หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 005
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 005
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างสติให้มีให้เกิดขึ้น สร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักระยะหนึ่งเสียก่อน ทำจิตของเราให้สงบทำกายของเราให้สบายด้วยการเจริญอานาปานสติ ระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติของเราก็จะตั้งมั่นขึ้น
นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบายไม่ต้องพนมมือก็ได้ วางกายให้สบายวางใจให้สบาย ตั้งแต่เช้าขึ้นมา เราได้น้อมเข้าไปสำรวจกายสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง ว่าจิตของเรายังปกติยังสงบดีอยู่หรือไม่ จิตของเราฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านเรื่องอะไร เรารู้จักดับเรารู้จักควบคุมจิตของเราไหม แล้วก็รู้จักสังเกตวิเคราะห์ว่าจิตของเราส่งออกไปข้างนอกเรื่องอะไร แล้วก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
จิตของเราไปหลงความคิดจนเกิดอัตตาตัวตนได้อย่างไร คำว่าทิฏฐิความคิดเห็นที่เกิดจากจิตเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสร้างผู้รู้ หรือว่าสร้างสติระลึกรู้ให้เท่าทันตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้าเรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมไม่ให้จิตของเราไปตามอำนาจของกิเลส ไปตามอำนาจของอารมณ์ต่างๆ
จิตที่ฝึกดีแล้วก็จะนำตั้งแต่ความสุขมาให้ จิตที่ยังไม่ได้ฝึกนี้เขาจะทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย อาจจะเกิดอยู่ในบุญบ้างในกุศลบ้าง เป็นกลางๆ บ้าง เขายังส่งออกไปภายนอกอยู่ เราก็รู้อยู่เพียงแค่ว่าเราคิด รู้อยู่เพียงแค่ว่าเราทำ อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่จิตของเรายังไม่ได้คลาย ยังไม่ได้คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นในความคิดในอารมณ์ หรือยังไม่รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง กองสังขาร หรือว่าความคิดที่มันผุดขึ้นมาเกิดขึ้นมา
ปัญญาในทางโลกิยะทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านหนาวผ่านร้อน ผ่านทุกข์ผ่านสุข พากันผ่านมาได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียนอบรมมาดี
ทีนี้เราก็น้อมสร้างความระลึกรู้เข้าไปอบรมจิตของเราหมั่นพร่ำสอนจิตของเรา ขอให้เรามีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในบุญในบาปในกรรม แล้วก็เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผลให้เจอ รู้ด้วยเห็นด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็รู้จักละรู้จักดับ สร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในจิตของเรา จิตของเราน้อมเข้าไปอยู่ในกองบุญ ระลึกนึกถึงสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล อะไรที่เป็นอกุศลก็รู้จักละรู้จักสำรวมกายวาจาใจของเราอยู่ตลอดเวลา
กายของเรามีความแข็งกระด้างหรือไม่ กายของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนไหม จิตของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนไหม เรามีความตระหนี่เนี่ยวแน่นหรือไม่ ถ้ามีเราก็รู้จักละรู้จักคลายรู้จักให้รู้จักเอาออก จิตของเราเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธให้อภัยทาน เจริญพรหมวิหารมองโลกในทางที่ดีคิดดี ไม่มองโลกในแง่ร้าย เรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีสัจจะมีความจริงใจกับตัวของเราเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความเสียสละมีความรับผิดชอบ หมั่นวิเคราะห์หมั่นสํารวจ หมั่นทำความเข้าใจ
อะไรคือสติความระลึกรู้ตัว ความระลึกรู้ตัวเราต้องสร้างขึ้นมา ถ้าเราไม่สร้างยากที่จะเกิดขึ้นมาได้ เรารู้จัก เราต้องสร้างขึ้นมาแล้วก็รู้จักรักษา แล้วก็รู้จักเอาไปทำความเข้าใจกับจิต
ปัญญาที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้าเขามีอยู่เต็มเปี่ยม อันนี้ซึ่งเรียกว่า ‘ปัญญาเก่า’ เขามีอยู่แล้ว เขาเกิดๆ ดับๆ แล้วก็คิดสารพัดเรื่องที่เขาจะไป บางทีก็มาปรุงความคิด ก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตของเราก็เคลื่อนเข้าไปรวม แต่เราไม่รู้ช่วงขณะที่เขาเข้าไปร่วมจนเป็นสิ่งเดียวกัน นั่นแหละมันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น หลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่
เรารู้ต้นเหตุไม่ทัน เราก็ต้องรู้จักดับรู้จักควบคุม แต่การควบคุมจิตนี้มีอยู่เป็นบางครั้ง อย่างเช่นเวลาจิตของเราเกิดความโกรธ เราก็รู้จักระงับรู้จักดับ ไม่ให้เกิดความโกรธ เราอาจจะระงับดับได้เป็นบางครั้งเป็นบางเรื่อง ในหลักธรรมเราต้องพยายามดับ แม้กระทั่งความเกิด แม้กระทั่งความอยากเล็กๆน้อยๆ เราก็ต้องดับไม่ให้จิตของเราเกิด คลายจิตออกจากความหลง ออกจากความคิดออกจากอารมณ์ ออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
ถ้าเราสังเกตทัน จิตก็จะแยกออกจากความคิดเอง ซึ่งเป็นตัววิปัสสนา ตรงนี้ยากที่บุคคลถ้าไม่มีความขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากที่จะทำความเข้าใจตรงจุดนี้ได้ นอกจากนั้นก็มีตั้งแต่อยู่ในระดับการทำบุญการให้ทาน ยังเป็นอานิสงส์สร้างอานิสงส์ให้อยู่
เราก็ต้องพยายามหมั่นสำรวจตรวจตราดู ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับนั่นแหละ แต่ละวันแต่ละเวลา แต่ละทุกขณะจิต แต่ละทุกขณะลมหายใจเข้าออก จิตของเราสะอาดสงบปกติดีอยู่หรือไม่จิตของเราเศร้าหมองอย่างไร นั่นแหละบุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว อยู่ใกล้กับพระ อยู่ใกล้กับพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
ทำกายให้เป็นวัดทำจิตให้เป็นพระ เจริญผู้รู้เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อยู่ที่ทำการทำงานก็เป็นวัด อยู่ไร่อยู่นาก็เป็นวัด เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา เราก็จะได้ทำบุญอยู่ตลอดเวลา ทำบุญให้กับตัวเราทำบุญให้กับญาติพี่น้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทำกายให้เป็นบุญทำวาจาให้เป็นบุญทำใจให้เป็นบุญอยู่ตลอดเวลา
ไม่จําเป็นต้องไปแสวงหาที่ไหนได้เลย แสวงหาอยู่ในกายของเรานี่แหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราไม่เข้าใจแนวทางเราไม่เข้าใจวิธี เราถึงแสวงหาวิธีแสวงหาแนวทาง วิธีนั้นมีอยู่ตั้งนานแล้ว พระพุทธองค์ค้นพบเอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม
การเจริญพรหมวิหารการละกิเลสเป็นอย่างนี้ การสํารวจการ สำรวมอินทรีย์เป็นอย่างนี้ หูตาจมูกร่างกายเขาก็ทำหน้าที่อยู่อย่างนี้ ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงเข้ามาถึงดวงจิตดวงวิญญาณ ที่นี้เรามีสติคอยตรวจสอบหรือไม่
ตั้งแต่เช้าขึ้นมาจิตของเราไปสักกี่เรื่อง อะไรเข้ามาปรุงแต่งจิตของเราบ้าง เราอาจจะรู้อยู่ แต่เรายังดับยังละยังแยกยังคลายไม่ได้ เราก็ต้องพยายามฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเวลา หมั่นพร่ำสอนตัวเองตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราจะมองเห็นแนวทาง ดีไม่ดีไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็เหมือนกันหมด พยายามหมั่นสร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้น กายวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกเป็นอย่างไร จิตของเราวิเวกจากอะไร จากความคิดจากอารมณ์ วิเวกจากกิเลส วิเวกจากความทะเยอทะยานอยาก อยู่ที่ไหนเราก็อยู่ดีมีความสุข ทำสมมติให้บริบูรณ์ก็ส่งผลถึงวิมุตติ
พระพุทธพระองค์ท่านสอนเรื่องอัตตาสอนเรื่องอนัตตา อะไรคืออัตตาอะไรคืออนัตตา สอนเรื่องความทุกข์ อะไรคือความทุกข์ เหตุสาเหตุแห่งทุกข์ มันเกิดที่ตรงไหน เราดับสาเหตุแห่งทุกข์ได้ เราไม่ต้องการความสุข ความสุขก็จะเกิดขึ้นเอง ท่านสอนเรื่องหลักอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา จิตเกิดส่งออกไปข้างนอกนั่นแหละคือสมุทัย ทีนี้วิธีดับวิธีแก้ท่านก็มีบอกเอาไว้หมด
พวกเราได้อ่านได้ศึกษาได้ค้นคว้ากันอยู่เป็นประจำ แต่การปฏิบัติการแยกการทำความเข้าใจการละการดับตรงนี้จะมีไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่องกัน อาจจะดับได้เป็นบางเรื่องเป็นบางครั้งบางคราว เราต้องทำความเข้าใจหมด
แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เกิดขึ้นที่จิต อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากไปไม่อยาก มา ทำความเข้าใจกับโลก โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริฐสุขทุกข์นินทาเขาก็มีอยู่ประจำโลกอยู่อย่างนั้น อย่าไปปิดกั้นตนเองนะ ให้พยายามพากันฝึกหัดปฏิบัติ ได้เท่าไหร่ก็ดี สะสมบุญไปทีละเล็กทีละน้อย จากน้อยๆ ไปหามากๆ ก็จะเต็มรอบเอง
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติของเราก็จะตั้งมั่นขึ้น
นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบายไม่ต้องพนมมือก็ได้ วางกายให้สบายวางใจให้สบาย ตั้งแต่เช้าขึ้นมา เราได้น้อมเข้าไปสำรวจกายสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง ว่าจิตของเรายังปกติยังสงบดีอยู่หรือไม่ จิตของเราฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านเรื่องอะไร เรารู้จักดับเรารู้จักควบคุมจิตของเราไหม แล้วก็รู้จักสังเกตวิเคราะห์ว่าจิตของเราส่งออกไปข้างนอกเรื่องอะไร แล้วก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
จิตของเราไปหลงความคิดจนเกิดอัตตาตัวตนได้อย่างไร คำว่าทิฏฐิความคิดเห็นที่เกิดจากจิตเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสร้างผู้รู้ หรือว่าสร้างสติระลึกรู้ให้เท่าทันตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้าเรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมไม่ให้จิตของเราไปตามอำนาจของกิเลส ไปตามอำนาจของอารมณ์ต่างๆ
จิตที่ฝึกดีแล้วก็จะนำตั้งแต่ความสุขมาให้ จิตที่ยังไม่ได้ฝึกนี้เขาจะทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย อาจจะเกิดอยู่ในบุญบ้างในกุศลบ้าง เป็นกลางๆ บ้าง เขายังส่งออกไปภายนอกอยู่ เราก็รู้อยู่เพียงแค่ว่าเราคิด รู้อยู่เพียงแค่ว่าเราทำ อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่จิตของเรายังไม่ได้คลาย ยังไม่ได้คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นในความคิดในอารมณ์ หรือยังไม่รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง กองสังขาร หรือว่าความคิดที่มันผุดขึ้นมาเกิดขึ้นมา
ปัญญาในทางโลกิยะทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านหนาวผ่านร้อน ผ่านทุกข์ผ่านสุข พากันผ่านมาได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียนอบรมมาดี
ทีนี้เราก็น้อมสร้างความระลึกรู้เข้าไปอบรมจิตของเราหมั่นพร่ำสอนจิตของเรา ขอให้เรามีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในบุญในบาปในกรรม แล้วก็เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผลให้เจอ รู้ด้วยเห็นด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็รู้จักละรู้จักดับ สร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในจิตของเรา จิตของเราน้อมเข้าไปอยู่ในกองบุญ ระลึกนึกถึงสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล อะไรที่เป็นอกุศลก็รู้จักละรู้จักสำรวมกายวาจาใจของเราอยู่ตลอดเวลา
กายของเรามีความแข็งกระด้างหรือไม่ กายของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนไหม จิตของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนไหม เรามีความตระหนี่เนี่ยวแน่นหรือไม่ ถ้ามีเราก็รู้จักละรู้จักคลายรู้จักให้รู้จักเอาออก จิตของเราเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธให้อภัยทาน เจริญพรหมวิหารมองโลกในทางที่ดีคิดดี ไม่มองโลกในแง่ร้าย เรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีสัจจะมีความจริงใจกับตัวของเราเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความเสียสละมีความรับผิดชอบ หมั่นวิเคราะห์หมั่นสํารวจ หมั่นทำความเข้าใจ
อะไรคือสติความระลึกรู้ตัว ความระลึกรู้ตัวเราต้องสร้างขึ้นมา ถ้าเราไม่สร้างยากที่จะเกิดขึ้นมาได้ เรารู้จัก เราต้องสร้างขึ้นมาแล้วก็รู้จักรักษา แล้วก็รู้จักเอาไปทำความเข้าใจกับจิต
ปัญญาที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้าเขามีอยู่เต็มเปี่ยม อันนี้ซึ่งเรียกว่า ‘ปัญญาเก่า’ เขามีอยู่แล้ว เขาเกิดๆ ดับๆ แล้วก็คิดสารพัดเรื่องที่เขาจะไป บางทีก็มาปรุงความคิด ก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตของเราก็เคลื่อนเข้าไปรวม แต่เราไม่รู้ช่วงขณะที่เขาเข้าไปร่วมจนเป็นสิ่งเดียวกัน นั่นแหละมันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น หลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่
เรารู้ต้นเหตุไม่ทัน เราก็ต้องรู้จักดับรู้จักควบคุม แต่การควบคุมจิตนี้มีอยู่เป็นบางครั้ง อย่างเช่นเวลาจิตของเราเกิดความโกรธ เราก็รู้จักระงับรู้จักดับ ไม่ให้เกิดความโกรธ เราอาจจะระงับดับได้เป็นบางครั้งเป็นบางเรื่อง ในหลักธรรมเราต้องพยายามดับ แม้กระทั่งความเกิด แม้กระทั่งความอยากเล็กๆน้อยๆ เราก็ต้องดับไม่ให้จิตของเราเกิด คลายจิตออกจากความหลง ออกจากความคิดออกจากอารมณ์ ออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
ถ้าเราสังเกตทัน จิตก็จะแยกออกจากความคิดเอง ซึ่งเป็นตัววิปัสสนา ตรงนี้ยากที่บุคคลถ้าไม่มีความขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากที่จะทำความเข้าใจตรงจุดนี้ได้ นอกจากนั้นก็มีตั้งแต่อยู่ในระดับการทำบุญการให้ทาน ยังเป็นอานิสงส์สร้างอานิสงส์ให้อยู่
เราก็ต้องพยายามหมั่นสำรวจตรวจตราดู ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับนั่นแหละ แต่ละวันแต่ละเวลา แต่ละทุกขณะจิต แต่ละทุกขณะลมหายใจเข้าออก จิตของเราสะอาดสงบปกติดีอยู่หรือไม่จิตของเราเศร้าหมองอย่างไร นั่นแหละบุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว อยู่ใกล้กับพระ อยู่ใกล้กับพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
ทำกายให้เป็นวัดทำจิตให้เป็นพระ เจริญผู้รู้เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อยู่ที่ทำการทำงานก็เป็นวัด อยู่ไร่อยู่นาก็เป็นวัด เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา เราก็จะได้ทำบุญอยู่ตลอดเวลา ทำบุญให้กับตัวเราทำบุญให้กับญาติพี่น้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทำกายให้เป็นบุญทำวาจาให้เป็นบุญทำใจให้เป็นบุญอยู่ตลอดเวลา
ไม่จําเป็นต้องไปแสวงหาที่ไหนได้เลย แสวงหาอยู่ในกายของเรานี่แหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราไม่เข้าใจแนวทางเราไม่เข้าใจวิธี เราถึงแสวงหาวิธีแสวงหาแนวทาง วิธีนั้นมีอยู่ตั้งนานแล้ว พระพุทธองค์ค้นพบเอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม
การเจริญพรหมวิหารการละกิเลสเป็นอย่างนี้ การสํารวจการ สำรวมอินทรีย์เป็นอย่างนี้ หูตาจมูกร่างกายเขาก็ทำหน้าที่อยู่อย่างนี้ ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงเข้ามาถึงดวงจิตดวงวิญญาณ ที่นี้เรามีสติคอยตรวจสอบหรือไม่
ตั้งแต่เช้าขึ้นมาจิตของเราไปสักกี่เรื่อง อะไรเข้ามาปรุงแต่งจิตของเราบ้าง เราอาจจะรู้อยู่ แต่เรายังดับยังละยังแยกยังคลายไม่ได้ เราก็ต้องพยายามฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเวลา หมั่นพร่ำสอนตัวเองตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราจะมองเห็นแนวทาง ดีไม่ดีไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็เหมือนกันหมด พยายามหมั่นสร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้น กายวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกเป็นอย่างไร จิตของเราวิเวกจากอะไร จากความคิดจากอารมณ์ วิเวกจากกิเลส วิเวกจากความทะเยอทะยานอยาก อยู่ที่ไหนเราก็อยู่ดีมีความสุข ทำสมมติให้บริบูรณ์ก็ส่งผลถึงวิมุตติ
พระพุทธพระองค์ท่านสอนเรื่องอัตตาสอนเรื่องอนัตตา อะไรคืออัตตาอะไรคืออนัตตา สอนเรื่องความทุกข์ อะไรคือความทุกข์ เหตุสาเหตุแห่งทุกข์ มันเกิดที่ตรงไหน เราดับสาเหตุแห่งทุกข์ได้ เราไม่ต้องการความสุข ความสุขก็จะเกิดขึ้นเอง ท่านสอนเรื่องหลักอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา จิตเกิดส่งออกไปข้างนอกนั่นแหละคือสมุทัย ทีนี้วิธีดับวิธีแก้ท่านก็มีบอกเอาไว้หมด
พวกเราได้อ่านได้ศึกษาได้ค้นคว้ากันอยู่เป็นประจำ แต่การปฏิบัติการแยกการทำความเข้าใจการละการดับตรงนี้จะมีไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่องกัน อาจจะดับได้เป็นบางเรื่องเป็นบางครั้งบางคราว เราต้องทำความเข้าใจหมด
แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เกิดขึ้นที่จิต อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากไปไม่อยาก มา ทำความเข้าใจกับโลก โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริฐสุขทุกข์นินทาเขาก็มีอยู่ประจำโลกอยู่อย่างนั้น อย่าไปปิดกั้นตนเองนะ ให้พยายามพากันฝึกหัดปฏิบัติ ได้เท่าไหร่ก็ดี สะสมบุญไปทีละเล็กทีละน้อย จากน้อยๆ ไปหามากๆ ก็จะเต็มรอบเอง
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแต่เล่าให้ฟัง