไปหมั่นพร่ำสอนใจจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากอาการของใจ อาการของความคิดได้ เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน
ทำความเข้าใจ ละกิเลสออกจากใจของเราอีก ดับความเกิดออกจากใจของเราให้มันหมดจด เพียงแค่การเกิดเขาก็หลง เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาก่อร่างสร้างภพมนุษย์ขึ้นมาปิดบังตัว อำพรางตัวของเขาเอาไว้ ทีนี้ความคิดอารมณ์ต่างๆ ก็มาปิดบังอำพรางตัวของเขาไว้ การเกิดก็ปิดบังตัวของเขาไว้อีก
เรามาดับความเกิด ช่วงใหม่ๆ เราดับ คลายจิตออกจากความคิดแล้วก็มาดับความเกิด ละกิเลส ดับความเกิดของใจ จากน้อยๆ ไปหามากขึ้นมากๆๆ จนใกล้ตัวของเขา ขณะเขาก่อตัวเราก็ดับ ขณะที่เขาก่อตัวเราก็ดับ หยุดนั่นแหละก็จะถึงตัวตน ถึงตัวความว่างของใจ ในความว่างนั้นมีวิญญาณรับรู้อยู่
การสร้างกำลังใจด้วยสมถะ สร้างกำลังใจ หนุนกำลังสติปัญญาไปวิเคราะห์ ตามชำระสะสางกิเลสออกให้หมดจดจนใจของเราไม่เหลืออะไร เหลือตั้งแต่ความว่าง ในความว่างนั้นรับรู้อยู่ มีตั้งแต่ความหนักแน่น อ่อนโยน หนักแน่นไม่หวั่นไหว ถ้าเขาเกิดเมื่อไหร่เราก็ดับเมื่อนั้น ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราก็หัดวิเคราะห์พิจารณาทั้งสมมติทั้งวิมุตติเพราะว่าเราก็อาศัยสมมติอยู่ กายของเราเป็นก้อนสมมติ กายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ อะไรที่จะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์เราก็ต้องวิเคราะห์พิจารณาให้ถี่ถ้วน แล้วก็จัดระบบระเบียบของกายวาจาใจให้เรียบร้อย ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ทุกเวลาทุกลมหายใจมีคุณค่ามากมายมหาศาลในการสร้างคุณงามความดี อย่าไปเลือกเวลาโน้นอย่าไปเลือกเวลานี้ ใจเกิดขณะนี้เราก็ดับขณะนี้
ทวารทั้งหกทำหน้าที่ดู เราก็พิจารณาดู ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ส่งเข้าไปถึงตัวใจของเรา ตาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างนี้ ตัวใจก็มีหน้าที่รับรู้ ผิดถูกชั่วดีสติปัญญาของเราไปแก้ไข มันไม่เหลือวิสัยหรอก ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ทำใจให้ว่างสมองให้โล่งกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกให้ชัดเจนนะ
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวตรงนี้แล้วหรือยัง แล้วก็สร้างได้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้สึกรับรู้ ความรู้สึกรับรู้ไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมาให้มีให้ต่อเนื่อง มันมีอยู่แต่เราไม่ได้ทำความเข้าใจ เราไปมั่นหมายเอาตัวจิตตัววิญญาณเป็นตัวกำกับเป็นตัวรับรู้
เราต้องสร้างความรู้ตัวใหม่ เน้นลงอยู่ที่กายของเรา เพื่อที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิตของเรา ว่าจิตของเราขณะนี้เป็นอย่างไร สงบปกติหรือว่าเกิดความกังวล หรือว่าเกิดความฟุ้งซ่าน หรือว่าปรุงแต่งส่งไปภายนอก ไม่ว่าจะไปฝึกหัดปฏิบัติอยู่ที่ไหนเราต้องรู้ให้ชัดเจนว่า การสร้างความรู้ตัวหรือว่าการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ ต้องฉีก ความรู้ตัวเน้นลงอยู่ที่กายของเราให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ส่วนความรู้สึกรับรู้จากตัวจิตนั้นมีอยู่เดิม ความคิดมีอยู่เดิม การเกิดการดับของจิตก็มีอยู่เดิม
ถ้าเราสร้างความรู้ตัวเราใหม่เน้นลงอยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ลมหายใจบ้างอยู่ที่การเดินบ้างให้ต่อเนื่อง ทำให้ต่อเนื่องเราถึงจะรู้ว่าเราขาดสติตัวนี้มากเลยทีเดียว เราฝึกเราสร้างขึ้นมาให้ได้ให้ต่อเนื่องแล้วเอาไปสังเกตใจของเรา สังเกตใจของเราไม่ทันเราก็รู้จักดับ รู้จักดับรู้จักระงับให้ได้ รู้จักดับรู้จักระงับควบคุมใจของเราซึ่งเรียกว่า ‘สมถะ’ ถ้าเราสังเกตใจของเราคลายออกจากความคิดอาการของความคิด ซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้าได้นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง วิปัสสนาถึงจะเปิดทางให้
การตามดูตามรู้ตามเห็นการเกิดการดับของความคิดของอารมณ์เรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เขาก็จะจำแนกแจกแจงออกไปเป็นกองเป็นขันธ์ ซึ่งพระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ขันธ์ของใครขันธ์ของมัน กองของใครกองของมัน แต่ถ้าเราขาดการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ก็ยากที่จะเข้าใจก็ยากที่จะเห็น ก็ต้องพยายามหมั่นเพียร หมั่นวิเคราะห์แล้วก็เจริญพรหมวิหารควบคู่กันไปด้วย
แต่ละวันตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ใจของเราไม่แข็งกระด้าง ใจของเรามีความฝักใฝ่สนใจในการทำบุญในการให้ทาน ฝักใฝ่แสวงหา ทีนี้เรามาดับการแสวงหาที่เกิดจากตัวใจด้วยการเจริญสติเข้าไปควบคุม ไปหมั่นพร่ำสอนใจจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากอาการของใจ อาการของความคิดได้ เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน
ทำความเข้าใจ ละกิเลสออกจากใจของเราอีก ดับความเกิดออกจากใจของเราให้มันหมดจด เพียงแค่การเกิดเขาก็หลง เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาก่อร่างสร้างภพมนุษย์ขึ้นมาปิดบังตัว อำพรางตัวของเขาเอาไว้ ทีนี้ความคิดอารมณ์ต่างๆ ก็มาปิดบังอำพรางตัวของเขาไว้ การเกิดก็ปิดบังตัวของเขาไว้อีก
เรามาดับความเกิด ช่วงใหม่ๆ เราดับ คลายจิตออกจากความคิดแล้วก็มาดับความเกิด ละกิเลส ดับความเกิดของใจ จากน้อยๆ ไปหามากขึ้นมากๆๆ จนใกล้ตัวของเขา ขณะเขาก่อตัวเราก็ดับ ขณะที่เขาก่อตัวเราก็ดับ หยุดนั่นแหละก็จะถึงตัวตน ถึงตัวความว่างของใจ ในความว่างนั้นมีวิญญาณรับรู้อยู่
การสร้างกำลังใจด้วยสมถะ สร้างกำลังใจ หนุนกำลังสติปัญญาไปวิเคราะห์ ตามชำระสะสางกิเลสออกให้หมดจดจนใจของเราไม่เหลืออะไร เหลือตั้งแต่ความว่าง ในความว่างนั้นรับรู้อยู่ มีตั้งแต่ความหนักแน่น อ่อนโยน หนักแน่นไม่หวั่นไหว ถ้าเขาเกิดเมื่อไหร่เราก็ดับเมื่อนั้น ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราก็หัดวิเคราะห์พิจารณาทั้งสมมติทั้งวิมุตติเพราะว่าเราก็อาศัยสมมติอยู่ กายของเราเป็นก้อนสมมติ กายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ อะไรที่จะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์เราก็ต้องวิเคราะห์พิจารณาให้ถี่ถ้วน แล้วก็จัดระบบระเบียบของกายวาจาใจให้เรียบร้อย ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ทุกเวลาทุกลมหายใจมีคุณค่ามากมายมหาศาลในการสร้างคุณงามความดี อย่าไปเลือกเวลาโน้นอย่าไปเลือกเวลานี้ ใจเกิดขณะนี้เราก็ดับขณะนี้
ทวารทั้งหกทำหน้าที่ดู เราก็พิจารณาดู ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ส่งเข้าไปถึงตัวใจของเรา ตาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างนี้ ตัวใจก็มีหน้าที่รับรู้ ผิดถูกชั่วดีสติปัญญาของเราไปแก้ไข มันไม่เหลือวิสัยหรอก ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ทำใจให้ว่างสมองให้โล่งกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกให้ชัดเจนนะ