หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 049
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 049
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะสามเณร กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง สามเณรนี่เอาเยอะเต็มบาททุกวัน กลัวน้ำหนักไม่เพิ่มก็เลยเหลือทุกวัน สามเณรตัวอ้วนๆ น่ะระวังอันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อยมันบอกว่างั้น เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่มแล้วก็เอาซ่อนไว้ข้างหลังด้วยนั่น ดูท่าน่ะกำลังน่ารัก
สามเณรสมัยก่อนมาบวชอยู่ด้วยไม่กลัวผี กลางคืนก็เดินเข้าไปกลางป่าช้าแต่ก่อนมันรก พระก็นอนอยู่ในกระต๊อบ ตีสี่ตีห้าพระไม่มาทำวัตร สามเณรก็เลยไปไปดึงขาพระสิ พระนี่ร้องเสียงหลงอยู่ในกลางป่า พระกลัวผีเณรไม่กลัว สามเณรด้วยกันหลายๆ องค์ ประมาณ 7 – 8 องค์มาบวชด้วยกัน คนหนึ่งก็อยากจะเป็นหัวหน้าเพื่อน พาเดินพาสร้างสติก็จะเดินไปจุดโน้นจุดนี้เดินรอบป่าเลย เดินรอบป่าเดินไปกุฎิโน้นกุฎินี้ ใครถามก็ไม่พูดเพราะว่าเขากำลังฝึกสติ กำหนดการเดินไปที่โน่นที่นี่ นิ่ง
ตกเย็นๆ มาก็พาเพื่อนเดินไปที่หลุมศพวันแล้ววันเล่า ตอนเช้าตอนเย็นจะพากันเดินจงกรมไปที่หลุมศพ ผ่านหลุมศพไปยืนนิ่งอยู่ที่หลุมศพไปพิจารณาไม่กลัว มาบวชอยู่ด้วย พอสึกออกไปกลับมาใหม่กลับมาหาใหม่ ก็เลยบอกว่าไปไปเดินจงกรมไปเจริญสติ ไม่ยอมไป ทำไมไม่ไปล่ะ อ้าวก็ผมบวชเณร ช่วงนั้นผมบวชเณรผีก็กลัวผมสิว่าอย่างนั้น อ้าวทำไมถึงกลัวล่ะ ก็ผีมันกลัวผ้าเหลืองว่าอย่างนั้น พอผมสึกผมไม่มีผ้าเหลืองผมก็เลยกลัวผีก็เลยไม่กล้าไป อาศัยผ้าเหลืองก็เลยเกิดความกล้า
เด็กอายุ 7 – 8 ขวบ ได้อุบาย หลายคนสามเณรมาบวชอยู่ด้วยหลายคน ทางกรุงเทพก็มาบวชอยู่ด้วย หม่อนไม่มาสามเณรหม่อนไม่มา หม่อนตัวใหญ่ตัวสูงเบ้อเริ่มเลยตอนนี้ บวชวันแรกมาทำวัตรสวดมนต์แผ่เมตตา ถึงบทแผ่เมตตาร้องไห้ไม่หยุด ก็เลยว่าทำไมร้องไห้ล่ะ คิดถึงแม่ว่าอย่างนั้น แผ่เมตตาให้แม่ คิดถึงแม่อยากให้แม่มีความสุข ร้องห่มร้องไห้ก็เลยใช้อุบายปลอบโยนเอา
สามเณร สามเณรร้องไห้ทีไรฝนตกหนักทุกทีเลยนะ สามเณรก็ไม่ยอมเชื่อ ไม่เชื่อหรอกแม่บอกว่ากรมอุตุฯ โน่นเขารายงาน ไม่ใช่ ทางกรุงเทพเขาใช้กรมอุตุฯ รายงานจริงทางบ้านนอกเขาใช้สามเณรรายงาน เณรร้องไห้เมื่อไรฝนตกทุกทีนะ ว่าอย่างนั้น กรุงเทพกับบ้านนอกมันไม่เหมือนกัน บ้านนอกถ้าเณรร้องไห้นี่ฝนตก ทางกรุงเทพก็ต้องใช้กรมอุตุฯ พอวันหลังมามาทำวัตรสวดมนต์อีก วันหลังไม่ร้องไห้ อ้าวเณรไม่เห็นร้องไห้เลย วันนี้ทำไมไม่เห็นร้องไห้ อ้าวถ้าผมร้องไห้ผมกลัวผ้าผมเปียกผมไม่มีผ้าจะใส่สิ สามเณรเดี๋ยวนี้โตเป็นหนุ่ม
อีกรายหนึ่งก็ 6 – 7 ขวบอยู่บ้านเรานี่แหละบ้านเพี้ยฟานเรานี่แหละ มีครอบครัวแล้วมั้ง อยากสึก อยากจะสึก บวชแล้วก็อยากจะสึกแต่ไม่กล้า นอนเจ็บป่วยอย่างนั้นป่วยไข้หนักนอนซม นอนอยู่ใต้แคร่ เป็นอะไร ผมป่วยผมไม่สบายอย่างนั้นอย่างนี้ นอนทุรนทุรายแล้วก็เจ็บท้องว่าจะล้มจะตาย นี่เป็นอะไร ผมเจ็บท้อง เราก็อุตส่าห์ใส่รถเข็นรีบเข็นไปอนามัยโน่นกลัวเณรจะตาย เข็นไปอนามัยไปอนามัยก็ไม่หาย อะไรก็ไม่หายกลับมาวัด อ้าวมันทำไมถึงจะหายล่ะ เดี๋ยวก็หลวงลุงให้ผมสึก มันก็หายเองนั่นแหละ อยากจะสึกก็ไม่บอก สามเณรอยากจะสึกอยากจะสึกแล้วก็ไม่บอก แหมมันเจ็บท้องจะล้มจะตาย
พระเราก็เหมือนกัน สมัยก่อนเคี่ยวเข็ญหนักกว่านี้ ต้องเจริญสติห้ามคุยกัน เจริญสติเดินจงกรมทางของใครทางของมัน สมัยก่อนนี่ต้องเดินตรวจตาทุกชั่วโมงสองชั่วโมงเดินดู พระขี้เกียจก็เอาเท้าลากๆ ทางจงกลมพอให้มันเป็นทางเป็นรอยว่าตัวเองเดินก็เยอะ เดินไปก็ใช้เท้าลากไปให้มันเป็นรอยลึกๆ ความเกียจคร้าน ก็เลยมาช่วงหลังๆ ก็เลยมาพิจารณาดู แล้วแต่อานิสงส์ผลบุญของแต่ละบุคคลสร้างมาไม่เหมือนกัน
สมัยก่อนเราก็อยากจะให้ เห็นหน้าใครอยากจะให้ได้รับความสุขหมด ต้องฝึกต้องดูต้องรู้ต้องเห็น เคี่ยวเข็ญหนักทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน เพราะว่าเราปัญญายังไม่รอบสมมติเท่าไร อยากจะให้เอาตั้งแต่วิมุตติ อยากให้เอาตั้งแต่ใจด้านจิตอย่างเดียว กิเลสเขาก็ไม่ได้ละ ความโลภก็เต็มอัตราศึก ความทะเยอทะยานอยากก็เต็มอัตราศึก พื้นฐานเก่าก็ไม่เยอะ สติก็ยังไม่รู้จักสร้าง จะไปเดินปัญญาแยกรูปแยกนามให้ได้ทรัพย์ภายในเลยทีเดียวมันก็ยาก
นี่แหละ ช่วงใหม่ๆ เราก็อยากจะบังคับ เห็นหน้าใครอยากจะบังคับเอาอย่างเดียว ว่ามันง่าย เหมือนกับเรารู้ง่ายๆ เห็นง่ายๆ อยากจะให้คนอื่นเขาเข้าใจง่ายๆ ก็เลยมีความเครียด บังคับยังไงก็ไม่เอา ถ้าจะไม่เอาพูดอย่างไรมันก็ไม่เอา มาสองสามระยะหลังๆ ก็เลย ถ้าอานิสงส์ผลบุญของแต่ละบุคคลใครมีบุญมีบารมี มีความพร้อมเขาก็จะสนใจในการฝึกฝนตนเองถึงเวลา ถ้าไม่ถึงเวลา จะบังคับยังไงก็ไม่เอา ก็ปล่อยไปตามกาลเวลาก่อน
เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เราจะไปเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราก็คอยดูแล หมั่นดูแลหมั่นให้น้ำให้ปุ๋ย ถึงเวลาเขาออกดอกออกผลให้เรา การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ความเพียรมีเพียงพอหรือไม่ ความรับผิดชอบมีความเพียงพอหรือไม่ ความเสียสละมีความเพียงพอหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละ
บางคนอยากจะรู้ธรรมอยากจะเห็นธรรม จะมาเอาธรรมเหมือนกับจะเหยียบหัวเราก็มี ความอ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่มี อยากจะเอาธรรม เดินเหมือนจะกอดคอเรากอดบ่าเราก็มี มันจะไปได้อะไร หาความอ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่มี หาความเสียสละก็ไม่มี มีตั้งแต่กิเลสธรรมเต็มอัตราศึก คนที่จะเอาธรรมนั้นเขาสร้างสะสมมาตั้งนานตั้งแต่ภพก่อนๆ ก็มาสานต่อ ความเสียสละเป็นเยี่ยม ความอดทนเป็นเยี่ยม ความขยันเป็นเยี่ยม ความรับผิดชอบเป็นเยี่ยม เป็นบุคคลที่มีเหตุมีผล ถึงจะไปถึงฝั่ง อันนี้ความเสียสละก็ไม่มี ความอ่อนน้อมก็ไม่มี การกระทำก็ไม่มี มีตั้งแต่วาจาอยากจะเอาแต่ธรรมอย่างเดียวมันจะไปได้อะไร
การฝึกหัดปฏิบัติต้องเป็นคนที่ขัดเกลาเสียสละออกให้มันหมดจดมันถึงจะถึงฝั่ง เราเอาออกหมดแล้วมันก็มีในสิ่งที่เราเอาออกนั่นแหละคือความสะอาดความบริสุทธิ์ ใจที่ยังเกิดอยู่มันก็ยังไม่นิ่ง ช่วงที่มันไม่เกิดมันก็เหมือนกับมันไม่มี ช่วงที่มันเกิดนี่มันมีอยู่ เราต้องเจริญสติเข้าไปค้นคว้าหาเหตุหาผลให้มันเต็มเปี่ยม ให้มันถึงจุดหมายปลายทาง ที่บังคับเคี่ยวเข็ญนั้นก็เป็นแค่เพียงรูปแบบเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็นแค่เพียงรูปแบบพิธีรีตองรูปแบบอยู่แค่นั้น จุดหมายเราก็ต้องเอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาโน่นล่ะ ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย
ถ้าแก้ไขตัวเราดูใจของเราปรับปรุงใจของเรา กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร กิเลสมันเกิดขึ้นกี่เที่ยวกี่ครั้ง ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง อะไรคือสติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือใจ เราละได้หรือไม่ ไม่ต้องไปเที่ยวประกาศ โครมๆๆ ว่าเราเป็นนักปฏิบัติ มีแต่กิเลสทั้งนั้น รู้ธรรมแต่ภูมิจิตมันไม่มี ปัญญาธรรมมันเต็มกองอัตราศึกแต่ภูมิจิตไม่มีเลย จิตมันเกิดมันวิ่งอยู่ตลอดเวลา เครื่องอยู่ของจิตไม่มีเลย
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวก่อนนะ ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาดถึงเราละไม่ได้เด็ดขาด เราก็หยุดเอาไว้ขณะที่เรากำลังนั่งกำลังฟังอยู่นี่แหละ ไม่ต้องพนมมือนั่งตามสบายวางกายให้สบาย
หลวงพ่อก็ได้เป็นแค่เพียงผู้ชี้ผู้แนะทุกวัน เรื่องเก่าของเก่ามีอยู่อย่างเดียวแล้วก็มีไม่มากคือเรื่องใจของเรา แล้วก็การเจริญสติเข้าไปรู้เข้าไปแก้ไขที่ใจของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าออกรู้ให้ต่อเนื่องพวกเรายังทำไม่ชำนาญเลยยังทำไม่ชัดเจนเลย ไม่ชัดเจนเท่าไรเราพยายามเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ทำบ่อยๆ สังเกตบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
ถ้าเรามีสติความรู้ตัวที่ตัวเนื่อง ลึกลงไปแล้วก็รู้ใจ รู้ลักษณะของใจ รู้ความปกติ เราเห็นเป็นสองส่วนแล้ว ความรู้สึกตัวที่เราสร้างขึ้นมาอยู่ส่วนบนอยู่ส่วนสมอง ส่วนปลายจมูกของเรานี่ส่วนหนึ่ง ส่วนความปกตินั้นอยู่กลางใจ บางทีก็โล่งเขาก็โปร่งอยู่นั่นแหละคือตัวใจกับส่วนสติ ส่วนมากตัวกลาง ตัวใจของเราจะนึกคิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก แล้วก็ไปรวมกับอาการของใจอีก ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม
แล้วก็ส่วนรูปธรรมก็คือร่างกายกายเนื้อของเรา เรามาสร้างความรู้สึกตัวตัวใหม่เข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา วิเคราะห์ใจของเราไม่ทันเราก็รู้จักหยุดรู้จักระงับยับยั้งรู้จักดับเอาไว้ จนกว่ากำลังสติหรือว่าความรู้ตัวของเราจะต่อเนื่อง รู้เห็นตามความเป็นจริงหมดนี่แหละ ทุกคนไม่ขยันทำให้ต่อเนื่องทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจนี่ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน เพราะว่าเขาเกิดมาตั้งนานเขาหลงมาตั้งนาน เขาก็หาทางปิดบังอำพรางตัวเอง หาเหตุหาผลมาปิดบังอำพรางตัวของเขาเองเหมือนกัน กำลังสติปัญญาของเราจะแหลมคมหรือไม่เท่านั้นเอง
ทุกอย่างก็มีเหตุมีผลหมด ถ้าเรารู้เหตุรู้ผลเห็นเหตุเห็นผลแล้วใจของเราก็ต้องวาง ต้องวาง เพียงแค่แยกได้มันก็คลายได้ แต่การละการดับความเกิดละกิเลสอีก ต้องขึ้นอยู่กำลังสติปัญญาของเราอีก ยังความบริสุทธิ์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามพากันทำ อย่าไปทิ้งในการสร้างบารมีสร้างบุญ ถ้าคนเราสร้างบุญสร้างบารมีก็จะไม่อดไม่อยากทางสมมติ ถ้าเราไม่เคยทำเคยสร้างมันก็อดๆ ยากๆ ลำบากในระดับของสมมติในความเป็นอยู่ ถ้าเราไม่มีพรหมวิหารไม่มีความเมตตา มันก็ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่ความเหี่ยวแห้งลำบาก
พระพุทธองค์ท่านถึงให้มีเพียบพร้อมหมด ทั้งทานทั้งศีลทั้งสมาธิ ทั้งสติทั้งปัญญา เดินให้ถูกทาง ไปที่ไหนก็ไม่อดไม่อยากไม่ลำบาก ทั้งในปัจจุบันในโลกหน้า ไอ้ข้างหน้านั่นเอาไว้ก่อนเอาแค่วันนี้ ปัจจุบันนี้ ทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดี วันพรุ่งนี้ก็จะมาเป็นวันนี้ เราทำหน้าที่ของเราให้ดีมันก็จะส่งผลถึงอนาคต อะไรที่ไม่ดีเราก็พยายามละเสียไม่ว่าทางกายทางวาจาแล้วก็ลึกลงไปทางใจ ไปอยู่ที่ไหนก็จะไม่เก้อไม่เขิน หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราขาดตกบกพร่องอะไร เจริญสติไปเป็นครูบาอาจารย์สอนใจของเรา ครูบาอาจารย์ตำราก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าเราไม่ศึกษาใจของเราแล้วก็ยาก มันก็ไปด้วยแรงบุญ วิบากของกรรมของบุญ แรงไหนจะมากกว่ากันก็ไปตามแรงนั้น หลวงพ่อก็พูดของเก่าเรื่องเก่า พยายามรู้สร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา จากน้อยๆ ไปหามากๆ ช่วงใหม่ๆ ก็ทั้งอึดอัด กายก็อึดอัดใจก็อึดอัด ถ้าเราเข้าใจแล้วอะไรก็โล่งโปร่งหมด เราจะละได้เด็ดขาดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน
พากันไหว้พร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ นี่เพียงแค่ย้ำแค่เล่าให้ฟัง
สามเณรสมัยก่อนมาบวชอยู่ด้วยไม่กลัวผี กลางคืนก็เดินเข้าไปกลางป่าช้าแต่ก่อนมันรก พระก็นอนอยู่ในกระต๊อบ ตีสี่ตีห้าพระไม่มาทำวัตร สามเณรก็เลยไปไปดึงขาพระสิ พระนี่ร้องเสียงหลงอยู่ในกลางป่า พระกลัวผีเณรไม่กลัว สามเณรด้วยกันหลายๆ องค์ ประมาณ 7 – 8 องค์มาบวชด้วยกัน คนหนึ่งก็อยากจะเป็นหัวหน้าเพื่อน พาเดินพาสร้างสติก็จะเดินไปจุดโน้นจุดนี้เดินรอบป่าเลย เดินรอบป่าเดินไปกุฎิโน้นกุฎินี้ ใครถามก็ไม่พูดเพราะว่าเขากำลังฝึกสติ กำหนดการเดินไปที่โน่นที่นี่ นิ่ง
ตกเย็นๆ มาก็พาเพื่อนเดินไปที่หลุมศพวันแล้ววันเล่า ตอนเช้าตอนเย็นจะพากันเดินจงกรมไปที่หลุมศพ ผ่านหลุมศพไปยืนนิ่งอยู่ที่หลุมศพไปพิจารณาไม่กลัว มาบวชอยู่ด้วย พอสึกออกไปกลับมาใหม่กลับมาหาใหม่ ก็เลยบอกว่าไปไปเดินจงกรมไปเจริญสติ ไม่ยอมไป ทำไมไม่ไปล่ะ อ้าวก็ผมบวชเณร ช่วงนั้นผมบวชเณรผีก็กลัวผมสิว่าอย่างนั้น อ้าวทำไมถึงกลัวล่ะ ก็ผีมันกลัวผ้าเหลืองว่าอย่างนั้น พอผมสึกผมไม่มีผ้าเหลืองผมก็เลยกลัวผีก็เลยไม่กล้าไป อาศัยผ้าเหลืองก็เลยเกิดความกล้า
เด็กอายุ 7 – 8 ขวบ ได้อุบาย หลายคนสามเณรมาบวชอยู่ด้วยหลายคน ทางกรุงเทพก็มาบวชอยู่ด้วย หม่อนไม่มาสามเณรหม่อนไม่มา หม่อนตัวใหญ่ตัวสูงเบ้อเริ่มเลยตอนนี้ บวชวันแรกมาทำวัตรสวดมนต์แผ่เมตตา ถึงบทแผ่เมตตาร้องไห้ไม่หยุด ก็เลยว่าทำไมร้องไห้ล่ะ คิดถึงแม่ว่าอย่างนั้น แผ่เมตตาให้แม่ คิดถึงแม่อยากให้แม่มีความสุข ร้องห่มร้องไห้ก็เลยใช้อุบายปลอบโยนเอา
สามเณร สามเณรร้องไห้ทีไรฝนตกหนักทุกทีเลยนะ สามเณรก็ไม่ยอมเชื่อ ไม่เชื่อหรอกแม่บอกว่ากรมอุตุฯ โน่นเขารายงาน ไม่ใช่ ทางกรุงเทพเขาใช้กรมอุตุฯ รายงานจริงทางบ้านนอกเขาใช้สามเณรรายงาน เณรร้องไห้เมื่อไรฝนตกทุกทีนะ ว่าอย่างนั้น กรุงเทพกับบ้านนอกมันไม่เหมือนกัน บ้านนอกถ้าเณรร้องไห้นี่ฝนตก ทางกรุงเทพก็ต้องใช้กรมอุตุฯ พอวันหลังมามาทำวัตรสวดมนต์อีก วันหลังไม่ร้องไห้ อ้าวเณรไม่เห็นร้องไห้เลย วันนี้ทำไมไม่เห็นร้องไห้ อ้าวถ้าผมร้องไห้ผมกลัวผ้าผมเปียกผมไม่มีผ้าจะใส่สิ สามเณรเดี๋ยวนี้โตเป็นหนุ่ม
อีกรายหนึ่งก็ 6 – 7 ขวบอยู่บ้านเรานี่แหละบ้านเพี้ยฟานเรานี่แหละ มีครอบครัวแล้วมั้ง อยากสึก อยากจะสึก บวชแล้วก็อยากจะสึกแต่ไม่กล้า นอนเจ็บป่วยอย่างนั้นป่วยไข้หนักนอนซม นอนอยู่ใต้แคร่ เป็นอะไร ผมป่วยผมไม่สบายอย่างนั้นอย่างนี้ นอนทุรนทุรายแล้วก็เจ็บท้องว่าจะล้มจะตาย นี่เป็นอะไร ผมเจ็บท้อง เราก็อุตส่าห์ใส่รถเข็นรีบเข็นไปอนามัยโน่นกลัวเณรจะตาย เข็นไปอนามัยไปอนามัยก็ไม่หาย อะไรก็ไม่หายกลับมาวัด อ้าวมันทำไมถึงจะหายล่ะ เดี๋ยวก็หลวงลุงให้ผมสึก มันก็หายเองนั่นแหละ อยากจะสึกก็ไม่บอก สามเณรอยากจะสึกอยากจะสึกแล้วก็ไม่บอก แหมมันเจ็บท้องจะล้มจะตาย
พระเราก็เหมือนกัน สมัยก่อนเคี่ยวเข็ญหนักกว่านี้ ต้องเจริญสติห้ามคุยกัน เจริญสติเดินจงกรมทางของใครทางของมัน สมัยก่อนนี่ต้องเดินตรวจตาทุกชั่วโมงสองชั่วโมงเดินดู พระขี้เกียจก็เอาเท้าลากๆ ทางจงกลมพอให้มันเป็นทางเป็นรอยว่าตัวเองเดินก็เยอะ เดินไปก็ใช้เท้าลากไปให้มันเป็นรอยลึกๆ ความเกียจคร้าน ก็เลยมาช่วงหลังๆ ก็เลยมาพิจารณาดู แล้วแต่อานิสงส์ผลบุญของแต่ละบุคคลสร้างมาไม่เหมือนกัน
สมัยก่อนเราก็อยากจะให้ เห็นหน้าใครอยากจะให้ได้รับความสุขหมด ต้องฝึกต้องดูต้องรู้ต้องเห็น เคี่ยวเข็ญหนักทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน เพราะว่าเราปัญญายังไม่รอบสมมติเท่าไร อยากจะให้เอาตั้งแต่วิมุตติ อยากให้เอาตั้งแต่ใจด้านจิตอย่างเดียว กิเลสเขาก็ไม่ได้ละ ความโลภก็เต็มอัตราศึก ความทะเยอทะยานอยากก็เต็มอัตราศึก พื้นฐานเก่าก็ไม่เยอะ สติก็ยังไม่รู้จักสร้าง จะไปเดินปัญญาแยกรูปแยกนามให้ได้ทรัพย์ภายในเลยทีเดียวมันก็ยาก
นี่แหละ ช่วงใหม่ๆ เราก็อยากจะบังคับ เห็นหน้าใครอยากจะบังคับเอาอย่างเดียว ว่ามันง่าย เหมือนกับเรารู้ง่ายๆ เห็นง่ายๆ อยากจะให้คนอื่นเขาเข้าใจง่ายๆ ก็เลยมีความเครียด บังคับยังไงก็ไม่เอา ถ้าจะไม่เอาพูดอย่างไรมันก็ไม่เอา มาสองสามระยะหลังๆ ก็เลย ถ้าอานิสงส์ผลบุญของแต่ละบุคคลใครมีบุญมีบารมี มีความพร้อมเขาก็จะสนใจในการฝึกฝนตนเองถึงเวลา ถ้าไม่ถึงเวลา จะบังคับยังไงก็ไม่เอา ก็ปล่อยไปตามกาลเวลาก่อน
เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เราจะไปเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราก็คอยดูแล หมั่นดูแลหมั่นให้น้ำให้ปุ๋ย ถึงเวลาเขาออกดอกออกผลให้เรา การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ความเพียรมีเพียงพอหรือไม่ ความรับผิดชอบมีความเพียงพอหรือไม่ ความเสียสละมีความเพียงพอหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละ
บางคนอยากจะรู้ธรรมอยากจะเห็นธรรม จะมาเอาธรรมเหมือนกับจะเหยียบหัวเราก็มี ความอ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่มี อยากจะเอาธรรม เดินเหมือนจะกอดคอเรากอดบ่าเราก็มี มันจะไปได้อะไร หาความอ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่มี หาความเสียสละก็ไม่มี มีตั้งแต่กิเลสธรรมเต็มอัตราศึก คนที่จะเอาธรรมนั้นเขาสร้างสะสมมาตั้งนานตั้งแต่ภพก่อนๆ ก็มาสานต่อ ความเสียสละเป็นเยี่ยม ความอดทนเป็นเยี่ยม ความขยันเป็นเยี่ยม ความรับผิดชอบเป็นเยี่ยม เป็นบุคคลที่มีเหตุมีผล ถึงจะไปถึงฝั่ง อันนี้ความเสียสละก็ไม่มี ความอ่อนน้อมก็ไม่มี การกระทำก็ไม่มี มีตั้งแต่วาจาอยากจะเอาแต่ธรรมอย่างเดียวมันจะไปได้อะไร
การฝึกหัดปฏิบัติต้องเป็นคนที่ขัดเกลาเสียสละออกให้มันหมดจดมันถึงจะถึงฝั่ง เราเอาออกหมดแล้วมันก็มีในสิ่งที่เราเอาออกนั่นแหละคือความสะอาดความบริสุทธิ์ ใจที่ยังเกิดอยู่มันก็ยังไม่นิ่ง ช่วงที่มันไม่เกิดมันก็เหมือนกับมันไม่มี ช่วงที่มันเกิดนี่มันมีอยู่ เราต้องเจริญสติเข้าไปค้นคว้าหาเหตุหาผลให้มันเต็มเปี่ยม ให้มันถึงจุดหมายปลายทาง ที่บังคับเคี่ยวเข็ญนั้นก็เป็นแค่เพียงรูปแบบเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็นแค่เพียงรูปแบบพิธีรีตองรูปแบบอยู่แค่นั้น จุดหมายเราก็ต้องเอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาโน่นล่ะ ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย
ถ้าแก้ไขตัวเราดูใจของเราปรับปรุงใจของเรา กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร กิเลสมันเกิดขึ้นกี่เที่ยวกี่ครั้ง ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง อะไรคือสติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือใจ เราละได้หรือไม่ ไม่ต้องไปเที่ยวประกาศ โครมๆๆ ว่าเราเป็นนักปฏิบัติ มีแต่กิเลสทั้งนั้น รู้ธรรมแต่ภูมิจิตมันไม่มี ปัญญาธรรมมันเต็มกองอัตราศึกแต่ภูมิจิตไม่มีเลย จิตมันเกิดมันวิ่งอยู่ตลอดเวลา เครื่องอยู่ของจิตไม่มีเลย
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวก่อนนะ ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาดถึงเราละไม่ได้เด็ดขาด เราก็หยุดเอาไว้ขณะที่เรากำลังนั่งกำลังฟังอยู่นี่แหละ ไม่ต้องพนมมือนั่งตามสบายวางกายให้สบาย
หลวงพ่อก็ได้เป็นแค่เพียงผู้ชี้ผู้แนะทุกวัน เรื่องเก่าของเก่ามีอยู่อย่างเดียวแล้วก็มีไม่มากคือเรื่องใจของเรา แล้วก็การเจริญสติเข้าไปรู้เข้าไปแก้ไขที่ใจของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าออกรู้ให้ต่อเนื่องพวกเรายังทำไม่ชำนาญเลยยังทำไม่ชัดเจนเลย ไม่ชัดเจนเท่าไรเราพยายามเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ทำบ่อยๆ สังเกตบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
ถ้าเรามีสติความรู้ตัวที่ตัวเนื่อง ลึกลงไปแล้วก็รู้ใจ รู้ลักษณะของใจ รู้ความปกติ เราเห็นเป็นสองส่วนแล้ว ความรู้สึกตัวที่เราสร้างขึ้นมาอยู่ส่วนบนอยู่ส่วนสมอง ส่วนปลายจมูกของเรานี่ส่วนหนึ่ง ส่วนความปกตินั้นอยู่กลางใจ บางทีก็โล่งเขาก็โปร่งอยู่นั่นแหละคือตัวใจกับส่วนสติ ส่วนมากตัวกลาง ตัวใจของเราจะนึกคิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก แล้วก็ไปรวมกับอาการของใจอีก ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม
แล้วก็ส่วนรูปธรรมก็คือร่างกายกายเนื้อของเรา เรามาสร้างความรู้สึกตัวตัวใหม่เข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา วิเคราะห์ใจของเราไม่ทันเราก็รู้จักหยุดรู้จักระงับยับยั้งรู้จักดับเอาไว้ จนกว่ากำลังสติหรือว่าความรู้ตัวของเราจะต่อเนื่อง รู้เห็นตามความเป็นจริงหมดนี่แหละ ทุกคนไม่ขยันทำให้ต่อเนื่องทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจนี่ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน เพราะว่าเขาเกิดมาตั้งนานเขาหลงมาตั้งนาน เขาก็หาทางปิดบังอำพรางตัวเอง หาเหตุหาผลมาปิดบังอำพรางตัวของเขาเองเหมือนกัน กำลังสติปัญญาของเราจะแหลมคมหรือไม่เท่านั้นเอง
ทุกอย่างก็มีเหตุมีผลหมด ถ้าเรารู้เหตุรู้ผลเห็นเหตุเห็นผลแล้วใจของเราก็ต้องวาง ต้องวาง เพียงแค่แยกได้มันก็คลายได้ แต่การละการดับความเกิดละกิเลสอีก ต้องขึ้นอยู่กำลังสติปัญญาของเราอีก ยังความบริสุทธิ์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามพากันทำ อย่าไปทิ้งในการสร้างบารมีสร้างบุญ ถ้าคนเราสร้างบุญสร้างบารมีก็จะไม่อดไม่อยากทางสมมติ ถ้าเราไม่เคยทำเคยสร้างมันก็อดๆ ยากๆ ลำบากในระดับของสมมติในความเป็นอยู่ ถ้าเราไม่มีพรหมวิหารไม่มีความเมตตา มันก็ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่ความเหี่ยวแห้งลำบาก
พระพุทธองค์ท่านถึงให้มีเพียบพร้อมหมด ทั้งทานทั้งศีลทั้งสมาธิ ทั้งสติทั้งปัญญา เดินให้ถูกทาง ไปที่ไหนก็ไม่อดไม่อยากไม่ลำบาก ทั้งในปัจจุบันในโลกหน้า ไอ้ข้างหน้านั่นเอาไว้ก่อนเอาแค่วันนี้ ปัจจุบันนี้ ทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดี วันพรุ่งนี้ก็จะมาเป็นวันนี้ เราทำหน้าที่ของเราให้ดีมันก็จะส่งผลถึงอนาคต อะไรที่ไม่ดีเราก็พยายามละเสียไม่ว่าทางกายทางวาจาแล้วก็ลึกลงไปทางใจ ไปอยู่ที่ไหนก็จะไม่เก้อไม่เขิน หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราขาดตกบกพร่องอะไร เจริญสติไปเป็นครูบาอาจารย์สอนใจของเรา ครูบาอาจารย์ตำราก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าเราไม่ศึกษาใจของเราแล้วก็ยาก มันก็ไปด้วยแรงบุญ วิบากของกรรมของบุญ แรงไหนจะมากกว่ากันก็ไปตามแรงนั้น หลวงพ่อก็พูดของเก่าเรื่องเก่า พยายามรู้สร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา จากน้อยๆ ไปหามากๆ ช่วงใหม่ๆ ก็ทั้งอึดอัด กายก็อึดอัดใจก็อึดอัด ถ้าเราเข้าใจแล้วอะไรก็โล่งโปร่งหมด เราจะละได้เด็ดขาดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน
พากันไหว้พร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ นี่เพียงแค่ย้ำแค่เล่าให้ฟัง