หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 096
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 096
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสีย พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ฝึกพิจารณามองให้เห็นเหตุเห็นผล สร้างความรู้ตัวมองเข้าไปในใจในกายของเรา ให้รู้เห็นความเป็นจริงว่ากายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร อะไรคือรูปอะไรคือนาม อะไรคือขันธ์ห้า
คนเราเกิดมาไปอย่างไรมาอย่างไร คําว่าลักษณะของวิญญาณในขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องศึกษาชีวิตของเราด้วยการเจริญสติ มาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ตัวใหม่มาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ ตัวใจของเราตัววิญญาณของเรานั่นก็เป็นธาตุรู้ แต่เขาก็ยังเกิดอยู่เขารู้อยู่ ทั้งเกิดอยู่ทั้งหลงอยู่ เขาหลงเกิดหลงเข้ามาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ขณะนี้เกิดอยู่ในภพของมนุษย์ซึ่งมีขันธ์ห้าเข้ามาปกปิดเอาไว้อยู่
เราต้องมาเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล ให้ใจของเราคลายความหลงซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ กว่าจะแยกรูปแยกนามได้เราก็ต้องรู้จักสร้างสติ ให้รู้จักสร้างสติหรือว่าเจริญสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอา การนึกการคิดนั้นปัญญาของเก่าปัญญาที่เกิดจากตัวใจปัญญาที่เกิดจากขันธ์ห้า อันนี้ก็มีอยู่เขาหลงมาอยู่ เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสำรวจหมั่นตรวจตราดูตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
เราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไรขณะที่เรายังมีลมหายใจ ทำอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาดใจของเราถึงจะบริสุทธิ์ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ชีวิตอยู่ปัจจุบันคําว่าปัจจุบันธรรม เราก็พยายามทำให้ดีทั้งสมมติภายนอกเราก็ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ เพราะว่าเราก็ยังอาศัยสมมติอยู่อาศัยปัจจัยสี่อยู่ ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่ใกล้อยู่ไกลก็มีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกัน เราก็พยายามสร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละให้มีให้เกิดให้เต็มเปี่ยม ยิ่งมาอยู่ร่วมกันเยอะมากมายเท่าไหร่ปัญหาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมามากมายเท่านั้นแหละ
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้องพยายามขยันมั่นเพียร เพียงแค่ความเป็นระเบียบระดับของสมมติเราก็พยายามทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ขอให้ฉันได้อยู่ดีมีความสุข ขอให้คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง สถานที่จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เราก็ต้องพยายามสร้างความรับผิดชอบยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เกียจคร้านมีความขยันหมั่นเพียร รู้จักฝักใฝ่รู้จักสนใจ รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเรา ซึ่งแต่ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด ความคิดเขาเกิดอย่างไร ถ้าเราระงับยับยั้งความคิดไม่ได้เราก็ระงับยับยั้งทางวาจาของเรา กายวาจาแล้วก็ใจซึ่งท่านเรียกว่า วจีกรรม มโนกรรม กายกรรม
เราก็ต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ให้รอบรู้ในดวงใจของตัวเราเอง รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้าของตัวเรา ทำภาระหน้าที่การงานภายในของเราให้จบกิจ งานภายนอกก็ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ รู้จักจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นว่าจะเป็นอย่างนี้
ถ้าไม่หลงไม่เกิดหรอก จิตวิญญาณแต่ละดวงนี่ไม่หลงไม่มีการเกิด เขาหลงมาเขาถึงได้มาเกิด หลงก็หลงหลายชั้นอีกด้วย ในความคิดอารมณ์ต่างๆ ที่มาปรุงแต่งใจมาปรุงแต่งใจของเรา ใจของเราไปหลงไปรวมจนเป็นตัวเดียวกัน ส่งออกไปแล้วก็เลยรู้อยู่คิดก็รู้ทำก็รู้ มันก็รู้อยู่หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ แล้วก็มาหลงอยู่ในกายก้อนเนื้อก้อนนี้อีก แล้วก็ไปหลงในรูปในรสในกลิ่นในเสียงเข้ามาอีก หลงในโลกธรรมอีกสารพัดอย่าง ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าใจ
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็อยากจะทำบุญอยากจะได้บุญ เพียงแค่ความอยากที่เกิดจากตัวใจเขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ เราต้องพยายามหัดศึกษาให้ละเอียดอย่าพากันปล่อยปละละเลย จะว่ามากก็มากจะว่าน้อยก็น้อย ถ้าคนขยันหมั่นเพียรจากยากก็จะเป็นของง่าย ถ้าคนไม่ขยันหมั่นเพียรไม่ทำความเข้าใจจากง่ายก็จะเป็นของยาก
ถ้าคนรู้จักขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ให้เกิด ให้เป็นความต้องการของสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน แม้ตั้งแต่สติปัญญาถ้าเป็นอกุศลก็ยังให้ดับให้จบให้เหลือตั้งแต่ฝ่ายกุศล แม้แต่ฝ่ายกุศลก็ยังไม่ให้ยึดอีก เราต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด คนทั่วไปก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็ขอให้อยู่ในกองบุญน้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญ หมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์หมั่นสร้างประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้น มองเห็นโลกนี้เป็นธรรมดา
แนวทางนั้นมีอยู่ การได้ศึกษาการได้ค้นคว้าจากตําราจากครูบาอาจารย์นั้นมีกันเต็มบ้านเต็มเมืองนั่นแหละ แต่เราไม่ได้ศึกษาใจของเราให้ละเอียดเลย มีตั้งแต่จะพากันไปวิ่งศึกษาตั้งแต่ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ไม่ได้เน้นลงอยู่ที่กายของตัวเราเอง อะไรคือสติปัญญาที่สร้างขึ้นมา อะไรคือตัวใจ ใจในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร คําว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร คําว่า ‘อนัตตา’ เป็นอย่างไร อะไรคือรูปอะไรคือนาม อะไรกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ใจที่คลายออกจากความคิดเป็นอย่างไร การตามดูรู้เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าของเราเป็นอย่างไร เราละกิเลสได้ระดับไหน ใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เพียงแค่คลายความหลงคลายจากขันธ์ห้าแล้วก็มาดับความเกิดของใจอีก
เราต้องมาเข้าใจในการศึกษาในเรื่องหลักธรรมคําสอนของพระพุทธองค์ คําว่า ‘หลักของอริยสัจ’ ใจส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างไร การดับการควบคุม การคลายการแยก การตามดูการรู้การเห็น ทุกเรื่อง เราต้องเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน ถ้ารู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักควบคุมเขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ไม่ใช่ว่าจะให้คนอื่นเขาบังคับต้องไปพาเดินพานั่ง มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ชอบให้คนอื่นเขาบังคับ ไม่รู้จักบังคับตัวเองสอนตัวเองแก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา คนมีปัญญาจะมันพร่ำสอนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้นะ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ ตาทำหน้าที่ดูหูทำหน้าที่ฟัง เรารู้จักจำแนกแจกแจงแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากตัววิญญาณของเรา ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ จนลึกลงไปเห็นอาการของใจเขาก่อตัว เห็นอาการของขันธ์ห้าเขาก่อตัว ตามดูจนใจคลายออกพลิกออก เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ ตามดูเห็นการเกิดการดับเขาเรียกว่าเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า จบลงที่ไตรลักษณ์จบลงที่ความว่าง
ทุกเรื่องจะเป็นกุศลหรือว่าอกุศลจะเป็นเรื่องอดีตเรื่องอนาคต เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป นั่นแหละคือความไม่เที่ยงตรงนั้น สติของเราตามดูรู้เห็นจนใจยอมรับความเป็นจริง จนใจเกิดความเบื่อหน่ายได้นั่นแหละเขาถึงจะยอมปล่อยยอมวาง ถึงอยากจะปล่อยอยากจะวางมันก็วางไม่ได้ถ้าไม่เห็นถ้าแยกไม่ได้ ก็เบื่อหน่ายตั้งแต่ระดับของสมมติ เบื่อหน่ายตั้งแต่ทางด้านรูปธรรมเท่านั้น ทางด้านนามธรรมยังไม่เห็นเราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด
กิเลสหยาบ ความหลงความโลภความโกรธ นานๆ บางทีอาจจะเกิด อาจจะเห็นได้ชัด แต่กิเลสละเอียดพวกนิวรณ์ธรรมต่างๆ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความกำหนัดยินดี กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เกิดขึ้นที่กายเราจะแก้ไขอย่างไร กิเลสเกิดขึ้นที่ใจเราจะแก้ไขอย่างไร มันมีวิธีมีอุบายหมดนั่นแหละ เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะทำกันหรือไม่ ถึงกันหรือไม่เท่านั้นเอง
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยากแสนที่จะยากแสนที่จะลําบาก ก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะได้ธรรมอยากจะรู้บุญอยากจะทำบุญ อันนี้มีกันเป็นพื้นฐานกันเต็มเปี่ยม แต่การจำแนกแจกแจง การตามดูการรู้การเห็น เห็นจากน้อยๆ นี่แหละไปหามากๆ เห็นจากน้อยๆ ไปหามากๆ ตามดูตามค้นคว้าหาเหตุหาผล ตั้งแต่เช้ามาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ใจของเราก่อตัวสักกี่ครั้ง ความคิดที่เราไม่ตั้งใจหรือว่าอาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่เรื่อง ใจของเราเขาไปเสวยไหมเข้าไปยินดียินร้ายไหม สติปัญญาของเราพากายไปให้ใจรับรู้ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ กินอยู่ขับถ่าย อยู่ในอำนาจของใจของเราหรือไม่ เราต้องหัดวิเคราะห์ดูให้ละเอียด
พูดง่ายแต่การลงมือจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรถึงจะเข้าถึงได้ ก็ต้องพยายามกันไม่เหลือวิสัย งานสมมติภายนอกบุญระดับสมมติ เราก็พยายามยังประโยชน์ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าว่าไม่ทำ คนเราจะบรรลุถึงเป้าหมายปลายทางได้ก็ตั้งแต่ทานนั่นแหละความเสียสละทาน ศีลสมาธิแล้วก็ปัญญา เหมือนกับเราขึ้นบนครัวเรือนขึ้นบนบ้านก็ต้องอาศัยบันไดอาศัยราวบันได ขั้นแรกขั้นสอง ขั้นสามสี่ แต่เขาก็อาศัยอยู่ในราวบันไดอันเดียวกันเพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็เกี่ยวเนื่องกันหมด ถ้าเราจำแนกแจกแจงคลายจิตออกจากความคิดได้เราก็จะมองเห็นชัดเจน ถ้ายังคลายไม่ได้ตามดูไม่ได้ ก็ยังอยู่ในการยังอยู่ในแค่ศรัทธา แต่ยังเป็นศรัทธาที่ยังปัญญายังไม่เกิดเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่เหลือวิสัยกัน ก็พยายามเอานะ
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมกันเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
เรารู้ทรง รู้ลักษณะของการเจริญสติที่ต่อเนื่อง รู้จักเอาไปใช้ รู้จักลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การตามดูตามรู้ตามเห็นที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์เป็นอย่างไร หลักของอริยสัจใจส่งออกไปข้างนอกเป็นยังอย่างไร เราต้องศึกษาให้ละเอียดทุกเรื่อง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปทิ้งแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ การไปการมา การไม่อยากไปไม่อยากมา สารพัดเรื่อง เราต้องดูให้รู้เรื่อง ที่เขาขึ้นอยู่ที่ตัวของเราเองไม่ใช่จะไปวิ่งให้ตั้งแต่คนโน้นก็สอนคนนี้ก็สอน เราเจริญสติเข้าไปมันพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละอะไรควรเจริญ เพียงแค่ระดับของสมมติพวกเราก็ยังทำความเข้าใจไม่เต็มรอบ สมมติก็เลยครอบงํา ครอบงําแล้วก็ยากที่จะเข้าถึงดวงใจเหมือนกับดินพอกหางหมูยากที่จะคลายได้ ในหลักธรรมท่านให้คลายออกให้หมด แม้แต่การเกิดของใจ จะเอาจะมีจะเป็นจะเป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ เข้าไปทำหน้าที่ ก็ต้องพยายาม
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็พยายามกันสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมี ทั้งสมมติเขาพยายามทำให้เต็มรอบทำให้เต็มเปี่ยม ด้านวิมุตติการละกิเลสการขัดเกลาก็ต้องมีพร้อม ถ้าถึงวาระถึงเวลามันก็ตรงกันถึงจุดหมายปลายทางตราบใดที่เรายังเดินอยู่ เราเดินไม่หยุดไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าตราบใดใจที่ยังเกิดอยู่เขาก็ต้องเกิด ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศล ขอให้เกิดอยู่ในคุณดีคุณงาม ขอให้เกิดอยู่ในที่มีความสุข จนกว่าจะละทุกข์ได้หมด อยู่เหนือทุกข์เหนือบุญเหนือบาปเหนือกรรมต่างๆ ได้นั่นแหละ จนกว่าจะดับความเกิดได้นั่นแหละถึงจะมองเห็นหนทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
คนเราเกิดมาไปอย่างไรมาอย่างไร คําว่าลักษณะของวิญญาณในขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องศึกษาชีวิตของเราด้วยการเจริญสติ มาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ตัวใหม่มาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ ตัวใจของเราตัววิญญาณของเรานั่นก็เป็นธาตุรู้ แต่เขาก็ยังเกิดอยู่เขารู้อยู่ ทั้งเกิดอยู่ทั้งหลงอยู่ เขาหลงเกิดหลงเข้ามาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ขณะนี้เกิดอยู่ในภพของมนุษย์ซึ่งมีขันธ์ห้าเข้ามาปกปิดเอาไว้อยู่
เราต้องมาเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล ให้ใจของเราคลายความหลงซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ กว่าจะแยกรูปแยกนามได้เราก็ต้องรู้จักสร้างสติ ให้รู้จักสร้างสติหรือว่าเจริญสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอา การนึกการคิดนั้นปัญญาของเก่าปัญญาที่เกิดจากตัวใจปัญญาที่เกิดจากขันธ์ห้า อันนี้ก็มีอยู่เขาหลงมาอยู่ เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสำรวจหมั่นตรวจตราดูตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
เราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไรขณะที่เรายังมีลมหายใจ ทำอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาดใจของเราถึงจะบริสุทธิ์ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ชีวิตอยู่ปัจจุบันคําว่าปัจจุบันธรรม เราก็พยายามทำให้ดีทั้งสมมติภายนอกเราก็ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ เพราะว่าเราก็ยังอาศัยสมมติอยู่อาศัยปัจจัยสี่อยู่ ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่ใกล้อยู่ไกลก็มีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกัน เราก็พยายามสร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละให้มีให้เกิดให้เต็มเปี่ยม ยิ่งมาอยู่ร่วมกันเยอะมากมายเท่าไหร่ปัญหาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมามากมายเท่านั้นแหละ
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้องพยายามขยันมั่นเพียร เพียงแค่ความเป็นระเบียบระดับของสมมติเราก็พยายามทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ขอให้ฉันได้อยู่ดีมีความสุข ขอให้คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง สถานที่จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เราก็ต้องพยายามสร้างความรับผิดชอบยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เกียจคร้านมีความขยันหมั่นเพียร รู้จักฝักใฝ่รู้จักสนใจ รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเรา ซึ่งแต่ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด ความคิดเขาเกิดอย่างไร ถ้าเราระงับยับยั้งความคิดไม่ได้เราก็ระงับยับยั้งทางวาจาของเรา กายวาจาแล้วก็ใจซึ่งท่านเรียกว่า วจีกรรม มโนกรรม กายกรรม
เราก็ต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ให้รอบรู้ในดวงใจของตัวเราเอง รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้าของตัวเรา ทำภาระหน้าที่การงานภายในของเราให้จบกิจ งานภายนอกก็ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ รู้จักจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นว่าจะเป็นอย่างนี้
ถ้าไม่หลงไม่เกิดหรอก จิตวิญญาณแต่ละดวงนี่ไม่หลงไม่มีการเกิด เขาหลงมาเขาถึงได้มาเกิด หลงก็หลงหลายชั้นอีกด้วย ในความคิดอารมณ์ต่างๆ ที่มาปรุงแต่งใจมาปรุงแต่งใจของเรา ใจของเราไปหลงไปรวมจนเป็นตัวเดียวกัน ส่งออกไปแล้วก็เลยรู้อยู่คิดก็รู้ทำก็รู้ มันก็รู้อยู่หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ แล้วก็มาหลงอยู่ในกายก้อนเนื้อก้อนนี้อีก แล้วก็ไปหลงในรูปในรสในกลิ่นในเสียงเข้ามาอีก หลงในโลกธรรมอีกสารพัดอย่าง ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าใจ
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็อยากจะทำบุญอยากจะได้บุญ เพียงแค่ความอยากที่เกิดจากตัวใจเขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ เราต้องพยายามหัดศึกษาให้ละเอียดอย่าพากันปล่อยปละละเลย จะว่ามากก็มากจะว่าน้อยก็น้อย ถ้าคนขยันหมั่นเพียรจากยากก็จะเป็นของง่าย ถ้าคนไม่ขยันหมั่นเพียรไม่ทำความเข้าใจจากง่ายก็จะเป็นของยาก
ถ้าคนรู้จักขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ให้เกิด ให้เป็นความต้องการของสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน แม้ตั้งแต่สติปัญญาถ้าเป็นอกุศลก็ยังให้ดับให้จบให้เหลือตั้งแต่ฝ่ายกุศล แม้แต่ฝ่ายกุศลก็ยังไม่ให้ยึดอีก เราต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด คนทั่วไปก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็ขอให้อยู่ในกองบุญน้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญ หมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์หมั่นสร้างประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้น มองเห็นโลกนี้เป็นธรรมดา
แนวทางนั้นมีอยู่ การได้ศึกษาการได้ค้นคว้าจากตําราจากครูบาอาจารย์นั้นมีกันเต็มบ้านเต็มเมืองนั่นแหละ แต่เราไม่ได้ศึกษาใจของเราให้ละเอียดเลย มีตั้งแต่จะพากันไปวิ่งศึกษาตั้งแต่ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ไม่ได้เน้นลงอยู่ที่กายของตัวเราเอง อะไรคือสติปัญญาที่สร้างขึ้นมา อะไรคือตัวใจ ใจในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร คําว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร คําว่า ‘อนัตตา’ เป็นอย่างไร อะไรคือรูปอะไรคือนาม อะไรกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ใจที่คลายออกจากความคิดเป็นอย่างไร การตามดูรู้เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าของเราเป็นอย่างไร เราละกิเลสได้ระดับไหน ใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เพียงแค่คลายความหลงคลายจากขันธ์ห้าแล้วก็มาดับความเกิดของใจอีก
เราต้องมาเข้าใจในการศึกษาในเรื่องหลักธรรมคําสอนของพระพุทธองค์ คําว่า ‘หลักของอริยสัจ’ ใจส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างไร การดับการควบคุม การคลายการแยก การตามดูการรู้การเห็น ทุกเรื่อง เราต้องเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน ถ้ารู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักควบคุมเขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ไม่ใช่ว่าจะให้คนอื่นเขาบังคับต้องไปพาเดินพานั่ง มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ชอบให้คนอื่นเขาบังคับ ไม่รู้จักบังคับตัวเองสอนตัวเองแก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา คนมีปัญญาจะมันพร่ำสอนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้นะ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ ตาทำหน้าที่ดูหูทำหน้าที่ฟัง เรารู้จักจำแนกแจกแจงแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากตัววิญญาณของเรา ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ จนลึกลงไปเห็นอาการของใจเขาก่อตัว เห็นอาการของขันธ์ห้าเขาก่อตัว ตามดูจนใจคลายออกพลิกออก เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ ตามดูเห็นการเกิดการดับเขาเรียกว่าเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า จบลงที่ไตรลักษณ์จบลงที่ความว่าง
ทุกเรื่องจะเป็นกุศลหรือว่าอกุศลจะเป็นเรื่องอดีตเรื่องอนาคต เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป นั่นแหละคือความไม่เที่ยงตรงนั้น สติของเราตามดูรู้เห็นจนใจยอมรับความเป็นจริง จนใจเกิดความเบื่อหน่ายได้นั่นแหละเขาถึงจะยอมปล่อยยอมวาง ถึงอยากจะปล่อยอยากจะวางมันก็วางไม่ได้ถ้าไม่เห็นถ้าแยกไม่ได้ ก็เบื่อหน่ายตั้งแต่ระดับของสมมติ เบื่อหน่ายตั้งแต่ทางด้านรูปธรรมเท่านั้น ทางด้านนามธรรมยังไม่เห็นเราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด
กิเลสหยาบ ความหลงความโลภความโกรธ นานๆ บางทีอาจจะเกิด อาจจะเห็นได้ชัด แต่กิเลสละเอียดพวกนิวรณ์ธรรมต่างๆ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความกำหนัดยินดี กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เกิดขึ้นที่กายเราจะแก้ไขอย่างไร กิเลสเกิดขึ้นที่ใจเราจะแก้ไขอย่างไร มันมีวิธีมีอุบายหมดนั่นแหละ เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะทำกันหรือไม่ ถึงกันหรือไม่เท่านั้นเอง
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยากแสนที่จะยากแสนที่จะลําบาก ก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะได้ธรรมอยากจะรู้บุญอยากจะทำบุญ อันนี้มีกันเป็นพื้นฐานกันเต็มเปี่ยม แต่การจำแนกแจกแจง การตามดูการรู้การเห็น เห็นจากน้อยๆ นี่แหละไปหามากๆ เห็นจากน้อยๆ ไปหามากๆ ตามดูตามค้นคว้าหาเหตุหาผล ตั้งแต่เช้ามาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ใจของเราก่อตัวสักกี่ครั้ง ความคิดที่เราไม่ตั้งใจหรือว่าอาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่เรื่อง ใจของเราเขาไปเสวยไหมเข้าไปยินดียินร้ายไหม สติปัญญาของเราพากายไปให้ใจรับรู้ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ กินอยู่ขับถ่าย อยู่ในอำนาจของใจของเราหรือไม่ เราต้องหัดวิเคราะห์ดูให้ละเอียด
พูดง่ายแต่การลงมือจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรถึงจะเข้าถึงได้ ก็ต้องพยายามกันไม่เหลือวิสัย งานสมมติภายนอกบุญระดับสมมติ เราก็พยายามยังประโยชน์ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าว่าไม่ทำ คนเราจะบรรลุถึงเป้าหมายปลายทางได้ก็ตั้งแต่ทานนั่นแหละความเสียสละทาน ศีลสมาธิแล้วก็ปัญญา เหมือนกับเราขึ้นบนครัวเรือนขึ้นบนบ้านก็ต้องอาศัยบันไดอาศัยราวบันได ขั้นแรกขั้นสอง ขั้นสามสี่ แต่เขาก็อาศัยอยู่ในราวบันไดอันเดียวกันเพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็เกี่ยวเนื่องกันหมด ถ้าเราจำแนกแจกแจงคลายจิตออกจากความคิดได้เราก็จะมองเห็นชัดเจน ถ้ายังคลายไม่ได้ตามดูไม่ได้ ก็ยังอยู่ในการยังอยู่ในแค่ศรัทธา แต่ยังเป็นศรัทธาที่ยังปัญญายังไม่เกิดเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่เหลือวิสัยกัน ก็พยายามเอานะ
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมกันเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
เรารู้ทรง รู้ลักษณะของการเจริญสติที่ต่อเนื่อง รู้จักเอาไปใช้ รู้จักลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การตามดูตามรู้ตามเห็นที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์เป็นอย่างไร หลักของอริยสัจใจส่งออกไปข้างนอกเป็นยังอย่างไร เราต้องศึกษาให้ละเอียดทุกเรื่อง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปทิ้งแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ การไปการมา การไม่อยากไปไม่อยากมา สารพัดเรื่อง เราต้องดูให้รู้เรื่อง ที่เขาขึ้นอยู่ที่ตัวของเราเองไม่ใช่จะไปวิ่งให้ตั้งแต่คนโน้นก็สอนคนนี้ก็สอน เราเจริญสติเข้าไปมันพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละอะไรควรเจริญ เพียงแค่ระดับของสมมติพวกเราก็ยังทำความเข้าใจไม่เต็มรอบ สมมติก็เลยครอบงํา ครอบงําแล้วก็ยากที่จะเข้าถึงดวงใจเหมือนกับดินพอกหางหมูยากที่จะคลายได้ ในหลักธรรมท่านให้คลายออกให้หมด แม้แต่การเกิดของใจ จะเอาจะมีจะเป็นจะเป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ เข้าไปทำหน้าที่ ก็ต้องพยายาม
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็พยายามกันสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมี ทั้งสมมติเขาพยายามทำให้เต็มรอบทำให้เต็มเปี่ยม ด้านวิมุตติการละกิเลสการขัดเกลาก็ต้องมีพร้อม ถ้าถึงวาระถึงเวลามันก็ตรงกันถึงจุดหมายปลายทางตราบใดที่เรายังเดินอยู่ เราเดินไม่หยุดไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าตราบใดใจที่ยังเกิดอยู่เขาก็ต้องเกิด ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศล ขอให้เกิดอยู่ในคุณดีคุณงาม ขอให้เกิดอยู่ในที่มีความสุข จนกว่าจะละทุกข์ได้หมด อยู่เหนือทุกข์เหนือบุญเหนือบาปเหนือกรรมต่างๆ ได้นั่นแหละ จนกว่าจะดับความเกิดได้นั่นแหละถึงจะมองเห็นหนทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ