หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 008
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 008
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความสงบให้มีให้เกิดขึ้นในจิตของเราสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน การเจริญสติสร้างอานาปานสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องสักพักสักระยะหนึ่ง
นั่งตามสบายไม่ต้องพนมมือ นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบาย วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราวางไม่ได้เด็ดขาด วางภาระหน้าที่การงานหยุดคิดดับความคิด ดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด แล้วก็สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว อย่าไปเพ่งอย่าไปจ้อง การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ พยายามกระตุ้นความรู้สึกตรงนี้บ่อยๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่สัมผัสของลมหายใจ รับรู้สัมผัสของลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูกของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันก็จะตั้งมั่นขึ้น จิตปรกติก็รู้ จิตจะส่งไปออกภายนอก ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็รู้เท่าทันรู้จักดับรู้จักควบคุม
ทุกคนก็มีอานิสงส์ทุกคนก็มีบุญ มีศรัทธาฝักใฝ่ในการสร้างคุณงามความดีฝักใฝ่ในการทำบุญ มีโอกาสก็พากันมาทำบุญถวายทานกัน ถ้าเราหมั่นสำรวจตรวจตราทำความเข้าใจอยู่บ่อยๆ เราก็จะได้เข้าใจในชีวิตของเรา
อะไรคือจิต อะไรคืออาการของจิต ความทุกข์เกิดขึ้นทางกาย หรือว่าเกิดขึ้นทางจิต สาเหตุแห่งทุกข์เขาเกิดขึ้นที่ตรงไหน เรื่องอะไรที่เขาเกิด ถ้าเราหมั่นน้อมเข้าไปสำรวจตรวจตราดูดีๆ เราจะเข้าใจ แต่ถ้าเราไม่ได้สร้างสติสร้างความระลึกรู้เข้าไปสํารวจตรวจตราดู จะเอาตั้งแต่ความคิดเก่าปัญญาเก่า ตรงนี้เราจะไม่เข้าใจ
คนทั่วไปส่วนมากก็ไปนึกคิดปรุงแต่ง ว่าความคิดที่เกิดๆ ดับๆ นั่นแหละคือสติปัญญา อันนั้นไม่ใช่สติปัญญาในระดับของสมมติเท่านั้นเอง สติปัญญาที่จะเข้าไปคลายทุกข์ได้ เราต้องสร้างขึ้นมาแล้วรู้จักเอาไปทำความเข้าใจ รู้จักชำระสะสาง คลายจิตออกจากความหลง คลายจิตออกจากความยึดมั่นถือมั่น คลายจิตออกจากขันธ์ห้า แล้วก็ดับความเกิดของจิต ละกิเลสของจิต ออกจากจิตจากใจ ทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา
ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก เราต้องทำความเข้าใจคําว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ สร้างความระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันทุกขณะทุกเวลา จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิด กําลังสติของเราถึงจะตามทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มาละความเกิดของจิต มาดับความเกิดของจิต มาละกิเลสของจิต
เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้า เราไม่เข้าใจแนวทาง เราก็อาศัยปัญญาของผู้รู้ คือปัญญาของพระพุทธองค์ เราอย่าไปมองข้ามตัวเราเอง การแสวงหาธรรม เราต้องแสวงหาอยู่ในกายของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อะไรคือจิต ลักษณะของจิต จิตที่สงบเป็นอย่างไร จิตที่เกิดส่งออกไปข้างนอกเป็นอย่างไร เกิดส่งออกไปข้างนอกเรื่องอะไร เราดับได้ไหม ควบคุมได้ไหม เราควบคุมได้ระดับไหน ระดับช่วงที่เขาก่อตัว หรือว่าดับช่วงที่เขาส่งออกไปเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว หรือว่าออกทางกายทางวาจา เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์
รู้ทันบ้างไม่ทันบ้าง ก็พยายามดับพยายามควบคุม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องพยายามขยันกันเอา บุคคลที่มีสติมีปัญญาอยู่ที่ไหนก็เป็นบุคคลที่เข้าวัดอยู่ตลอดเวลา ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติก็ไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ เราก็จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา
ถ้าเราไม่เข้าใจในชีวิตของเรา เราถึงแสวงหาสถานที่แสวงหาครูบาอาจารย์ ถ้าเราเข้าใจเราก็ต้องสร้างสติสร้างปัญญาเข้าไปตรวจสอบเราตลอดเวลา เราในที่นี้หมายถึงจิต ส่วนกายสมมติของเราก็มีอยู่ เราก็ทำความเข้าใจเสีย
รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างบารมี อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อกุศลควรละกุศลควรเจริญ นิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นลักษณะอย่างไร จิตของเรามีความกําหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ จิตของเรามีความฟุ้งซ่านหรือเปล่า
สติความระลึกรู้ของเราพลั้งเผลอไหม จิตของเรามีความลังเลสงสัยหรือไม่ มีความอาฆาตพยาบาทหรือไม่ เราก็ต้องพยายามละออกให้มันหมดนั่นแหละ ทำบ่อยๆ พอใจยินดีในสิ่งที่เรามี พอใจได้ยินดีที่สิ่งที่เราเป็น แล้วก็รู้จักขยันหมั่นเพียรเอา
อันนี้ก็เพียงแค่เล่าแค่พูดแค่สื่อภาษาสมมติให้ฟังเท่านั้นเอง ตามความเป็นจริงแล้ว ธรรมะก็อยู่ในกายของเราอยู่ที่จิตของเรา
กระตุ้นความรู้สึกการหายใจเข้าออกให้ตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ ทำใจของเราให้สบาย ทำกายของเราให้สบาย อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ ระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกๆ เหมือนกับนายประตูทวารคอยสังเกตดู ว่ารถคันไหนจะวิ่งออก รถคันไหนจะวิ่งเข้า
ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ นี่แหละคนเราเกียจคร้าน ในการสร้างความระลึกรู้ตัวก็เลยไม่รู้จิต ก็เลยมีแต่ไปวิ่งตามความคิดวิ่งตามอารมณ์อยู่ตลอด ไม่ต้องกลัวจะไม่รู้ ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้เห็น ความคิดที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้านั้นเขามีอยู่แล้ว เรามาสร้างผู้รู้มาสร้างสติเข้าไปสํารวจตรวจตราดูใหม่ เรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็ต้องรู้จักดับ
เพียงแค่การสร้างความระลึกรู้ตั้งแต่เช้าขึ้นมา หรือว่าสร้างสติให้ต่อเนื่อง พวกเรายังทำไม่ค่อยจะได้กัน จะไปรู้ปัญญาตัวขั้นสูงได้อย่างไรกัน ทั้งที่จิตของเราก็เป็นบุญอยู่ แต่การเกิดการดับของจิต เราก็มีอยู่ เราต้องพยายามสร้างความระลึกรู้เข้าไปตรวจตราดูให้ทัน รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ควบคุมจิตของเรา จิตของเราก็จะช้าลงก็จะนิ่งขึ้น
ถ้าเราแยกจิตออกจากขันธ์ห้าออกจากความคิดได้ก็จะสนุก สนุกในการดูในการรู้ ว่าเราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน พลั้งเผลอให้อารมณ์อะไรบ้าง
หลวงพ่อก็เล่าของเก่า สิ่งเก่าๆ นี่แหละ แต่พวกท่านยังไม่เข้าใจ เพราะว่าขาดการสร้างความระลึกรู้ตัวที่ต่อเนื่องก็เลยไม่เข้าใจ ก็ต้องพยายามกัน เอากระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ
นั่งตามสบายไม่ต้องพนมมือ นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบาย วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราวางไม่ได้เด็ดขาด วางภาระหน้าที่การงานหยุดคิดดับความคิด ดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด แล้วก็สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว อย่าไปเพ่งอย่าไปจ้อง การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ พยายามกระตุ้นความรู้สึกตรงนี้บ่อยๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่สัมผัสของลมหายใจ รับรู้สัมผัสของลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูกของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันก็จะตั้งมั่นขึ้น จิตปรกติก็รู้ จิตจะส่งไปออกภายนอก ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็รู้เท่าทันรู้จักดับรู้จักควบคุม
ทุกคนก็มีอานิสงส์ทุกคนก็มีบุญ มีศรัทธาฝักใฝ่ในการสร้างคุณงามความดีฝักใฝ่ในการทำบุญ มีโอกาสก็พากันมาทำบุญถวายทานกัน ถ้าเราหมั่นสำรวจตรวจตราทำความเข้าใจอยู่บ่อยๆ เราก็จะได้เข้าใจในชีวิตของเรา
อะไรคือจิต อะไรคืออาการของจิต ความทุกข์เกิดขึ้นทางกาย หรือว่าเกิดขึ้นทางจิต สาเหตุแห่งทุกข์เขาเกิดขึ้นที่ตรงไหน เรื่องอะไรที่เขาเกิด ถ้าเราหมั่นน้อมเข้าไปสำรวจตรวจตราดูดีๆ เราจะเข้าใจ แต่ถ้าเราไม่ได้สร้างสติสร้างความระลึกรู้เข้าไปสํารวจตรวจตราดู จะเอาตั้งแต่ความคิดเก่าปัญญาเก่า ตรงนี้เราจะไม่เข้าใจ
คนทั่วไปส่วนมากก็ไปนึกคิดปรุงแต่ง ว่าความคิดที่เกิดๆ ดับๆ นั่นแหละคือสติปัญญา อันนั้นไม่ใช่สติปัญญาในระดับของสมมติเท่านั้นเอง สติปัญญาที่จะเข้าไปคลายทุกข์ได้ เราต้องสร้างขึ้นมาแล้วรู้จักเอาไปทำความเข้าใจ รู้จักชำระสะสาง คลายจิตออกจากความหลง คลายจิตออกจากความยึดมั่นถือมั่น คลายจิตออกจากขันธ์ห้า แล้วก็ดับความเกิดของจิต ละกิเลสของจิต ออกจากจิตจากใจ ทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา
ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก เราต้องทำความเข้าใจคําว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ สร้างความระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันทุกขณะทุกเวลา จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิด กําลังสติของเราถึงจะตามทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มาละความเกิดของจิต มาดับความเกิดของจิต มาละกิเลสของจิต
เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้า เราไม่เข้าใจแนวทาง เราก็อาศัยปัญญาของผู้รู้ คือปัญญาของพระพุทธองค์ เราอย่าไปมองข้ามตัวเราเอง การแสวงหาธรรม เราต้องแสวงหาอยู่ในกายของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อะไรคือจิต ลักษณะของจิต จิตที่สงบเป็นอย่างไร จิตที่เกิดส่งออกไปข้างนอกเป็นอย่างไร เกิดส่งออกไปข้างนอกเรื่องอะไร เราดับได้ไหม ควบคุมได้ไหม เราควบคุมได้ระดับไหน ระดับช่วงที่เขาก่อตัว หรือว่าดับช่วงที่เขาส่งออกไปเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว หรือว่าออกทางกายทางวาจา เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์
รู้ทันบ้างไม่ทันบ้าง ก็พยายามดับพยายามควบคุม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องพยายามขยันกันเอา บุคคลที่มีสติมีปัญญาอยู่ที่ไหนก็เป็นบุคคลที่เข้าวัดอยู่ตลอดเวลา ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติก็ไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ เราก็จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา
ถ้าเราไม่เข้าใจในชีวิตของเรา เราถึงแสวงหาสถานที่แสวงหาครูบาอาจารย์ ถ้าเราเข้าใจเราก็ต้องสร้างสติสร้างปัญญาเข้าไปตรวจสอบเราตลอดเวลา เราในที่นี้หมายถึงจิต ส่วนกายสมมติของเราก็มีอยู่ เราก็ทำความเข้าใจเสีย
รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างบารมี อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อกุศลควรละกุศลควรเจริญ นิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นลักษณะอย่างไร จิตของเรามีความกําหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ จิตของเรามีความฟุ้งซ่านหรือเปล่า
สติความระลึกรู้ของเราพลั้งเผลอไหม จิตของเรามีความลังเลสงสัยหรือไม่ มีความอาฆาตพยาบาทหรือไม่ เราก็ต้องพยายามละออกให้มันหมดนั่นแหละ ทำบ่อยๆ พอใจยินดีในสิ่งที่เรามี พอใจได้ยินดีที่สิ่งที่เราเป็น แล้วก็รู้จักขยันหมั่นเพียรเอา
อันนี้ก็เพียงแค่เล่าแค่พูดแค่สื่อภาษาสมมติให้ฟังเท่านั้นเอง ตามความเป็นจริงแล้ว ธรรมะก็อยู่ในกายของเราอยู่ที่จิตของเรา
กระตุ้นความรู้สึกการหายใจเข้าออกให้ตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ ทำใจของเราให้สบาย ทำกายของเราให้สบาย อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ ระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกๆ เหมือนกับนายประตูทวารคอยสังเกตดู ว่ารถคันไหนจะวิ่งออก รถคันไหนจะวิ่งเข้า
ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ นี่แหละคนเราเกียจคร้าน ในการสร้างความระลึกรู้ตัวก็เลยไม่รู้จิต ก็เลยมีแต่ไปวิ่งตามความคิดวิ่งตามอารมณ์อยู่ตลอด ไม่ต้องกลัวจะไม่รู้ ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้เห็น ความคิดที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้านั้นเขามีอยู่แล้ว เรามาสร้างผู้รู้มาสร้างสติเข้าไปสํารวจตรวจตราดูใหม่ เรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็ต้องรู้จักดับ
เพียงแค่การสร้างความระลึกรู้ตั้งแต่เช้าขึ้นมา หรือว่าสร้างสติให้ต่อเนื่อง พวกเรายังทำไม่ค่อยจะได้กัน จะไปรู้ปัญญาตัวขั้นสูงได้อย่างไรกัน ทั้งที่จิตของเราก็เป็นบุญอยู่ แต่การเกิดการดับของจิต เราก็มีอยู่ เราต้องพยายามสร้างความระลึกรู้เข้าไปตรวจตราดูให้ทัน รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ควบคุมจิตของเรา จิตของเราก็จะช้าลงก็จะนิ่งขึ้น
ถ้าเราแยกจิตออกจากขันธ์ห้าออกจากความคิดได้ก็จะสนุก สนุกในการดูในการรู้ ว่าเราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน พลั้งเผลอให้อารมณ์อะไรบ้าง
หลวงพ่อก็เล่าของเก่า สิ่งเก่าๆ นี่แหละ แต่พวกท่านยังไม่เข้าใจ เพราะว่าขาดการสร้างความระลึกรู้ตัวที่ต่อเนื่องก็เลยไม่เข้าใจ ก็ต้องพยายามกัน เอากระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ