หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 028
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 028
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความระลึกรู้ตัวรู้กายรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราน้อมสำรวจเราแล้วหรือยัง น้อมสำรวจกายน้อมสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง นั่งตามอิริยาบถให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ
ตื่นขึ้นมาหน้าที่ของเราอันดับแรกก็คือ การสำรวจกายสำรวจจิตของตัวเราเอง ความระลึกรู้ตัวเราได้สร้างขึ้นมา แล้วก็รู้จักสร้างให้ต่อเนื่องหรือไม่ ตื่นขึ้นมาปุ๊บจิตก็ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก ความคิดเข้ามาปรุงแต่งจิตสารพัดเรื่องที่เข้ามาปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เรามาน้อมระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนออกมายาวๆ ความรู้สึกเวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด เวลาลมวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากจิต ความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ก็จะหยุดก็จะดับ เพียงแค่เราหัดระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้เกิดความเคยชิน พวกเราก็ยังทำกันไม่ชำนาญ แม้ตั้งแต่จะลุกจะก้าวจะเดิน สร้างความรู้สึกอยู่ที่การเดินก็ทำให้ได้ต่อเนื่อง
ทุกคนมีจิตที่เป็นบุญ ทุกคนก็มีศรัทธาฝักใฝ่สนใจ แต่เป็นการสนใจที่ไม่ต่อเนื่อง เราต้องพยายาม ทำอะไรก็ทำให้ต่อเนื่องถึงจะรู้ความเป็นจริง เราจะไปนึกไปคิดไปอ่านไปฟัง อันนั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ แต่การกระทำการลงมือการสร้างความระลึกรู้ตัว แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
รู้ไม่ทันจิต หรือว่ารู้ไม่ทันเท่าทันความคิด รู้ไม่เท่าทันอารมณ์ เราก็รู้จักใช้สมถะเข้าไปควบคุม ควบคุมเอาไว้ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนเป็นการทวนทวนกระแส เพราะว่าจิตของเราชอบคิด ความคิดชอบมาปรุงแต่งจิต แล้วก็หลงไปกับความคิดหลงไปกับอารมณ์ เรียกว่า ‘ความหลง’ เรียกว่า ‘อวิชชา’
โมหะความหลงเข้าครอบงำ สมมติก็เข้าครอบงำ กิเลสต่างๆ ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากก็เข้าครอบงำ กิเลสก็มีหลายอย่างมีทั้งหยาบมีทั้งละเอียด มีทั้งฝ่ายกุศลมีทั้งฝ่ายอกุศล ทั้งดีทั้งชั่ว ดีก็เป็นฝ่ายกุศล ชั่วก็เป็นฝ่ายอกุศล เราต้องทำเข้าใจหมดทุกสิ่งทั้งดีทั้งชั่ว
ทำความเข้าใจให้ละเอียดว่าจิตของเราเกิดได้อย่างไร จิตของเราส่งไปข้างนอกได้อย่างไร จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปร่วมได้อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัย ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด บุคคลผู้รู้มีสติมีปัญญาพอรู้แนวทางแล้วก็จะไปสำรวจตรวจตราดูตัวเรา ไม่ต้องให้คนอื่นบังคับต้องไปเคี่ยวเข็ญ การน้อมเข้าไปรู้
ใหม่ๆ เรายังรู้ไม่เท่าทันจิต ก็ให้รู้กายรู้การหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นการรู้กาย ลมหายใจเข้าออกก็เป็นส่วนหนึ่งของกายของเรา ขณะที่พิจารณาดูก็อย่าให้เกิดความอยาก เกิดความยินดีเกิดความยินร้าย ทำความเข้าใจกับทวารของตัวเราเสีย ตาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ เขาก็ทำหน้าที่ของเขา รูปรสกลิ่นเสียงเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ในเมื่อรูปรสกลิ่นเสียงผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหก หูตาจมูกลิ้นกายของเรา เรามีความระลึกรู้ว่าจิตของเรายังปกติดีอยู่หรือไม่ หรือเกิดความยินดีเกิดความยินร้าย
เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ให้รู้ถึงจิต ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง การประพฤติการปฏิบัติต้องมีจุดหมายปลายทางเป็นที่ตั้ง เจริญสติไปเพื่ออะไร ความระลึกรู้ตัวยังไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา สมาธิความสงบไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา รู้จักสร้างรู้จักรักษาแล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความหลง แยกรูปแยกนามได้นั่น อวิชาถึงจะคลาย วิชาถึงจะเปิด สัมมาทิฐิถึงจะเปิดทางให้เรา เราก็จะมองเห็นทางมองทะลุปรุโปร่ง กำลังสติของเราตามทำความเข้าใจ
เราจะไปบังคับว่าต้องเอาให้ได้ทำให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด เราเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ อย่าให้พลั้งเผลอ ถ้าสติเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักดับ ดับแล้วก็วางอยู่ปัจจุบัน เน้นลงอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต ไม่ใช่ว่าปัจจุบันในทางโลกๆ วันนี้ก็เป็นปัจจุบัน นาทีนี้ชั่วโมงนี้ก็เป็นปัจจุบัน แต่ปัจจุบันธรรมคือรู้ทุกขณะเวลาลมสัมผัสวิ่งเข้าวิ่งออก รู้ทุกขณะทุกขณะจิตที่ก่อตัว รู้ทุกขณะจิตที่ความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
ตราบใดที่เรายังแยกรูปแยกไม่ได้ กำลังสติของเราจะไม่ต่อเนื่อง กำลังสติของเราจะไม่เป็นมหาสติ เพียงแค่การสร้างกับการรักษาพวกเราก็ยังไม่ทำให้ต่อเนื่องกัน มันก็เลยไม่เข้าใจในส่วนปัญญาขั้นสูงกัน ก็ต้องพยายาม ทุกอย่างตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย อย่าให้จิตของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย
เราต้องทำความเข้าใจกับภาษาธรรมะ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟัง ใหม่ๆ ก็อาจจะติดขัดบ้างพลั้งเผลอบ้าง เราก็เริ่มต้นอยู่บ่อยๆ เริ่มต้นอยู่บ่อยๆ ถ้าเราขยันหมั่นเพียร อยู่คนเดียวก็หมั่นวิเคราะห์เรา อยู่หลายคนเราก็หมั่นวิเคราะห์เรา
ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้จะสนุก ทำไมถึงว่าสนุก สนุกที่ว่ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสไหม พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ กิเลสความละเอียดความหยาบเข้ามา มันหลายสิ่งหลายอย่าง เราต้องศึกษาต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรมอยากจะได้ธรรม เราก็ต้องดับ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา เราต้องดับต้องละออกให้หมด
ทีนี้เราจะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องสติเรื่องของปัญญา จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อยก็ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรของสติปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ แต่ไม่ยึดติดในสมมตินั้น เราต้องทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ
อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด ก็ต้องพยามไปศึกษาค้นคว้ากันนะ อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง พวกท่านจงพยายามพากันไปศึกษาค้นคว้ากัน ขณะที่จะเปลี่ยนอิริยาบถเราก็พยายามประคับประคองสติของเราไว้ ไม่ใช่พลั้งเผลอไปเลย ขณะจะลุกจะก้าวจะเดิน
ใหม่ๆ (ก็อาจจะ) สติของเราจะช้า ความระลึกรู้ตัวของเราจะช้า เราก็ต้องพยายามเริ่มบ่อยๆ จนกว่ากำลังสติของเราจะไปใช้การใช้งานได้ รอบรู้ในดวงจิต รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ในโลกธรรมแปด เอาไปใช้กับสมมติจนเป็นอัตโนมัติ จนสติปัญญาสมาธิเขารักษาเราได้นั่นแหละ
ช่วงใหม่ๆ สติสมาธิไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา เราต้องทำความเข้าใจ ต่อไปข้างหน้าถ้าจิตของเรารู้ความเป็นจริงแล้ว เขาก็ไม่เป็นทาสของความอยากหรอก เขาก็ไม่เป็นทาสของอารมณ์หรอก เขาก็รู้จักละรู้จักดับ ความว่างก็จะรักษาเรา สติปัญญาก็จะรักษาเรา เราต้องรักษา เราต้องสร้างเขาขึ้นมาให้ได้เสียก่อน ถ้าเขารู้ความเป็นจริงแล้ว เขาก็จะรักษาเราเอง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
ตื่นขึ้นมาหน้าที่ของเราอันดับแรกก็คือ การสำรวจกายสำรวจจิตของตัวเราเอง ความระลึกรู้ตัวเราได้สร้างขึ้นมา แล้วก็รู้จักสร้างให้ต่อเนื่องหรือไม่ ตื่นขึ้นมาปุ๊บจิตก็ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก ความคิดเข้ามาปรุงแต่งจิตสารพัดเรื่องที่เข้ามาปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เรามาน้อมระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนออกมายาวๆ ความรู้สึกเวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด เวลาลมวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากจิต ความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ก็จะหยุดก็จะดับ เพียงแค่เราหัดระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้เกิดความเคยชิน พวกเราก็ยังทำกันไม่ชำนาญ แม้ตั้งแต่จะลุกจะก้าวจะเดิน สร้างความรู้สึกอยู่ที่การเดินก็ทำให้ได้ต่อเนื่อง
ทุกคนมีจิตที่เป็นบุญ ทุกคนก็มีศรัทธาฝักใฝ่สนใจ แต่เป็นการสนใจที่ไม่ต่อเนื่อง เราต้องพยายาม ทำอะไรก็ทำให้ต่อเนื่องถึงจะรู้ความเป็นจริง เราจะไปนึกไปคิดไปอ่านไปฟัง อันนั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ แต่การกระทำการลงมือการสร้างความระลึกรู้ตัว แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
รู้ไม่ทันจิต หรือว่ารู้ไม่ทันเท่าทันความคิด รู้ไม่เท่าทันอารมณ์ เราก็รู้จักใช้สมถะเข้าไปควบคุม ควบคุมเอาไว้ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนเป็นการทวนทวนกระแส เพราะว่าจิตของเราชอบคิด ความคิดชอบมาปรุงแต่งจิต แล้วก็หลงไปกับความคิดหลงไปกับอารมณ์ เรียกว่า ‘ความหลง’ เรียกว่า ‘อวิชชา’
โมหะความหลงเข้าครอบงำ สมมติก็เข้าครอบงำ กิเลสต่างๆ ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากก็เข้าครอบงำ กิเลสก็มีหลายอย่างมีทั้งหยาบมีทั้งละเอียด มีทั้งฝ่ายกุศลมีทั้งฝ่ายอกุศล ทั้งดีทั้งชั่ว ดีก็เป็นฝ่ายกุศล ชั่วก็เป็นฝ่ายอกุศล เราต้องทำเข้าใจหมดทุกสิ่งทั้งดีทั้งชั่ว
ทำความเข้าใจให้ละเอียดว่าจิตของเราเกิดได้อย่างไร จิตของเราส่งไปข้างนอกได้อย่างไร จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปร่วมได้อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัย ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด บุคคลผู้รู้มีสติมีปัญญาพอรู้แนวทางแล้วก็จะไปสำรวจตรวจตราดูตัวเรา ไม่ต้องให้คนอื่นบังคับต้องไปเคี่ยวเข็ญ การน้อมเข้าไปรู้
ใหม่ๆ เรายังรู้ไม่เท่าทันจิต ก็ให้รู้กายรู้การหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นการรู้กาย ลมหายใจเข้าออกก็เป็นส่วนหนึ่งของกายของเรา ขณะที่พิจารณาดูก็อย่าให้เกิดความอยาก เกิดความยินดีเกิดความยินร้าย ทำความเข้าใจกับทวารของตัวเราเสีย ตาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ เขาก็ทำหน้าที่ของเขา รูปรสกลิ่นเสียงเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ในเมื่อรูปรสกลิ่นเสียงผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหก หูตาจมูกลิ้นกายของเรา เรามีความระลึกรู้ว่าจิตของเรายังปกติดีอยู่หรือไม่ หรือเกิดความยินดีเกิดความยินร้าย
เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ให้รู้ถึงจิต ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง การประพฤติการปฏิบัติต้องมีจุดหมายปลายทางเป็นที่ตั้ง เจริญสติไปเพื่ออะไร ความระลึกรู้ตัวยังไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา สมาธิความสงบไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา รู้จักสร้างรู้จักรักษาแล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความหลง แยกรูปแยกนามได้นั่น อวิชาถึงจะคลาย วิชาถึงจะเปิด สัมมาทิฐิถึงจะเปิดทางให้เรา เราก็จะมองเห็นทางมองทะลุปรุโปร่ง กำลังสติของเราตามทำความเข้าใจ
เราจะไปบังคับว่าต้องเอาให้ได้ทำให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด เราเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ อย่าให้พลั้งเผลอ ถ้าสติเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักดับ ดับแล้วก็วางอยู่ปัจจุบัน เน้นลงอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต ไม่ใช่ว่าปัจจุบันในทางโลกๆ วันนี้ก็เป็นปัจจุบัน นาทีนี้ชั่วโมงนี้ก็เป็นปัจจุบัน แต่ปัจจุบันธรรมคือรู้ทุกขณะเวลาลมสัมผัสวิ่งเข้าวิ่งออก รู้ทุกขณะทุกขณะจิตที่ก่อตัว รู้ทุกขณะจิตที่ความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
ตราบใดที่เรายังแยกรูปแยกไม่ได้ กำลังสติของเราจะไม่ต่อเนื่อง กำลังสติของเราจะไม่เป็นมหาสติ เพียงแค่การสร้างกับการรักษาพวกเราก็ยังไม่ทำให้ต่อเนื่องกัน มันก็เลยไม่เข้าใจในส่วนปัญญาขั้นสูงกัน ก็ต้องพยายาม ทุกอย่างตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย อย่าให้จิตของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย
เราต้องทำความเข้าใจกับภาษาธรรมะ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟัง ใหม่ๆ ก็อาจจะติดขัดบ้างพลั้งเผลอบ้าง เราก็เริ่มต้นอยู่บ่อยๆ เริ่มต้นอยู่บ่อยๆ ถ้าเราขยันหมั่นเพียร อยู่คนเดียวก็หมั่นวิเคราะห์เรา อยู่หลายคนเราก็หมั่นวิเคราะห์เรา
ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้จะสนุก ทำไมถึงว่าสนุก สนุกที่ว่ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสไหม พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ กิเลสความละเอียดความหยาบเข้ามา มันหลายสิ่งหลายอย่าง เราต้องศึกษาต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรมอยากจะได้ธรรม เราก็ต้องดับ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา เราต้องดับต้องละออกให้หมด
ทีนี้เราจะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องสติเรื่องของปัญญา จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อยก็ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรของสติปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ แต่ไม่ยึดติดในสมมตินั้น เราต้องทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ
อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด ก็ต้องพยามไปศึกษาค้นคว้ากันนะ อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง พวกท่านจงพยายามพากันไปศึกษาค้นคว้ากัน ขณะที่จะเปลี่ยนอิริยาบถเราก็พยายามประคับประคองสติของเราไว้ ไม่ใช่พลั้งเผลอไปเลย ขณะจะลุกจะก้าวจะเดิน
ใหม่ๆ (ก็อาจจะ) สติของเราจะช้า ความระลึกรู้ตัวของเราจะช้า เราก็ต้องพยายามเริ่มบ่อยๆ จนกว่ากำลังสติของเราจะไปใช้การใช้งานได้ รอบรู้ในดวงจิต รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ในโลกธรรมแปด เอาไปใช้กับสมมติจนเป็นอัตโนมัติ จนสติปัญญาสมาธิเขารักษาเราได้นั่นแหละ
ช่วงใหม่ๆ สติสมาธิไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา เราต้องทำความเข้าใจ ต่อไปข้างหน้าถ้าจิตของเรารู้ความเป็นจริงแล้ว เขาก็ไม่เป็นทาสของความอยากหรอก เขาก็ไม่เป็นทาสของอารมณ์หรอก เขาก็รู้จักละรู้จักดับ ความว่างก็จะรักษาเรา สติปัญญาก็จะรักษาเรา เราต้องรักษา เราต้องสร้างเขาขึ้นมาให้ได้เสียก่อน ถ้าเขารู้ความเป็นจริงแล้ว เขาก็จะรักษาเราเอง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา