หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 014

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 014
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 014
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ญาติโยมที่มาจากกรุงเทพก็คงจะมาหลายคนหลายท่าน ที่มาพักค้างคืนอยู่หลายวันก็มี ก็เอากันตามสบายนะ มาที่นี่ก็เหมือนกลับมาบ้านของเรา สถานที่บางทีถ้าญาติโยมมาเยอะก็อาจจะคับแคบไปบ้างก็ไม่เป็นไร มีเต็นท์ก็ไปกางอยู่ตามลานหินบ้างร่มไม้หน้าองค์หลวงปู่ใหญ่บ้าง จะได้ธรรมชาติดี เรามาศึกษาค้นคว้ารู้กายรู้จิตของเรา

ทุกคนก็ใจบุญใจกุศลฝักใฝ่ในการสำรวจตัวเองอยู่ตลอดเวลา เรามาทำความเข้าใจ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตวิเวกเป็นอย่างนี้ การดับการละกิเลสการควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ การละกิเลสความอยากเล็กๆ น้อยๆ นิวรณธรรมต่างๆ ความฟุ้งซ่านความกังวลความลังเลต่างๆ ให้เราพยายามดับพยายามกำจัดออกไป นิวรณธรรมมลทินต่างๆ มองเห็นความอิจฉาริษยา มองเห็นคนอื่นต่ำยกตัวเองสูง เราก็ต้องพยายามกำจัดออกไป

มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทุกคนก็แสวงหาจิตของตัวเราเอง แสวงหาธรรม ใครเห็นจิตคนนั้นก็เห็นธรรม ใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า พวกเราก็พากันมาแสวงหาจิตของตัวเราเอง การแสวงหาการทำความเข้าใจการสำรวจ ตรงนี้แหละเราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ดูทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ว่าจะปล่อยโอกาสทิ้งปล่อยเวลาทิ้ง ถ้าเราเข้าใจเราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา

ทุกคนได้ปฏิบัติธรรมกันมาหมดไม่ใช่ว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรมกันมา ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ภพก่อนๆ ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติกันมาก็คงจะไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์กัน ได้ปฏิบัติกันมาดี การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็ยากแสนยากอีก กว่าจะได้เติบโตกว่าจะได้ผ่านการศึกษาผ่านการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลาผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้ก็ยิ่งลำบากเข้าไปอีก

พวกเรามีโอกาส สมมติก็ไม่ได้เดือดร้อน การศึกษาการเล่าเรียนการทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก คำว่า ‘สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง’ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้หมดทุกเรื่อง

การทำบุญ การให้ทานทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ความเสียสละ ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา มีกันอยู่ตลอดเวลา การละความโลภความโกรธด้วยการบริจาคด้วยการให้ พวกเรามีอยู่ตลอดเวลาเป็นทุน มีนี้การละความคิดละอารมณ์ เราต้องพยายามทำความเข้าใจศึกษาให้เห็นต้นเหตุของการเกิด เขาเกิดอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร เราต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าคิดก็รู้ทำก็รู้ อันนี้เรารู้อยู่ในระดับของปัญญาของโลกีย์เท่านั้นเอง เราต้องพยายามรู้ให้ลึกว่าเขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอาการอย่างไร ส่วนมากเราอาจจะรู้อยู่เพียงแค่เป็นบางช่วงเป็นบางครั้งบางตอน เราไม่รู้ได้ตลอดให้ต่อเนื่องกัน เราพยายามรู้ให้ต่อเนื่องกันให้ได้ถึงจะรู้ความเป็นจริงของการเกิดการดับของจิต

การชำระสะสางกิเลส กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราก็รีบดับรีบแก้ไข ความโลภความโกรธความทะเยอทะยานอยาก เราก็ต้องพยายามรู้จักดับรู้จักแก้ ไม่ใช่ว่าจะให้คนอื่นไปแก้ให้ เราน้อมกายเข้ามาน้อมใจของเราเข้ามา มาศึกษามาค้นคว้า

การสร้างสติสร้างความระลึกรู้ตัวสร้างความรู้สึกตัวเป็นอย่างนี้ การดับการควบคุมจิตการเกิดของจิต เขาก่อตัวอย่างไรลักษณะอาการอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร ทำไมจิตของเราถึงไปหลงความคิด เราอย่าไปนึกไปคิดเอาเด็ดขาด เราต้องพยายามหัดสร้างความรู้ตัวรู้ให้ทัน รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้

ส่วนอานิสงส์​ส่วนอื่นทุกคนก็ฝักใฝ่ทำกันอยู่ตลอดเวลา แต่การเจริญสติการแยกรูปแยกนาม ตรงนี้ต้องขยันหมั่นเพียรเป็นพิเศษ เราถึงจะเข้าใจ ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรก็ยากที่จะเข้าใจ ขยันหมั่นเพียรในการขัดเกลาในการเอาออกในการชำระสะสางกิเลสอยู่ตลอดเวลา

ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียร ก็ไม่มีใครที่จะขยันหมั่นเพียรให้เราได้เลย นอกจากเราจะขยันหมั่นเพียรเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าเราเดินถึงจุดหมายปลายทางแล้วค่อยพักค่อยเล่นค่อยสนุกสนานกันก็ได้ ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่ จิตยังวิ่งอยู่จิตยังส่งออกไปข้างนอกอยู่ เราก็ต้องพยายามหมั่นดับหมั่นละ

ถึงจะเกิดก็ให้เกิดในฝ่ายกุศล อย่าให้เกิดในอกุศล ถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามละพยายามดับ ถ้าเป็นกุศลเราพยายามเจริญ สูงขึ้นไปเราก็พยายามให้อยู่เหนือทั้งบุญเหนือทั้งบาปนั่นแหละ ทำจิตของเราให้เป็นกลางๆ ว่างจากกิเลสว่างจากความยึดมั่นถือมั่น

อันนี้การพูดนี้ก็เป็นการพูดที่ง่ายอยู่ แต่การกระทำก็ต้องพยายาม อาศัยกาลอาศัยเวลาอาศัยความเพียรที่ต่อเนื่องกันจริงๆ เราถึงจะถึงจุดหมายปลายทาง

อันนี้ก็คงจะใกล้ถึงปีใหม่ วันพรุ่งนี้ก็คงจะถึงปีใหม่ ทุกคนก็พยายามตั้งใจดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ปีใหม่ก็ขออวยพรให้ทุกคนจงประสบตั้งแต่ความสุขความเจริญในชีวิตยิ่งๆ ขึ้นไป ปรารถนาสิ่งใดก็ขอให้สมหวังทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการสมดั่งที่ทุกท่านได้ตั้งใจ ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนจงสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ การเจริญสติการสร้างความรู้ตัวด้วยการเจริญอานาปานสติระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา จะบอกวิธีการสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องอยู่ปัจจุบัน ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา

นั่งตามสบายที่สุด แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว​ ลองดูสิ ฟังไปด้วยน้อมสร้างความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจเข้าหายใจออกกระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อย่าไปเพ่งลมหายใจ อย่าไปจดจ้องจดจ่อ ถ้าเราจดจ้องสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจหน้าอกก็จะแน่น

เพียงแค่เราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละสติ เขาเรียกว่า ‘ความระลึกรู้ตัว รู้กาย’

การระลึกรู้ลมหายใจนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย เวลาลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกรู้ จิตของเราจะคิดส่งไปภายนอก ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่เราก็จะรู้เท่าทันจิต ก็จะเห็นเป็นคนละส่วนกัน เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม เราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ จิตของเราก็หยุดคิด กลับมาอยู่กับลมหายใจ

พยายามสร้างสติ ถ้ากำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ก็ยากที่จะรู้เท่าทันการเกิดการก่อตัวของความคิดของอารมณ์ เราต้องพยายามรักษาความรู้สึกตัวตรงนี้ให้ได้เสียก่อน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ความรู้สึกตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ อันนี้เป็นการเจริญอานาปานสติ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา ขณะเราจะเปลี่ยนอิริยาบถเราก็พยายามประคับประคองความรู้สึกตรงนี้ให้ได้ให้ต่อเนื่อง เราก็สร้างความรู้สึกอยู่ที่การเดิน ขณะที่เราจะลุกเปลี่ยนก้าวอิริยาบถก้าวแรก ความรู้สึกก็จะรับรู้อยู่ที่ฝ่าเท้าของเรา ก้าวที่สองก้าวที่สามทุกฝีก้าว จิตของเราจะคิดส่งออกไปภายนอก สติของเราก็เท่าทัน เราก็รู้จักดับ

อันนี้แหละคนเรามองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราก็เลยเป็นนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างโน้นจะเป็นอย่างนี้ การดับการควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ในขั้นระยะที่กำลังสติของเรามีเพียงพอ แล้วก็สังเกตดูอาการของจิตกับขันธ์ห้าเขาเข้าไปรวมกัน ถ้าเราสังเกตไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้

ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนเป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตของเราชอบคิดชอบเที่ยวชอบปรุงชอบแต่ง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้งมาต่อสู้เหมือนกัน กำลังฝ่ายไหนจะมากกว่ากัน

ใหม่ๆ เราก็ต้องดับต้องควบคุมอารมณ์ จะคิดดีหรือไม่ดีเราก็ต้องดับเอาไว้ เราต้องการที่จะรู้อาการเขาเกิดเขาก่อตัว ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิดไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เห็น แม้ตั้งแต่ความอยาก อยากจะรู้ธรรม อยากได้รับความสงบ เราก็ต้องดับ

ถ้าจิตของเราไม่มีความทะเยอทะยานอยาก ไม่มีความโลภความโกรธ จิตของเราไม่ส่งออกไปภายนอกเราก็สงบ จิตของเราก็สะอาด ลึกลงไปเราต้องคลายจิตออกจากความคิดออกจากอารมณ์ให้ได้เสียก่อน ถึงจะแยกรูปแยกนามได้ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน ส่วนอานิสงส์ส่วนตบะบารมีส่วนอื่นญาติโยมมีทุกคนมีเต็ม มีความเสียสละความอดทน ถ้าไม่ฝักใฝ่ไม่สนใจคงจะไม่วางภาระหน้าที่การงานวางบ้านวางช่องวางลูกวางหลานเข้ามาถึงวัด

อันนี้ทุกคนก็ฝักใฝ่ถึงได้วางภาระหน้าที่ตรงนั้นมา เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับจิตของเราให้ได้เสียก่อน พยายามกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจของเราให้ต่อเนื่องกันสักนาที 2 นาที ถ้าดีจริงๆ ก็ต่อ ถ้าให้ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ต่อทุกขณะลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ

อันนี้เป็นการเล่าให้ฟังเป็นการชี้เป็นการแนะเท่านั้นเอง พวกท่านต้องพยายามพากันไปทำไปสร้างให้มีให้เกิด แล้วก็รักษาให้ต่อเนื่องกัน สร้างความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้สัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำกายให้โล่งทำจิตให้โปร่งทำสมองให้ว่าง นั่งอยู่คนเดียวก็สบาย สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ได้สักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง