หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 064
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 064
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง วางกายวางใจของเราให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวก่อนนะ ถึงเราหยุดไม่ได้ละไม่ได้ก็ขอให้หยุดเอาไว้ขณะที่กำลังนั่งอยู่นี่แหละ เรามาทำความเข้าใจ มาสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก
การน้อมสำเหนียกเข้าไปรู้ในกายของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะอย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราพยายามฝึกหัดสังเกตความรู้สึก หัดสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา ไม่ต้องตามถึงท้องก็ได้เพียงแค่รู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เหมือนกับนายประตูทวารคอยนั่งอยู่ที่ประตู รถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้อยู่ รถคันไหนวิ่งออกก็รู้อยู่ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ให้เราสนใจสนใจตรงจุดนี้แหละสนใจให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่ อย่าไปเกียจคร้านเราพยายามขยันหมั่นเพียร
ถ้าความรู้ตัวตรงนี้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ความปกติของจิตของเรา เวลาจิตหรือว่าวิญญาณของเราก่อตัว อาการเขาเกิดอย่างไร เวลาความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราเราก็จะเห็น ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมกับอาการของความคิดซึ่งเขามีอยู่แล้ว ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเราก็จะเห็นตรงนั้น ถ้าเราเห็นการเกิดการดับ การก่อตัว ขณะนี้ใจของเรายังคว่ำ ยังปกติ ถ้าใจของเราคลายออกจากอาการของความคิดเขาเรียกว่าหงาย หงายของที่คว่ำ ใจของเราก็จะว่างกายของเราก็จะเบา ก็จะเห็นการเกิดการดับของอาการของขันธ์ห้าเป็นเรื่องอะไรที่การเกิด
แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่องกัน เราก็ไม่ได้เห็นตรงนี้ หลวงพ่อถึงได้ย้ำได้เตือน พยายามทำ สร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็รู้ลมหายใจเข้าออกปุ๊บ รู้กายปุ๊บรู้ใจปุ๊บ รู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนเป็นการทวนกระแส ถ้าเรารู้แล้วเห็นตรงนี้แล้ว ตามทำความเข้าใจได้แล้ว เราก็จะเข้าใจในภาษาธรรม เข้าใจในภาษาโลก เข้าใจคำว่าสมมติเข้าใจคำว่าวิมุตติ แล้วก็รู้เห็นลักษณะหน้าตาอาการของเขาด้วย ในขั้นสูงๆ ขึ้นไป เราก็จะได้ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับใจของเรา เพียงแค่ขั้นเริ่มต้น เพียงแค่ขั้นเริ่มต้น
การเจริญสติให้ต่อเนื่องตรงนี้แหละเราต้องดำเนินให้ได้เสียก่อน ถ้าเราเห็นตรงนี้ปุ๊บความรู้ตัวของเราก็จะเร็วไวขึ้น กลายเป็นมหาสติกลายเป็นมหาปัญญา ตามดูตามรู้ตามเห็นจนยับยั้งสติปัญญาเอาไว้ไม่อยู่ จนค้นคว้าเห็นรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็เมื่อใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริง เขาก็จะปล่อยเขาก็จะวาง เขาก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในความคิดในอารมณ์ ทีนี้เราก็มาดับความเกิด เราต้องรู้จักน้อยๆ ไปหามากๆ ส่วนมากเราจะไปรู้เอาไปฟังเอาตั้งแต่ผล ไปฟังเอาตั้งแต่เบื้องปลายโน้น เรามีสาวสืบสาวราวเรื่องไปหาตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ เหตุเขาเกิดขึ้นที่ตรงไหน เขาดับอย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เกิดแต่เหตุ สมมติภายนอกทั้งโลกธรรมแปดก็มีเหตุมีผล ทางด้านร่างกายของเรานี่เขาก็มีเหตุมีผล ทางด้านนามธรรมทางด้านจิตวิญญาณเขาก็มีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมปล่อยวางได้ง่ายๆ เราต้องเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล ตามดูตามรู้ สติปัญญาของเราต้องแหลมคมเร็วไว รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุ รู้จักดับรู้จักระงับยับยั้งควบคุมเอาไว้
การละกิเลสเป็นอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร การคลายความหลงเป็นอย่างไร เราต้องรู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ใจวิเวกเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร ทุกเรื่องเลยในชีวิต ทั้งการไปการมา การเกิดการดับ ไม่อยากไปไม่อยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นกิเลส แม้ตั้งแต่กิเลสฝ่ายดีกิเลสฝ่ายไม่ดี เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ
ขณะนี้เวลานี้กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร เรามีความเพียรที่เต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความรับผิดชอบที่เต็มเปี่ยมหรือไม่ จิตใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น จากน้อยๆ ไปหามากๆ จนกว่าจะเต็มเปี่ยม อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เราต้องพยายามศึกษาชีวิตของเรา รู้จักหนทางเดินมองเห็นหนทางเดิน
แนวทางก็มีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบออกมาเปิดเผยให้สัตว์โลก สัตว์โลกก็คือพวกเรานี่แหละ เราพยายามดำเนินสร้างธรรมให้มีให้เกิด สติไม่มีเราก็สร้างให้มี ใจของเราไม่สงบเราพยายามฝึกให้สงบ ใจของเรายังหลงอยู่เราก็หาเหตุหาผลจนเขาคลายความหลง ตามดูแล้วก็รู้เห็น แล้วก็ละออกให้หมดจากใจของเรา
สนุกสร้างบุญสร้างกุศลสร้างคุณงามความดี ถ้าเรารู้จักบุญเราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ทำกายให้เป็นบุญทำวาจาให้เป็นบุญทำใจให้เป็นบุญ จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่พี่สู่น้องสู่สังคม จนกว่าเราจะหมดลมหายใจนั่นแหละ พยายามสร้างสานต่อกันนะ ถ้าเราดำเนินทางไม่ถึงจุดหมายวันนี้ วันพรุ่งนี้เราต้องถึงจุดหมาย ไม่ถึงวันนี้พรุ่งนี้มะรืนนี้ ถ้าไม่ถึงจริงๆ เขาก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำไม่เลือนหายไปไหน จะฝากเอาไว้ที่ใจของเราทุกคนนี้แหละ ต้องพยายามกัน
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
การน้อมสำเหนียกเข้าไปรู้ในกายของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะอย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราพยายามฝึกหัดสังเกตความรู้สึก หัดสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา ไม่ต้องตามถึงท้องก็ได้เพียงแค่รู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เหมือนกับนายประตูทวารคอยนั่งอยู่ที่ประตู รถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้อยู่ รถคันไหนวิ่งออกก็รู้อยู่ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ให้เราสนใจสนใจตรงจุดนี้แหละสนใจให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่ อย่าไปเกียจคร้านเราพยายามขยันหมั่นเพียร
ถ้าความรู้ตัวตรงนี้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ความปกติของจิตของเรา เวลาจิตหรือว่าวิญญาณของเราก่อตัว อาการเขาเกิดอย่างไร เวลาความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราเราก็จะเห็น ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมกับอาการของความคิดซึ่งเขามีอยู่แล้ว ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเราก็จะเห็นตรงนั้น ถ้าเราเห็นการเกิดการดับ การก่อตัว ขณะนี้ใจของเรายังคว่ำ ยังปกติ ถ้าใจของเราคลายออกจากอาการของความคิดเขาเรียกว่าหงาย หงายของที่คว่ำ ใจของเราก็จะว่างกายของเราก็จะเบา ก็จะเห็นการเกิดการดับของอาการของขันธ์ห้าเป็นเรื่องอะไรที่การเกิด
แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่องกัน เราก็ไม่ได้เห็นตรงนี้ หลวงพ่อถึงได้ย้ำได้เตือน พยายามทำ สร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็รู้ลมหายใจเข้าออกปุ๊บ รู้กายปุ๊บรู้ใจปุ๊บ รู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนเป็นการทวนกระแส ถ้าเรารู้แล้วเห็นตรงนี้แล้ว ตามทำความเข้าใจได้แล้ว เราก็จะเข้าใจในภาษาธรรม เข้าใจในภาษาโลก เข้าใจคำว่าสมมติเข้าใจคำว่าวิมุตติ แล้วก็รู้เห็นลักษณะหน้าตาอาการของเขาด้วย ในขั้นสูงๆ ขึ้นไป เราก็จะได้ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับใจของเรา เพียงแค่ขั้นเริ่มต้น เพียงแค่ขั้นเริ่มต้น
การเจริญสติให้ต่อเนื่องตรงนี้แหละเราต้องดำเนินให้ได้เสียก่อน ถ้าเราเห็นตรงนี้ปุ๊บความรู้ตัวของเราก็จะเร็วไวขึ้น กลายเป็นมหาสติกลายเป็นมหาปัญญา ตามดูตามรู้ตามเห็นจนยับยั้งสติปัญญาเอาไว้ไม่อยู่ จนค้นคว้าเห็นรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็เมื่อใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริง เขาก็จะปล่อยเขาก็จะวาง เขาก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในความคิดในอารมณ์ ทีนี้เราก็มาดับความเกิด เราต้องรู้จักน้อยๆ ไปหามากๆ ส่วนมากเราจะไปรู้เอาไปฟังเอาตั้งแต่ผล ไปฟังเอาตั้งแต่เบื้องปลายโน้น เรามีสาวสืบสาวราวเรื่องไปหาตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ เหตุเขาเกิดขึ้นที่ตรงไหน เขาดับอย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เกิดแต่เหตุ สมมติภายนอกทั้งโลกธรรมแปดก็มีเหตุมีผล ทางด้านร่างกายของเรานี่เขาก็มีเหตุมีผล ทางด้านนามธรรมทางด้านจิตวิญญาณเขาก็มีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมปล่อยวางได้ง่ายๆ เราต้องเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล ตามดูตามรู้ สติปัญญาของเราต้องแหลมคมเร็วไว รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุ รู้จักดับรู้จักระงับยับยั้งควบคุมเอาไว้
การละกิเลสเป็นอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร การคลายความหลงเป็นอย่างไร เราต้องรู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ใจวิเวกเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร ทุกเรื่องเลยในชีวิต ทั้งการไปการมา การเกิดการดับ ไม่อยากไปไม่อยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นกิเลส แม้ตั้งแต่กิเลสฝ่ายดีกิเลสฝ่ายไม่ดี เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ
ขณะนี้เวลานี้กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร เรามีความเพียรที่เต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความรับผิดชอบที่เต็มเปี่ยมหรือไม่ จิตใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น จากน้อยๆ ไปหามากๆ จนกว่าจะเต็มเปี่ยม อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เราต้องพยายามศึกษาชีวิตของเรา รู้จักหนทางเดินมองเห็นหนทางเดิน
แนวทางก็มีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบออกมาเปิดเผยให้สัตว์โลก สัตว์โลกก็คือพวกเรานี่แหละ เราพยายามดำเนินสร้างธรรมให้มีให้เกิด สติไม่มีเราก็สร้างให้มี ใจของเราไม่สงบเราพยายามฝึกให้สงบ ใจของเรายังหลงอยู่เราก็หาเหตุหาผลจนเขาคลายความหลง ตามดูแล้วก็รู้เห็น แล้วก็ละออกให้หมดจากใจของเรา
สนุกสร้างบุญสร้างกุศลสร้างคุณงามความดี ถ้าเรารู้จักบุญเราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ทำกายให้เป็นบุญทำวาจาให้เป็นบุญทำใจให้เป็นบุญ จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่พี่สู่น้องสู่สังคม จนกว่าเราจะหมดลมหายใจนั่นแหละ พยายามสร้างสานต่อกันนะ ถ้าเราดำเนินทางไม่ถึงจุดหมายวันนี้ วันพรุ่งนี้เราต้องถึงจุดหมาย ไม่ถึงวันนี้พรุ่งนี้มะรืนนี้ ถ้าไม่ถึงจริงๆ เขาก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำไม่เลือนหายไปไหน จะฝากเอาไว้ที่ใจของเราทุกคนนี้แหละ ต้องพยายามกัน
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ