หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 021
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 021
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว เราได้วิเคราะห์กายของเรา เราได้วิเคราะห์ใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ นั่งตามสบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก
หลวงพ่อก็จะพูดชี้แนะแนวทางวิธีอุบาย ให้พวกท่านได้รู้จักวิธีการเจริญสติ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่งลมหายใจ อย่าไปจดจ่อกับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้เป็นธรรมชาติ ความรู้สึกรับรู้เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ แล้วก็พยายามรู้เวลาลมวิ่งเข้าวิ่งออก คอยรู้มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เปรียบเหมือนกับนายทวารคอยนั่งอยู่ที่ปากประตู รถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้ รถคันไหนวิ่งออกก็รู้ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเราก็จะรู้เท่าทัน เขาเรียกว่า ‘รู้อยู่ปัจจุบันนธรรม’ คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละให้เกิดความเคยชิน ส่วนการเกิดของใจ หรือว่าการเกิดของวิญญาณนั้นเขามีอยู่ประจำทุกคน เขาเกิดมาตั้งนานแล้ว ทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย หลงวนเวียนว่ายตายเกิด หลงปรุงแต่ง ปรุงแต่งแล้วก็เข้าไปยึดด้วย ทำให้เกิดอัตตาตัวตน วิญญาณของเราก็เกิดเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส
เราจะไปค้นคว้าหาด้วยปัญญาของโลกีย์ ยากที่จะเข้าถึงยากที่จะเข้าใจ นอกจากปัญญาของผู้รู้ ปัญญาของพระพุทธองค์ ขอให้มีศรัทธาน้อมกายเข้ามาแล้วก็หัดสร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ สังเกตไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้ว ทุกคนก็ฝักใฝ่ปรารถนาหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น พยายามสร้างความเข้มแข็งให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา มีความรับผิดชอบ ช่วยเหลือตัวเองให้ได้พึ่งตัวเองให้ได้ ไม่ว่าทางสมมติภายนอกก็พยายามแก้ไขให้ดี จนกระทั่งส่งผลถึงตัวใจ
การเกิดการดับของใจ ใจก็ต้องมีที่พึ่งอีก ‘สติ’ ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเป็นที่พึ่งของใจ เขาเรียกว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ แต่เวลานี้เรายังพึ่งตัวเองได้อยู่ในระดับของสมมติ บางทีสมมติก็ลำบากอยู่ ใจก็ยังเกิดยังวิ่งยังหลงยังดิ้นรนอยู่ เราก็ต้องมาเจริญสติเข้าไปควบคุม เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ หาเหตุหาผลจนใจของเราคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน
ในกายของเรานี้นามธรรมมีอยู่สี่ส่วน ส่วนรูปธรรมมีอยู่หนึ่งส่วนคือกายนี้แหละ เขาเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ ซึ่งมีวิญญาณตัวสุดท้าย บางคนบางท่านก็เรียกว่า ‘ใจ’ บางคนบางท่านก็เรียกว่า ‘จิต’ ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘วิญญาณ’ วิญญาณในขันธ์ห้า
เรามาสร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกตวิญญาณของเรา เขาก่อตัวอย่างไร แล้วก็อาการของวิญญาณ เขารวมกันจนเป็นตัวเดียวกันไปด้วยกันได้อย่างไร นี่แหละความหลงอย่างลุ่มลึก ถ้ากำลังสติของเราไม่ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าใจ กิเลสมารต่างๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเอง ขันธ์ห้าก็หาเหตุหาผลเข้ามาปิดกั้นดวงใจของเราเอาไว้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด จนกระทั่งกายเนื้อก็มาปิดกั้นดวงวิญญาณของเราเอาไว้ ซึ่งวิญญาณมาก่อร่างสร้างภพอยู่ในของมนุษย์ มาอยู่ในภพของมนุษย์ซึ่งมีกายเนื้อเข้ามาปิดบังเอาไว้
หลายส่วนหลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าเราไม่สร้างความรู้ตัว หรือว่าเพียงแค่สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราก็ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็ให้รู้จักว่าลักษณะของการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิตควบคุมวิญญาณเป็นลักษณะอย่างนี้ การสังเกตการวิเคราะห์ รู้ว่าใจของเราสงบเป็นอย่างไร ความปกติเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร
ใจที่เกิดกิเลสเป็นอย่างไร เราจะละอย่างไรแก้ไขอย่างไร แล้วก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา เราก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร หาเหตุหาผล ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนมีแต่เหตุ เกิดจากเหตุทั้งนั้น เหตุภายนอกเหตุสมมติทางด้านรูปธรรมก็มี เหตุทางด้านวิมุตติทางด้านดวงวิญญาณทางด้านจิต เขาก่อตัวอย่างไร เกิดอย่างไร เกิดขึ้นตั้งอยู่อย่างไร ซึ่งเรียกว่า รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอนิจจังทุกขังอนัตตาของตัวเรา
ถ้าไม่เข้าใจในเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ เราจะไปสอนจิตวิญญาณของเราได้อย่างไร มีตั้งแต่ตัวจิตวิญญาณนั่นแหละส่งออกไปหาธรรม ส่งออกไปสอนโน่นสอนนี่ ทั้งที่เขาเกิด ความเกิดนั่นแหละ เขาปิดกั้นตัวของเขาเองเอาไว้ เรามาดับมาละกิเลส มาคลายดับละ คลายแล้วก็เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทนให้ได้ทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ต้องวิเคราะห์พิจารณา เป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราทั้งกายทั้งใจของเราหมดนี่แหละ จนกว่าจะหมดลมหายใจ ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง ละอกุศลเจริญกุศล วางหมดทั้งกุศลทั้งอกุศลนั่นแหละ แต่จะเจริญกุศลแต่ไม่ให้หลงไม่ยึด แม้แต่สติปัญญาถ้าคิดอกุศลก็ยังให้ละให้ดับ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนของทุกคนที่จะต้องศึกษาค้นคว้าที่จะต้องทำความเข้าใจ
พยายามเป็นที่พึ่งของเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าไปตำหนิที่โน่นไม่ดีที่นี่ไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ เราต้องมาตำหนิเราแก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา ถ้าเราอยู่ที่ไหนถ้าเราเข้าใจในหลักธรรม เข้าใจในใจของเรา อยู่ที่ไหนก็เป็นวัด อยู่ที่ไหนเราก็ได้พบพระ อยู่ที่ไหนเราก็ได้สอบอยู่ตลอดเวลา สติคอยตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา หมดความสงสัยหมดความลังเล มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายาม
พยายามสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมี บุญระดับสมมติพวกเราก็พากันทำ หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอด นี่ก็ยังพาทำอยู่พาทำทุกอย่างนั่นแหละ ให้ทุกคนได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ได้เข้ามาแล้วก็ได้รับความสงบความสุขความเยือกความเย็น เข้ามาศึกษาค้นคว้าชีวิตของเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้หลวงพ่อก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ
หลวงพ่อก็จะพูดชี้แนะแนวทางวิธีอุบาย ให้พวกท่านได้รู้จักวิธีการเจริญสติ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่งลมหายใจ อย่าไปจดจ่อกับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้เป็นธรรมชาติ ความรู้สึกรับรู้เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ แล้วก็พยายามรู้เวลาลมวิ่งเข้าวิ่งออก คอยรู้มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เปรียบเหมือนกับนายทวารคอยนั่งอยู่ที่ปากประตู รถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้ รถคันไหนวิ่งออกก็รู้ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเราก็จะรู้เท่าทัน เขาเรียกว่า ‘รู้อยู่ปัจจุบันนธรรม’ คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละให้เกิดความเคยชิน ส่วนการเกิดของใจ หรือว่าการเกิดของวิญญาณนั้นเขามีอยู่ประจำทุกคน เขาเกิดมาตั้งนานแล้ว ทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย หลงวนเวียนว่ายตายเกิด หลงปรุงแต่ง ปรุงแต่งแล้วก็เข้าไปยึดด้วย ทำให้เกิดอัตตาตัวตน วิญญาณของเราก็เกิดเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส
เราจะไปค้นคว้าหาด้วยปัญญาของโลกีย์ ยากที่จะเข้าถึงยากที่จะเข้าใจ นอกจากปัญญาของผู้รู้ ปัญญาของพระพุทธองค์ ขอให้มีศรัทธาน้อมกายเข้ามาแล้วก็หัดสร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ สังเกตไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้ว ทุกคนก็ฝักใฝ่ปรารถนาหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น พยายามสร้างความเข้มแข็งให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา มีความรับผิดชอบ ช่วยเหลือตัวเองให้ได้พึ่งตัวเองให้ได้ ไม่ว่าทางสมมติภายนอกก็พยายามแก้ไขให้ดี จนกระทั่งส่งผลถึงตัวใจ
การเกิดการดับของใจ ใจก็ต้องมีที่พึ่งอีก ‘สติ’ ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเป็นที่พึ่งของใจ เขาเรียกว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ แต่เวลานี้เรายังพึ่งตัวเองได้อยู่ในระดับของสมมติ บางทีสมมติก็ลำบากอยู่ ใจก็ยังเกิดยังวิ่งยังหลงยังดิ้นรนอยู่ เราก็ต้องมาเจริญสติเข้าไปควบคุม เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ หาเหตุหาผลจนใจของเราคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน
ในกายของเรานี้นามธรรมมีอยู่สี่ส่วน ส่วนรูปธรรมมีอยู่หนึ่งส่วนคือกายนี้แหละ เขาเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ ซึ่งมีวิญญาณตัวสุดท้าย บางคนบางท่านก็เรียกว่า ‘ใจ’ บางคนบางท่านก็เรียกว่า ‘จิต’ ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘วิญญาณ’ วิญญาณในขันธ์ห้า
เรามาสร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกตวิญญาณของเรา เขาก่อตัวอย่างไร แล้วก็อาการของวิญญาณ เขารวมกันจนเป็นตัวเดียวกันไปด้วยกันได้อย่างไร นี่แหละความหลงอย่างลุ่มลึก ถ้ากำลังสติของเราไม่ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าใจ กิเลสมารต่างๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเอง ขันธ์ห้าก็หาเหตุหาผลเข้ามาปิดกั้นดวงใจของเราเอาไว้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด จนกระทั่งกายเนื้อก็มาปิดกั้นดวงวิญญาณของเราเอาไว้ ซึ่งวิญญาณมาก่อร่างสร้างภพอยู่ในของมนุษย์ มาอยู่ในภพของมนุษย์ซึ่งมีกายเนื้อเข้ามาปิดบังเอาไว้
หลายส่วนหลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าเราไม่สร้างความรู้ตัว หรือว่าเพียงแค่สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราก็ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็ให้รู้จักว่าลักษณะของการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิตควบคุมวิญญาณเป็นลักษณะอย่างนี้ การสังเกตการวิเคราะห์ รู้ว่าใจของเราสงบเป็นอย่างไร ความปกติเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร
ใจที่เกิดกิเลสเป็นอย่างไร เราจะละอย่างไรแก้ไขอย่างไร แล้วก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา เราก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร หาเหตุหาผล ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนมีแต่เหตุ เกิดจากเหตุทั้งนั้น เหตุภายนอกเหตุสมมติทางด้านรูปธรรมก็มี เหตุทางด้านวิมุตติทางด้านดวงวิญญาณทางด้านจิต เขาก่อตัวอย่างไร เกิดอย่างไร เกิดขึ้นตั้งอยู่อย่างไร ซึ่งเรียกว่า รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอนิจจังทุกขังอนัตตาของตัวเรา
ถ้าไม่เข้าใจในเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ เราจะไปสอนจิตวิญญาณของเราได้อย่างไร มีตั้งแต่ตัวจิตวิญญาณนั่นแหละส่งออกไปหาธรรม ส่งออกไปสอนโน่นสอนนี่ ทั้งที่เขาเกิด ความเกิดนั่นแหละ เขาปิดกั้นตัวของเขาเองเอาไว้ เรามาดับมาละกิเลส มาคลายดับละ คลายแล้วก็เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทนให้ได้ทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ต้องวิเคราะห์พิจารณา เป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราทั้งกายทั้งใจของเราหมดนี่แหละ จนกว่าจะหมดลมหายใจ ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง ละอกุศลเจริญกุศล วางหมดทั้งกุศลทั้งอกุศลนั่นแหละ แต่จะเจริญกุศลแต่ไม่ให้หลงไม่ยึด แม้แต่สติปัญญาถ้าคิดอกุศลก็ยังให้ละให้ดับ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนของทุกคนที่จะต้องศึกษาค้นคว้าที่จะต้องทำความเข้าใจ
พยายามเป็นที่พึ่งของเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าไปตำหนิที่โน่นไม่ดีที่นี่ไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ เราต้องมาตำหนิเราแก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา ถ้าเราอยู่ที่ไหนถ้าเราเข้าใจในหลักธรรม เข้าใจในใจของเรา อยู่ที่ไหนก็เป็นวัด อยู่ที่ไหนเราก็ได้พบพระ อยู่ที่ไหนเราก็ได้สอบอยู่ตลอดเวลา สติคอยตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา หมดความสงสัยหมดความลังเล มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายาม
พยายามสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมี บุญระดับสมมติพวกเราก็พากันทำ หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอด นี่ก็ยังพาทำอยู่พาทำทุกอย่างนั่นแหละ ให้ทุกคนได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ได้เข้ามาแล้วก็ได้รับความสงบความสุขความเยือกความเย็น เข้ามาศึกษาค้นคว้าชีวิตของเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้หลวงพ่อก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ