หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 011
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 011
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกสำรวจกายสำรวจจิตของเรา ด้วยการเจริญอานาปานสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบาย ทำจิตของเราให้สงบ กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ฟังไปด้วยน้อมสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา นั่งตามอิริยาบถให้สบาย ไม่ต้องพนมมือก็ได้ นั่งตามสบายนั่นแหละ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราสร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง สติก็ตั้งมั่นขึ้นจิตก็สงบ จิตจะคิดปรุงแต่งส่งไปที่อื่นเราก็รู้เท่าทัน เพียงแค่เราขยับกาย เราก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ขยับกายตั้งแต่ยังไม่ตื่น
พอรู้ตัวปุ๊บสติก็ตั้งมั่นปุ๊บจะลุกจะก้าวจะเดิน เราก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การเดินของเรา รู้ความปกติของจิตรู้ความปกติของกายจนเป็นอัตโนมัติ เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็รู้จักแก้ไขอยู่ปัจจุบัน
อะไรเป็นส่วนรูปธรรม อะไรเป็นส่วนนามธรรม อะไรคือกุศลอะไรคืออกุศล รีบสำรวจตัวเราทันที อะไรเราขาดตกบกพร่อง สมมติเราขาดตกบกพร่องตรงไหน เราไม่เรียบร้อยตรงไหน เราผิดพลาดตรงไหนก็รีบแก้ไขเสีย จากน้อยๆ ไปหามากๆ แต่ละวันๆ แต่ละวันแต่ละเวลา ลึกลงไปแต่ละทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก
คนส่วนมากก็มีตั้งแต่มุ่งพุ่งออกไปตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว ก็เลยลืมดูข้างใน ให้เราทำความเข้าใจภายใน แล้วก็ภายนอกจะไม่มีปัญหาอะไร ขณะที่เราทำ ขณะที่เราแก้ไขทางด้านจิตใจของเรา ภายนอกเราก็ทำไปด้วยพิจารณาไปด้วย ไม่ทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต ทำด้วยสติทำด้วยปัญญาทำด้วยเหตุด้วยผล ทุกเรื่องแหละในชีวิตของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เรื่องภาระหน้าที่การงานเรื่องครอบครัวสารพัดเรื่อง วิบากกรรมต่างๆ เราต้องทำความเข้าใจให้หมด วิบากกรรม หรือว่ากรรม ก็คือการกระทำ การกระทำอยู่ปัจจุบัน
ทีนี้ก็วิบากกรรมเก่า หรือว่าอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตปรุงแต่งความคิด รวมไปด้วยกัน มันหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ ถ้ากำลังสติของเราไม่เร็วไม่ไวไม่เข้มแข็งจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ
ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางพ้นทุกข์ทุกวิถีทาง ดิ้นรนทำการทำงานแสวงหาทรัพย์สินเงินทองก็เพื่อที่จะมาคลายทุกข์ อันนี้ก็คลายทุกข์ได้ในระดับหนึ่งในทางด้านรูปธรรม ส่วนทางด้านสภาวธรรม ทางด้านจิต ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ตรงนี้แหละเราต้องหาวิธีที่จะเข้าไปสำรวจทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ให้หมดออกจากจิตของเราให้หมด ส่วนมากก็จะไม่ค่อยเอาออกเท่าไหร่ มีตั้งแต่จะเอาเข้าๆ
ทำไมถึงว่าอย่างนั้น เพราะว่าจิตมันเกิดมันวิ่ง แม้แต่แสวงหาธรรม อยากรู้ธรรมอยากจะได้ธรรม อันนี้ก็มาปกปิดเอาไว้เสียแล้ว เราต้องละความอยากและก็ละความหวัง สร้างความรู้ตัวให้รู้เหตุรู้ผลตั้งแต่ต้นเหตุถึงปลายเหตุ แล้วทำความเข้าใจจนจิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมปล่อยยอมวาง
ไม่ใช่ว่าเขาจะวางได้ง่าย อยากจะวางอยู่ ทุกคนก็อยากจะวาง แต่หาจุดวางไม่เจอ เราต้องหาจุดวางของจิตของเราให้เจอ ถ้าเรารู้ด้วยเห็นด้วยตามทำความเข้าใจได้ด้วย มันไม่อยากจะวางมันต้องวาง เพราะมันรู้ความเป็นจริง มันไม่มีอะไรมากเลยในกายของเรา มีตั้งแต่ส่วนรูป มีตั้งแต่รูปกับนามเท่านั้นแหละ ทำอย่างไรเราถึงจะสนใจตรงนี้ให้ต่อเนื่องกันจริงๆ
ในเรื่องภาระทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก เราก็ยังไปไขว่คว้าหามาได้ ในเรื่องจิตซึ่งอยู่กับเราในกายของเรานี่แหละ มันวิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลา นาทีหนึ่งไม่รู้ไปสักกี่เรื่อง บางทีความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต บางทีจิตก็ปรุงแต่งความคิด แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์อยู่อย่างนั้นแหละ มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่
เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ สังเกตไม่ทันก็รู้จักดับรู้จักควบคุมจนกว่าเขาจะคลายออกจากกันได้นั่นแหละ รู้จักสร้างตบะบารมี ให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเต็มที่ไหม ความเสียสละความอดทนอดกลั้น มองโลกในทางที่ดี เจริญพรหมวิหารอยู่ตลอดเวลา ให้อภัยทานอโหสิกรรม ผิดพลาดแก้ไขใหม่ๆ
ไม่มีใครอยากจะผิดพลาดหรอก ทุกคนก็มีตั้งแต่อยากจะแสวงหาความเจริญรุ่งเรือง หาความสุขทั้งภายนอกทั้งภายใน แต่แสวงหาความสุขภายในนี่มีน้อย เพราะว่าอะไร เพราะว่ามันไม่ทันการณ์ อยากจะได้ตั้งแต่ความสุขภายนอก ถ้าเราเข้าใจแล้วมันก็ได้ทั้งสุขภายในสุขทั้งภายนอกนั่นแหละ สุขด้วยการไม่ยึดมั่นถือมั่น สุขด้วยการปล่อยด้วยการวาง สุขด้วยการวางจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ในความบริสุทธิ์นั่นแหละมีความสุขอยู่ในตัว และเป็นความสุขที่ถาวรด้วย ไม่ใช่ความสุขที่อิงอามิส เป็นความสุขที่ถาวร เป็นความสุขที่ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น
เราพยายามขัดเกลากิเลสออก จากหยาบๆ ไปหาละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่จิต จิตเกิดความอยากเราดับความอยากได้ไหม เราละความอยากได้มากได้น้อยเท่าไหร่ เราก็พยายามค่อยละไปเรื่อยๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวพวกเราก็ยังสร้างไม่ค่อยจะต่อเนื่องกัน
เพียงแค่ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงขณะนี้แหละ ขณะที่เรายังนั่งอยู่นี่แหละ เราได้สร้างความรู้ตัวต่อเนื่องกันให้ต่อเนื่องกันสัก 5 นาที 10 นาทีแล้วหรือยัง เราต้องพยายามสร้างให้ต่อเนื่องกัน 5 นาที 10 นาที 20 นาที เป็นชั่วโมงเป็นวันเป็นเดือนเป็นปี จนกว่าความรู้ตัวตรงนี้จะเข้าไปวิเคราะห์สังเกตดูรู้การก่อตัวของจิตได้ทัน รู้การก่อตัวของความคิดได้ทัน นั่นแหละถ้าเรารู้ตรงนั้นได้ทันแล้ว จิตมันจะแยกออก ความรู้ตัวของเราตัวนี้มันจะพุ่งแรงเป็นมหาสติ
ช่วงที่ยังแยกไม่ได้นี่ ส่วนมากมันจะกระท่อนกระแท่น จะเผลอเสียมากกว่า เพียงแค่เราแยกได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจอีก มันก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก อันนี้มันก็พูดยากอยู่นะ ถ้าเราไม่ฝึกปฏิบัติจริงๆ ถ้าเราไม่ศึกษาให้มีให้เกิดจริงๆ เพียงแค่สร้างความรู้ตัวก็สร้างขึ้นมาแล้วรักษาให้ได้เสียก่อน พวกเราก็ยังทำไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่อง ทำได้บ้างทำน้อยแต่ทิ้งเสียมากกว่า มันก็เลยได้แค่ทำบุญ ได้แค่ประสบการณ์ได้แค่เล็กๆ น้อยๆ มันไม่ต่อเนื่องกันจริงๆ
ถ้าตามความเป็นจริงต้องเอาให้ต่อเนื่องกันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งนอนหลับ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทุกอิริยาบถ หมั่นวิเคราะห์เราหมั่นแก้ไขเรา ไม่ต้องกลัวจะไม่รู้ธรรม ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้เห็น หมั่นปรับปรุงหมั่นแก้ไขเรา
เรามีความรับผิดชอบที่สูงไหม เรามีความเสียสละไหม เสียสละส่วนตัวส่วนรวม รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเองหรือไม่ กายของเราเป็นอย่างไรวาจาของเราเป็นอย่างไร ลึกลงไปจิตของเราเป็นอย่างไร การฝึกหัดปฏิบัติ จุดมุ่งหมายของการฝึกหัดปฏิบัติอยู่ที่ไหน เราต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง
บุคคลที่มีสติมีปัญญา อยู่คนเดียวก็จะหมั่นพร่ำสอนตัวเองแก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา อยู่หลายคนก็แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา พยายามเอานะอย่าพากันปิดกั้นตัวเอง อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นในตัวเอง ขยันให้ถูกทางขยันให้ถูกวิธี ถึงเวลาเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้
กระตุ้นความรู้สึกการหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักนาที 2 นาทีดูสิ ดีกว่าไม่ได้ทำ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่
เพียงแค่สร้างความรู้สึกตรงนี้ พวกเราก็พยายามทำให้เป็นธรรมชาติ ให้รู้ลักษณะของการหายใจเข้าออกอย่างเป็นธรรมชาติ อย่าไปเพ่งอย่าไปจ้อง ถ้าเพ่งสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อหน้าอกก็แน่น เพียงแค่เรากระตุ้นความรู้สึกรับรู้ว่าลมวิ่งเข้าก็รู้ ลมวิ่งออกก็รู้ ถ้าพลั้งเผลอเราก็กระตุ้นความรู้สึกมาใหม่ จิตของเรามันคิดไปที่อื่น เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาแรงๆ จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจเอง พยายามสร้างสติระลึกรู้ดูให้ชัดเจนกัน
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ฟังไปด้วยน้อมสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา นั่งตามอิริยาบถให้สบาย ไม่ต้องพนมมือก็ได้ นั่งตามสบายนั่นแหละ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราสร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง สติก็ตั้งมั่นขึ้นจิตก็สงบ จิตจะคิดปรุงแต่งส่งไปที่อื่นเราก็รู้เท่าทัน เพียงแค่เราขยับกาย เราก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ขยับกายตั้งแต่ยังไม่ตื่น
พอรู้ตัวปุ๊บสติก็ตั้งมั่นปุ๊บจะลุกจะก้าวจะเดิน เราก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การเดินของเรา รู้ความปกติของจิตรู้ความปกติของกายจนเป็นอัตโนมัติ เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็รู้จักแก้ไขอยู่ปัจจุบัน
อะไรเป็นส่วนรูปธรรม อะไรเป็นส่วนนามธรรม อะไรคือกุศลอะไรคืออกุศล รีบสำรวจตัวเราทันที อะไรเราขาดตกบกพร่อง สมมติเราขาดตกบกพร่องตรงไหน เราไม่เรียบร้อยตรงไหน เราผิดพลาดตรงไหนก็รีบแก้ไขเสีย จากน้อยๆ ไปหามากๆ แต่ละวันๆ แต่ละวันแต่ละเวลา ลึกลงไปแต่ละทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก
คนส่วนมากก็มีตั้งแต่มุ่งพุ่งออกไปตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว ก็เลยลืมดูข้างใน ให้เราทำความเข้าใจภายใน แล้วก็ภายนอกจะไม่มีปัญหาอะไร ขณะที่เราทำ ขณะที่เราแก้ไขทางด้านจิตใจของเรา ภายนอกเราก็ทำไปด้วยพิจารณาไปด้วย ไม่ทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต ทำด้วยสติทำด้วยปัญญาทำด้วยเหตุด้วยผล ทุกเรื่องแหละในชีวิตของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เรื่องภาระหน้าที่การงานเรื่องครอบครัวสารพัดเรื่อง วิบากกรรมต่างๆ เราต้องทำความเข้าใจให้หมด วิบากกรรม หรือว่ากรรม ก็คือการกระทำ การกระทำอยู่ปัจจุบัน
ทีนี้ก็วิบากกรรมเก่า หรือว่าอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตปรุงแต่งความคิด รวมไปด้วยกัน มันหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ ถ้ากำลังสติของเราไม่เร็วไม่ไวไม่เข้มแข็งจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ
ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางพ้นทุกข์ทุกวิถีทาง ดิ้นรนทำการทำงานแสวงหาทรัพย์สินเงินทองก็เพื่อที่จะมาคลายทุกข์ อันนี้ก็คลายทุกข์ได้ในระดับหนึ่งในทางด้านรูปธรรม ส่วนทางด้านสภาวธรรม ทางด้านจิต ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ตรงนี้แหละเราต้องหาวิธีที่จะเข้าไปสำรวจทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ให้หมดออกจากจิตของเราให้หมด ส่วนมากก็จะไม่ค่อยเอาออกเท่าไหร่ มีตั้งแต่จะเอาเข้าๆ
ทำไมถึงว่าอย่างนั้น เพราะว่าจิตมันเกิดมันวิ่ง แม้แต่แสวงหาธรรม อยากรู้ธรรมอยากจะได้ธรรม อันนี้ก็มาปกปิดเอาไว้เสียแล้ว เราต้องละความอยากและก็ละความหวัง สร้างความรู้ตัวให้รู้เหตุรู้ผลตั้งแต่ต้นเหตุถึงปลายเหตุ แล้วทำความเข้าใจจนจิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมปล่อยยอมวาง
ไม่ใช่ว่าเขาจะวางได้ง่าย อยากจะวางอยู่ ทุกคนก็อยากจะวาง แต่หาจุดวางไม่เจอ เราต้องหาจุดวางของจิตของเราให้เจอ ถ้าเรารู้ด้วยเห็นด้วยตามทำความเข้าใจได้ด้วย มันไม่อยากจะวางมันต้องวาง เพราะมันรู้ความเป็นจริง มันไม่มีอะไรมากเลยในกายของเรา มีตั้งแต่ส่วนรูป มีตั้งแต่รูปกับนามเท่านั้นแหละ ทำอย่างไรเราถึงจะสนใจตรงนี้ให้ต่อเนื่องกันจริงๆ
ในเรื่องภาระทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก เราก็ยังไปไขว่คว้าหามาได้ ในเรื่องจิตซึ่งอยู่กับเราในกายของเรานี่แหละ มันวิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลา นาทีหนึ่งไม่รู้ไปสักกี่เรื่อง บางทีความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต บางทีจิตก็ปรุงแต่งความคิด แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์อยู่อย่างนั้นแหละ มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่
เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ สังเกตไม่ทันก็รู้จักดับรู้จักควบคุมจนกว่าเขาจะคลายออกจากกันได้นั่นแหละ รู้จักสร้างตบะบารมี ให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเต็มที่ไหม ความเสียสละความอดทนอดกลั้น มองโลกในทางที่ดี เจริญพรหมวิหารอยู่ตลอดเวลา ให้อภัยทานอโหสิกรรม ผิดพลาดแก้ไขใหม่ๆ
ไม่มีใครอยากจะผิดพลาดหรอก ทุกคนก็มีตั้งแต่อยากจะแสวงหาความเจริญรุ่งเรือง หาความสุขทั้งภายนอกทั้งภายใน แต่แสวงหาความสุขภายในนี่มีน้อย เพราะว่าอะไร เพราะว่ามันไม่ทันการณ์ อยากจะได้ตั้งแต่ความสุขภายนอก ถ้าเราเข้าใจแล้วมันก็ได้ทั้งสุขภายในสุขทั้งภายนอกนั่นแหละ สุขด้วยการไม่ยึดมั่นถือมั่น สุขด้วยการปล่อยด้วยการวาง สุขด้วยการวางจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ในความบริสุทธิ์นั่นแหละมีความสุขอยู่ในตัว และเป็นความสุขที่ถาวรด้วย ไม่ใช่ความสุขที่อิงอามิส เป็นความสุขที่ถาวร เป็นความสุขที่ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น
เราพยายามขัดเกลากิเลสออก จากหยาบๆ ไปหาละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่จิต จิตเกิดความอยากเราดับความอยากได้ไหม เราละความอยากได้มากได้น้อยเท่าไหร่ เราก็พยายามค่อยละไปเรื่อยๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวพวกเราก็ยังสร้างไม่ค่อยจะต่อเนื่องกัน
เพียงแค่ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงขณะนี้แหละ ขณะที่เรายังนั่งอยู่นี่แหละ เราได้สร้างความรู้ตัวต่อเนื่องกันให้ต่อเนื่องกันสัก 5 นาที 10 นาทีแล้วหรือยัง เราต้องพยายามสร้างให้ต่อเนื่องกัน 5 นาที 10 นาที 20 นาที เป็นชั่วโมงเป็นวันเป็นเดือนเป็นปี จนกว่าความรู้ตัวตรงนี้จะเข้าไปวิเคราะห์สังเกตดูรู้การก่อตัวของจิตได้ทัน รู้การก่อตัวของความคิดได้ทัน นั่นแหละถ้าเรารู้ตรงนั้นได้ทันแล้ว จิตมันจะแยกออก ความรู้ตัวของเราตัวนี้มันจะพุ่งแรงเป็นมหาสติ
ช่วงที่ยังแยกไม่ได้นี่ ส่วนมากมันจะกระท่อนกระแท่น จะเผลอเสียมากกว่า เพียงแค่เราแยกได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจอีก มันก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก อันนี้มันก็พูดยากอยู่นะ ถ้าเราไม่ฝึกปฏิบัติจริงๆ ถ้าเราไม่ศึกษาให้มีให้เกิดจริงๆ เพียงแค่สร้างความรู้ตัวก็สร้างขึ้นมาแล้วรักษาให้ได้เสียก่อน พวกเราก็ยังทำไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่อง ทำได้บ้างทำน้อยแต่ทิ้งเสียมากกว่า มันก็เลยได้แค่ทำบุญ ได้แค่ประสบการณ์ได้แค่เล็กๆ น้อยๆ มันไม่ต่อเนื่องกันจริงๆ
ถ้าตามความเป็นจริงต้องเอาให้ต่อเนื่องกันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งนอนหลับ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทุกอิริยาบถ หมั่นวิเคราะห์เราหมั่นแก้ไขเรา ไม่ต้องกลัวจะไม่รู้ธรรม ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้เห็น หมั่นปรับปรุงหมั่นแก้ไขเรา
เรามีความรับผิดชอบที่สูงไหม เรามีความเสียสละไหม เสียสละส่วนตัวส่วนรวม รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเองหรือไม่ กายของเราเป็นอย่างไรวาจาของเราเป็นอย่างไร ลึกลงไปจิตของเราเป็นอย่างไร การฝึกหัดปฏิบัติ จุดมุ่งหมายของการฝึกหัดปฏิบัติอยู่ที่ไหน เราต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง
บุคคลที่มีสติมีปัญญา อยู่คนเดียวก็จะหมั่นพร่ำสอนตัวเองแก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา อยู่หลายคนก็แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา พยายามเอานะอย่าพากันปิดกั้นตัวเอง อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นในตัวเอง ขยันให้ถูกทางขยันให้ถูกวิธี ถึงเวลาเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้
กระตุ้นความรู้สึกการหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักนาที 2 นาทีดูสิ ดีกว่าไม่ได้ทำ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่
เพียงแค่สร้างความรู้สึกตรงนี้ พวกเราก็พยายามทำให้เป็นธรรมชาติ ให้รู้ลักษณะของการหายใจเข้าออกอย่างเป็นธรรมชาติ อย่าไปเพ่งอย่าไปจ้อง ถ้าเพ่งสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อหน้าอกก็แน่น เพียงแค่เรากระตุ้นความรู้สึกรับรู้ว่าลมวิ่งเข้าก็รู้ ลมวิ่งออกก็รู้ ถ้าพลั้งเผลอเราก็กระตุ้นความรู้สึกมาใหม่ จิตของเรามันคิดไปที่อื่น เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาแรงๆ จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจเอง พยายามสร้างสติระลึกรู้ดูให้ชัดเจนกัน