หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 032

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 032
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 032
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเรา พระบวชใหม่ทั้งบวชใหม่บวชเก่านั่นแหละต้องให้เป็นผู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา เป็นผู้ตื่น ผู้ตื่นผู้รู้ผู้เบิกบานอยู่ตลอดเวลา กะประมาณพิจารณาปฏิสังขาโย กายก็หิว อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย บอกเอาเยอะๆ อาหารก็มีมากๆ เอาเยอะเท่าไหร่มันก็ไม่หมด กิเลสมันสั่ง จะมากจะน้อยเราก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก ความอยากความยินดีในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อยากในอาหาร การอยู่ การขบการฉัน อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง ความอยากปรุงอยากแต่งมันก็เริ่มเกิดจากความอยากเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ

เราพยายามควบคุมพยายามดับ พยายามวิเคราะห์พิจารณา ละความอยากที่เกิดจากตัวใจของเรา เปลี่ยนเป็นความต้องการของสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน บางคนก็บอกว่าถ้าไม่อยากจะทำได้อย่างไร ไม่อยากจะเอาได้อย่างไร ก็เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา พิจารณาด้วยสติด้วยปัญญาตัวหลัก แต่คนทั่วไปนั้น ความอยากความทะเยอทะยานอยากขึ้นหน้า มันก็เลยปิดกั้นตัวใจเอาไว้หมด ในหลักธรรมท่านถึงให้มาละความอยาก มาละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการเอาออก ด้วยการให้ด้วยการคลาย ซึ่งเราดับความอยากที่ต้นตอไม่ได้ท่านก็ให้มาเจริญพรหมวิหาร เพื่อที่จะขัดเกลาลงถึงต้นตอคือตัวใจ มันหลง

ใจของเราหลงมาตั้งนานแล้ว เพียงแค่การเกิดเขาก็หลงแล้ว เขามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ก็มาสร้างกายมนุษย์ซึ่งมีรูปร่างกายเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ ส่วนนามธรรมนั้นก็ยังหลงในความคิด หลงในอารมณ์ หลงในการเกิด มีกิเลสหยาบกิเลสละเอียดหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน บุคคลที่ไม่มีความเพียรยากที่จะเข้าถึง เพียงแค่รู้เฉยๆ ถ้าไม่ทำความเข้าใจ ไม่ละก็ยากที่จะเข้าถึงอีก

รู้ด้วยเห็นด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย ก็ละออกให้มันหมดอีกด้วยถึงจะเข้าถึงจุดหมายได้ ทีนี้การละเราก็ละอยู่แต่เราละไม่หมดมันก็เลยเข้าไม่ถึง ให้ละ ละความโลภ ละความโกรธ ละความทะเยอทะยานอยาก แล้วก็เปลี่ยนเป็นบริหารด้วยสติบริหารด้วยปัญญา จะเอามากเอาน้อยทำมากทำน้อยก็ศึกษาเพื่อที่จะรู้ความจริง

อยู่กับสมมติเคารพสมมติไม่ยึดติด สมมติถึงวาระเวลาเราก็ได้วางก้อนสมมติคือร่างกายของเรา แต่เราวางก่อนที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ตอนนี้ก็ได้ทำบุญให้ลูกให้หลานหลายปี เกิดอุบัติเหตุตายถ้าไม่ทำก็ติดค้างคาคาใจว่าไม่ได้ทำ เพราะความผูกพันสายสัมพันธ์ก็เรียกว่ากรรมพันธุ์ กรรมพันธุ์ ได้ทำบุญแล้วก็รู้สึกว่าสบายใจ ภาระหน้าที่ก็ปลอดโปร่งลงไปอีกเยอะ

ขณะที่ทำบุญก็สบายใจ ก่อนทำคิดว่าจะทำก็เรียกว่าดีใจสบายใจ พอได้ลงมือทำก็มีตั้งแต่ความอิ่ม ความสุข ไม่หิว วันสองวันสามวันก็ไม่หิวนั่นแหละคือความอิ่มอิ่มในบุญ อยากจะให้พี่ให้น้องได้อยู่ดีมีความสุข อยากจะส่งบุญให้ถึงลูกถึงหลานที่มรณภาพไป อิ่มอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งถึงวันนี้ หลังจากวันนี้ไปจะเริ่มหิวแล้วทีนี้ เริ่มหิวแต่อย่าไปอยากนะ ให้หิวหิวแล้วก็ไปทานแล้วก็ไปพักผ่อน กายมันเหนื่อยมาหลายวัน เราก็รักษาความอิ่มเอาไว้ให้ได้ตลอดก็จะอยู่กับบุญ

ถ้าใจจะเกิดความคิด ความทุกข์ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ก็รู้จักควบคุมรู้จักดับ เพราะว่าวิบากกรรมมันเกี่ยวเนื่องกันมา จนปลอดโปร่งได้ปล่อยจนวางได้แล้วช่วงนี้ วางได้ในระดับหนึ่ง ต่อไปข้างหน้าก็วางให้หมดจด วางความคิดวางอารมณ์ ถ้าเราแยกไม่ได้ก็ยากที่จะวางได้เหมือนกัน

เราก็พยายามสร้างตบะสร้างบารมี ทำความเข้าใจทั้งภายนอกภายใน ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ เพราะเขาก็อาศัยกันอยู่ ไม่ว่าอยู่ที่บ้าน ที่ไร่ที่นา ที่ทำการทำงาน เราก็ทำความเข้าใจ ละอกุศลเจริญกุศล เราก็อย่าประมาทไป หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมี หมั่นดูแลใจของเรา ทำความสะอาดใจของเราให้ได้ รู้จักตัวเราเองแก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเอง ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน

พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเราไม่ได้หรอกนอกจากเราสอนเรา ท่านก็เป็นแค่เพียงผู้ชี้แนะ ค้นพบมาเปิดเผยชี้แนะแนวทางปฏิบัติอย่างนั้นๆๆ ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่ไปสอนตัวเราท่านก็บอกว่าช่วยเหลือไม่ได้ แม้แต่จับชายจีวรของตถาคตอยู่ ถ้าไม่ไปปฏิบัติขัดเกลาตัวเองก็ยากที่จะเข้าถึงพระพุทธเจ้า พุทธะก็คือผู้รู้ ท่านเป็นเพียงแค่ผู้ชี้ผู้แนะผู้บอกผู้ชี้แนวทางให้ ถ้าเราไม่สอนเรามันก็ยากที่จะเข้าถึง

การละกิเลสเป็นอย่างไร การดับ การแยก การตามทำความเข้าใจเป็นอย่างไร ได้ปฏิบัติตามแล้วนั่นแหละ เราละได้แล้วนั่นแหละ ไม่อยากจะอยู่กับพระพุทธเจ้าเราก็ต้องได้อยู่ เพราะว่าใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า ใครเห็นพระพุทธเจ้าคนนั้นก็เห็นธรรม เห็นใจนั่นแหละ รู้ใจ ละใจ ทำใจให้สะอาดนั่นแหละ นั่นแหละอยู่กับพระพุทธเจ้าโดยตรงเลย พุทธะก็คือ ผู้รู้ เรารู้ใจของเรา พระพุทธเจ้าก็อยู่ตรงใจของเรานั่นแหละ น้อมนำองค์ท่านมาไว้ที่ใจของเรานั่นแหละ ก็ตัวใจตัววิญญาณของเรานั่นแหละเป็นพุทธะ เป็นผู้รู้เป็นผู้เบิกบาน

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันนะ ภาระหน้าที่การงานทางสมมติพวกเราก็วางมาแล้ว ทีนี้เราก็มาวางความคิดวางอารมณ์ ถึงเราวางไม่ได้ แยกแยะเดินปัญญาขั้นสูงไม่ได้ เราก็ทำใจของเราให้สงบด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ มาเจริญสติ

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นแค่เพียงอุบาย เป็นแค่เพียงชี้แนะวิธีอุบายเท่านั้น พวกท่านจงพากันไปทำไปสร้างให้ได้ทุกอิริยาบถ สร้างความรู้ตัวของเราให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้เท่าทันจิตของเรา รู้ลักษณะของจิต รู้ความเป็นมาของจิตว่าจิตทำไมถึงเกิด ทำไมจิตถึงหลงความคิด ทำให้เกิดอัตตาตัวตน เกิดทิฏฐิเกิดมานะ ความคิด

อาการของจิตผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตได้อย่างไร บางทีใจหรือว่าจิตก็ตัวเดียวเท่านั้นแหละ บางทีใจของเราก็เป็นบุญบางทีใจของเราก็เป็นทุกข์ ทำอย่างไรเราถึงจะไปแก้ไขที่ใจของเราได้ เราก็ต้องเจริญสติให้มากๆ ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้

แนวทางมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้พวกเราได้เดินตาม การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสังเกตจนกว่าใจของเราจะคลายซึ่งเราก็แยกรูปแยกนาม ถ้าใจของเราคลายเราก็จะเข้าใจในคำสอนของท่าน อนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ซึ่งเป็นกองเป็นขันธ์ ซึ่งเราสวดเราท่องอยู่ทุกวัน

ทำไมใจของเราถึงเกิดกิเลส เราละกิเลส ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออก หนุนกำลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน ไปใช้กับสมมติจนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับหมดวาระของภพของมนุษย์ ทีนี้ทางด้านจิตวิญญาณนั้นก็ให้อยู่ในกองบุญกองกุศล

ตราบใดที่ยังเกิดก็ให้อยู่ในกองบุญกองกุศล สูงขึ้นไปก็สร้างบุญสร้างกุศลนั่นแหละ สร้างประโยชน์ แต่ไม่ยึด ก็เลยอยู่เหนือบุญเหนือบาปเหนือกรรม สนุกสร้างบุญใจของเราก็เลยอยู่กับบุญ ทำได้เท่าไรก็เอานะ ทำได้มากได้น้อย เราก็พยายามน้อมใจของเราเข้ามา สร้างความขยันให้กับตัวเรา สร้างความรับผิดชอบให้กับตัวเรา สร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา เราหมั่นวิเคราะห์ใจของเราได้ตลอดเวลานั่นแหละ

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร ใจของเราขณะนี้เป็นอย่างไร มีความสงบ มีความปกติ หรือว่ามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน เราก็พยายามรีบแก้ไข เหตุการณ์เกิดจากภายนอกส่งผลถึงภายใน จากภายในออกไปข้างนอก เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์ วิเคราะห์ให้ต่อเนื่องทำให้ต่อเนื่อง รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุเราก็รู้จักควบคุมระงับยับยั้งเอาไว้ ดับแล้วก็วาง ดับแล้วก็วางจนกว่าเราจะเห็น เห็นแล้วก็ค่อยตามดูตามรู้ตามทำความเข้าใจ

สภาวะงานภายนอก งานสมมติซึ่งเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวทั้งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ลาภยศสรรเสริญ โลกธรรมต่างๆ เราก็ให้รู้ด้วยสติรู้ด้วยปัญญา ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรถึงจะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ต้องเป็นคนที่จิตเป็นสัมมาทิฏฐิ น้อมเข้ามาในกองบุญกองกุศล แล้วก็เป็นจิตที่ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา ออกจากจิตของเราตลอดเวลา จนไม่เหลืออะไรในใจของเรา จนเหลือแต่ความบริสุทธิ์คือความว่าง

ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก ใจที่ไม่ส่งออกไปภายนอก ใจที่ไม่หลงความคิด หลงอารมณ์ ใจที่ไม่เกิด เขาก็ว่างเขาก็ปกติ แต่เวลานี้เขาปกติอยู่ถ้าเรายังแยกรูปแยกนาม ตามดู ละกิเลสไม่ได้ เขาก็จะไม่ว่างจากความคิด เขาจะไม่ว่างจากการเกิด ถึงเขาไม่ปรุงไม่แต่งเขาก็เพียงแค่สงบเหมือนกับขันที่คว่ำอยู่ เราต้องหัดสังเกตจนกว่าเขาจะหงายขึ้นมา แยกขึ้นมา

เราละออกให้มันหมด ถึงจะเป็นความว่างที่แท้จริง เป็นความว่างที่ละจากกิเลส ละจากความยึดมั่นถือมั่น ดับความเกิดให้มันหมดจดถึงจะเป็นธรรมชาติที่แท้จริง ถึงจะเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่แท้จริง แล้วก็จะเดินปัญญาวิปัสสนาทำความเข้าใจขัดเกลากิเลสของเราออกให้ได้ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยนะ พยายามกัน

อย่าไปทิ้งบุญอย่าไปทิ้งวัด ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อยู่คนเดียวเราก็รู้ใจของเรา อยู่หลายคนเราก็รู้ใจของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เรามีโอกาสมากที่สุดแล้ว เราพยายามทำเอา หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำพวกท่านก็ไม่เข้าใจ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง