หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 043
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 043
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน อย่างอื่นหยุดเอาไว้ ดับความคิดดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด แล้วก็สร้างความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูกของเรา
อันนี้เป็นการเจริญสติให้รู้กายอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ เราพยายามฝึกตรงนี้ให้เกิดความเคยชินไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ รับรู้ส่วนไหนของกายก็ได้ ถ้าเรามีสติรู้กาย รู้การเคลื่อนไหวของกาย รู้ลมหายใจเข้าออก รู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก
การสร้างความรู้สึกตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออกอันนี้จะเป็นสิ่งที่ง่ายถ้าเราหมั่นสนใจ เพราะว่าการหายใจเข้าหายใจออกพวกเราก็หายใจมาตั้งแต่เกิด แต่เราขาดการสร้างความรู้ตัวก็เลยขาดความเคยชินตรงนี้ จิตก็เลยคิดส่งออกไปภายนอก ทั้งที่คิดเราก็รู้อยู่ว่าเราคิด จิตคิดเราก็รู้เราก็ทำตามความคิดนั้น นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘จิตส่งออกไปข้างนอก’
บางทีก็ขันธ์ห้า ถ้าพูดตามภาษาธรรมเขาเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ซึ่งผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเรา จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกัน ถ้าเราขาดการสร้างสติยากที่จะเข้าใจตรงนี้ ถ้าเรามีความรู้สึกตัวอยู่ปัจจุบันที่ต่อเนื่อง เราก็จะเห็นว่าอาการของขันธ์ห้ากับตัวจิต จริงๆ แล้ว เป็นคนละส่วนกัน ถึงจิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมจนเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อเข้าไปรวมแล้วเราถึงรู้ว่าเราคิดเราถึงรู้ว่าเราทำ นั่นแหละมันหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ หลงอยู่ในอาการของตรงนั้นอยู่
อันนี้เป็นของละเอียดอ่อนมากทีเดียว จิตของเราเข้าไปร่วมกับความคิดจนเป็นตัวเดียวกันจนไปด้วยกัน เราก็ทำตามความคิดเราก็ทำตามอารมณ์ทั้งที่เรารู้ๆ แต่การดับการแยก การสำรวจการตามดูการตามทำความเข้าใจยังไม่กระจ่าง เราก็ต้องพยายามหัดสังเกต สังเกตบ่อยๆ หัดสร้างความรู้ตัวบ่อยๆ รู้ตั้งแต่อาการเกิดของจิต อาการของความคิด
ถ้าเรารู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ถ้าเรารู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เขาก็จะแยกออกจากกันโดยปริยาย ถ้าแยกตรงนี้ได้เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ ความรู้ตัวก็จะตามเห็นสภาวะธรรมการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ เขาเกิดขึ้นเขาตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฎ เรื่องแล้วเรื่องเล่าๆ จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมตรงนี้ทำให้เกิดอัตตาตัวตน นี่แหละโมหะความหลงอย่างลุ่มลึก
เรามาคลายตรงนี้ได้ มาแยกตรงนี้ได้ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจเขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีกเหมือนเดิม ยิ่งหนักกว่าเก่า เราต้องพยายามตามทำความเข้าใจแล้วก็รู้ลักษณะอาการของนิวรณธรรมต่างๆ ทำความเข้าใจกับนิวรณ์ อย่างเช่น จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ขณะที่เราตื่นตัวอยู่นี่แหละ เราก็พยายามดับเสีย
จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาทปองร้าย เราก็รู้จักควบคุมแล้วก็ให้อภัยทานอโหสิกรรม ความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็พยายามสร้างขึ้นมาใหม่ สร้างขึ้นมาบ่อยๆ จิตของเรามีความลังเล มีความสงสัย มีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักดับใช้สมถะเข้าไปดับ ไม่ใช่ว่าไปนั่งสงบเงียบอย่างเดียว ขณะที่จิตของเราเกิดนั่นแหละ
เราพยายามดับเสียอยู่กับลมหายใจบ้าง หรือจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับบ้าง พยายามดับบ่อยๆ ดับบ่อยๆ ความรู้ตัวก็จะมากขึ้น จิตของเราก็จะช้าลง ถ้าเราไม่ดับเราปล่อยให้เขาเกิดทั้งที่รู้ๆ กำลังจิตก็จะมากขึ้น เหมือนกับเอาอาหารให้กิเลส เราก็ต้องพยายามศึกษาดูให้ละเอียด เราจะมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อยากจะเอาตั้งแต่ธรรม อยากจะได้ตั้งแต่ธรรม กลัวจะไม่ได้คิด กลัวจะไม่มีความรู้ กลัวจะไม่มีปัญญา
เราพยายามคลายความหลง ตามดูขันธ์ห้า ละขันธ์ห้าแล้วก็ดับความเกิดของจิตอีกด้วย ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิดหรอก เราดับความเกิดของจิต เราดับได้ระดับไหน หยุดได้ระดับไหน ระดับกลางระดับปลายระดับต้นเหตุ ตั้งแต่เขากำลังจะเริ่มก่อตัว เราก็พยายามดับเสีย พอดับแล้วเขาก็จะนิ่ง นิ่งขึ้นๆ แล้วก็หนุนกำลังสติเข้าไปคิดไปพิจารณา เขาเรียกว่า ‘ปัญญา’ จนเป็นอัตโนมัติในการตามดูตามรู้ตามทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ ปัญญาฝ่ายสำรวจฝ่ายดับฝ่ายละฝ่ายเกิด มันก็จะตามมาเรื่อยๆ
ก็ต้องพยายามฝึกฝนตนเองเอา สร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที เรามีความขยันหมั่นเพียร มองโลกในทางที่ดี คิดดี ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนนั้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ ถ้าเราชนะตัวเราแล้วเราก็จะชนะหมด แต่ส่วนมากไม่ค่อยอยากจะชนะตัวเราเอง อยากจะไปเอาชนะตั้งแต่ภายนอกกัน
พยายามสร้างอานิสงส์ คนเราเกิดมาก็มีบุญอยู่แล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มาสร้างสะสมบุญต่อ มาสร้างสะสมอานิสงส์ต่อ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีบุญ ทุกคนก็มีบุญกันทั้งนั้นแหละถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาด้วย ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ตั้งแต่ยังไม่เกิดเสียด้วย ตั้งแต่ภพก่อนๆ แต่ยังไม่ถึงจุดหมายเท่านั้นเอง แต่ยังละกิเลสไม่หมด ยังทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์หมดจดยังไม่ได้เท่านั้นเอง เราก็ต้องพยายาม
การงานทุกวัน การทำงานทุกวันมีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี มีความเสียสละ มีความอดทนอดกลั้น ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว นั่นแหละคือตัวการปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะถูกบ้างผิดบ้างๆ ก็เป็นของธรรมดา แต่การเจริญสติเข้าไปสำรวจการสร้างความรู้ตัว พวกเราทำไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่องกัน ส่วนมากจะไม่ค่อยจะทำ อาจจะทำบ้างกระปริดกระปอยบ้างเล็กๆ น้อยๆ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความรู้สึกตัวของเราต่อเนื่องกันได้สัก 5 นาทีไหม 10 นาทีไหม จนกลายเป็นชั่วโมงจนกลายเป็นวัน วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งเรามีความรู้สึกตัวต่อเนื่องกันสัก 5 นาทีไหม อันไหนมันมากกว่ากัน ให้เราวิเคราะห์พิจารณาดู ไม่ใช่ว่าเราจะมาสร้างสติอย่างเดียวให้นั่น
การเจริญสติถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ ตามทำความเข้าใจได้ เขาก็จะเป็นมหาสติของเขาเอง เราไม่จำเป็นต้องมาสร้างเขาตลอดเวลาหรอก ต่อไปข้างหน้า เราหมั่นสร้างตั้งแต่ใหม่ๆ ออกไปแยกแยะทำความเข้าใจ แล้วก็เอา แล้วก็ละ สำรวจจิตของเราให้ได้ให้ต่อเนื่องกันให้ได้
ต่อไปข้างหน้า สติปัญญา สมาธิ ความว่าง เขาจะรักษาเราเอง ช่วงใหม่ๆ สติไม่มีความรู้ตัวไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา จิตไม่สงบเราก็พยายามทำจิตของเราให้สงบ จิตเกิดกิเลสเราก็พยายามละกิเลส ขันธ์ห้าเข้ามาเราก็ต้องทำความเข้าใจให้รู้ความจริงแล้วค่อยละเสีย นิวรณธรรมต่างๆ เราก็ทำความเข้าใจแล้วค่อยละเสีย ต่อไปข้างหน้าเขาก็จะรักษาเราเองนั่นแหละ
ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นเพียงแค่อิริยาบถ ทำไปเรื่อยๆ แต่อย่าให้ขาดอย่าให้พลั้งเผลอ สติอย่าให้คลาดสายตาของสติปัญญาของเราไปได้ จนเป็นอัตโนมัติ จนไม่ได้ฝึก ยืนเดินนั่งนอน จิตของเราก็จะอยู่ในความว่างความบริสุทธิ์ รับรู้อยู่ในกายของเรา ถ้าเราสร้างความว่าง จิตว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากกิเลส เขาก็จะอยู่ในความว่าง ความว่างนั่นแหละคือวิหารธรรมเครื่องอยู่ของจิต
เราพยายามสร้างความว่างให้มีให้เกิด หรือว่าความว่างนั่นแหละคือสมาธิ ความสงบความปกตินั่นแหละก็คือศีล ศีลสมาธิแล้วก็ปัญญา รอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ถ้าเราจะเอาจริงๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไรมากมาย ก็มีตั้งแต่รูปกับนาม กายของเรา เราก็ดูแลรักษาทำความเข้าใจกับเขาเสีย แล้วก็บริหารเขาให้ถูกทางเสีย ถึงเวลาแล้วเขาก็จะแตกดับของเขาเองนั่นแหละ เพราะว่าทุกคนเกิดมาแล้วก็เดินเข้าไปหาความเสื่อม มีความเสื่อมความสลายกลับคืนสู่สภาพเดิม ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นมาแล้วจะเดินเข้าไปหาตั้งแต่ความเจริญ มันไม่ใช่ ตั้งแต่วันเกิดนั่นแหละ มันเสื่อมตั้งแต่วันเกิดนั่นแหละ เสื่อมขึ้นกับเสื่อมลง ถึงเวลาแล้วจะเอาอะไรมาผูกมัดมันไว้ก็ไม่อยู่ มันต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม
ขณะที่ยังไม่ถึงเวลาเราก็ทำความเข้าใจกับเขาให้เรียบร้อยเสีย เราก็จะอยู่ดีมีความสุข อยู่กับสมมติใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ รู้จักขยันหมั่นเพียร รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบต่อตัวเราต่อคนอื่น ต่อส่วนรวมต่อสังคม เราก็จะอยู่ดีมีความสุขไม่เห็นแก่ตัว ก็พยายามกันนะ พยายามฝักใฝ่กัน
พระเราภิกษุสงฆ์ของเราแม่ชีของเรา หรือว่าญาติโยมของเรามีอะไรก็ให้ช่วยกัน ขยันหมั่นเพียรอย่าพากันเกียจคร้าน รู้จักตัวเอง ใช้ตัวเองให้เป็น ทำความเข้าใจกับตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเราให้ได้ รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ ส่วนการชำระสะสางกิเลสก็พยายามชำระสะสางกิเลสของตัวเราให้หมดสิ้น มันไม่หมดสิ้นวันนี้มันก็ต้องหมดสิ้นวันพรุ่งนี้
ให้มีความรักความสมัครสมานสามัคคีกัน มีอะไรก็ให้ช่วยเหลือกันเท่าที่เราจะอำนวยความสะดวกให้ได้ เรามาอยู่ร่วมกัน เรามีวิบากร่วมกันนั่นแหละเราถึงมาอยู่ร่วมกัน เป็นเครือญาติเป็นพี่เป็นพ่อเป็นแม่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ถ้าคนเราไม่มีวิบากร่วมกันก็ยากที่จะได้มาอยู่ร่วมกัน มีอะไรก็ให้ช่วยเหลือกัน อย่าไปคิดอคติ อย่าไปเพ่งโทษ พยามถ้ามีแล้วก็กำจัดออก อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข ถ้าเราเข้าใจ
สถานที่ของเราก็พร้อม สิ่งแวดล้อมเราก็พร้อมอำนวยความสะดวกให้สำหรับการประพฤติปฏิบัติ ทั้งฆราวาสญาติโยมก็มาช่วยกัน มีอะไรก็ดูแล ก็พยายามเปิดน้ำใส่ให้เต็ม เดินเข้าไปดูห้องไหนสกปรกเราก็ทำความสะอาดเสีย ห้องไหนน้ำไม่เต็มเราก็พยายามเปิดใส่ให้เต็มเสีย ไม่ใช่ไปคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคน ถ้าคนเราคิดว่าแค่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง ถ้าต่างคนก็ต่างคิดต่างคนก็ต่างไม่ทำ อยู่คนเดียวก็สกปรก อยู่คนเดียวก็ไม่มีความสุข เราก็ต้องพยายาม เป็นหน้าที่ของทุกคน
ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ถนนหนทางช่วงไหนไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเราก็ทำเสีย ทำช่วยกันนั่นแหละ กว่าจะได้มาเป็นสถานที่น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ มันก็ต้องผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านความร่วมมือร่วมใจของทุกคน หล่อหลอมช่วยกันทำ หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงเสาหลักเป็นสะพานหลักให้ทุกคนได้มาอยู่ร่วมกันได้มาดูแลรักษา เป็นสมบัติของทุกคน เป็นสมบัติของแผ่นดิน มิใช่เป็นของคนใดคนหนึ่ง
เรามาอาศัยสมมติตรงนี้อยู่ สักวันสักเวลาเราก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติ ซึ่งมองด้วยตาเนื้อ ลึกลงไปเราก็มองด้วยตาสติปัญญา เห็นการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า แล้วก็ชำระสะสาง ทำความเข้าใจกับเขาให้เรียบร้อย ให้ได้รอบรู้ทั้งภายในรอบรู้ทั้งภายนอก ไปอยู่ที่ไหนเราก็จะไม่ได้เก้อได้เขิน ไปอยู่ที่ไหนเราก็จะมีตั้งแต่ความองอาจ มีแต่ความกล้าหาญ รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง มีความเข้มแข็งตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
อันนี้เป็นการเจริญสติให้รู้กายอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ เราพยายามฝึกตรงนี้ให้เกิดความเคยชินไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ รับรู้ส่วนไหนของกายก็ได้ ถ้าเรามีสติรู้กาย รู้การเคลื่อนไหวของกาย รู้ลมหายใจเข้าออก รู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก
การสร้างความรู้สึกตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออกอันนี้จะเป็นสิ่งที่ง่ายถ้าเราหมั่นสนใจ เพราะว่าการหายใจเข้าหายใจออกพวกเราก็หายใจมาตั้งแต่เกิด แต่เราขาดการสร้างความรู้ตัวก็เลยขาดความเคยชินตรงนี้ จิตก็เลยคิดส่งออกไปภายนอก ทั้งที่คิดเราก็รู้อยู่ว่าเราคิด จิตคิดเราก็รู้เราก็ทำตามความคิดนั้น นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘จิตส่งออกไปข้างนอก’
บางทีก็ขันธ์ห้า ถ้าพูดตามภาษาธรรมเขาเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ซึ่งผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเรา จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกัน ถ้าเราขาดการสร้างสติยากที่จะเข้าใจตรงนี้ ถ้าเรามีความรู้สึกตัวอยู่ปัจจุบันที่ต่อเนื่อง เราก็จะเห็นว่าอาการของขันธ์ห้ากับตัวจิต จริงๆ แล้ว เป็นคนละส่วนกัน ถึงจิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมจนเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อเข้าไปรวมแล้วเราถึงรู้ว่าเราคิดเราถึงรู้ว่าเราทำ นั่นแหละมันหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ หลงอยู่ในอาการของตรงนั้นอยู่
อันนี้เป็นของละเอียดอ่อนมากทีเดียว จิตของเราเข้าไปร่วมกับความคิดจนเป็นตัวเดียวกันจนไปด้วยกัน เราก็ทำตามความคิดเราก็ทำตามอารมณ์ทั้งที่เรารู้ๆ แต่การดับการแยก การสำรวจการตามดูการตามทำความเข้าใจยังไม่กระจ่าง เราก็ต้องพยายามหัดสังเกต สังเกตบ่อยๆ หัดสร้างความรู้ตัวบ่อยๆ รู้ตั้งแต่อาการเกิดของจิต อาการของความคิด
ถ้าเรารู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ถ้าเรารู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เขาก็จะแยกออกจากกันโดยปริยาย ถ้าแยกตรงนี้ได้เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ ความรู้ตัวก็จะตามเห็นสภาวะธรรมการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ เขาเกิดขึ้นเขาตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฎ เรื่องแล้วเรื่องเล่าๆ จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมตรงนี้ทำให้เกิดอัตตาตัวตน นี่แหละโมหะความหลงอย่างลุ่มลึก
เรามาคลายตรงนี้ได้ มาแยกตรงนี้ได้ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจเขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีกเหมือนเดิม ยิ่งหนักกว่าเก่า เราต้องพยายามตามทำความเข้าใจแล้วก็รู้ลักษณะอาการของนิวรณธรรมต่างๆ ทำความเข้าใจกับนิวรณ์ อย่างเช่น จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ขณะที่เราตื่นตัวอยู่นี่แหละ เราก็พยายามดับเสีย
จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาทปองร้าย เราก็รู้จักควบคุมแล้วก็ให้อภัยทานอโหสิกรรม ความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็พยายามสร้างขึ้นมาใหม่ สร้างขึ้นมาบ่อยๆ จิตของเรามีความลังเล มีความสงสัย มีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักดับใช้สมถะเข้าไปดับ ไม่ใช่ว่าไปนั่งสงบเงียบอย่างเดียว ขณะที่จิตของเราเกิดนั่นแหละ
เราพยายามดับเสียอยู่กับลมหายใจบ้าง หรือจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับบ้าง พยายามดับบ่อยๆ ดับบ่อยๆ ความรู้ตัวก็จะมากขึ้น จิตของเราก็จะช้าลง ถ้าเราไม่ดับเราปล่อยให้เขาเกิดทั้งที่รู้ๆ กำลังจิตก็จะมากขึ้น เหมือนกับเอาอาหารให้กิเลส เราก็ต้องพยายามศึกษาดูให้ละเอียด เราจะมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อยากจะเอาตั้งแต่ธรรม อยากจะได้ตั้งแต่ธรรม กลัวจะไม่ได้คิด กลัวจะไม่มีความรู้ กลัวจะไม่มีปัญญา
เราพยายามคลายความหลง ตามดูขันธ์ห้า ละขันธ์ห้าแล้วก็ดับความเกิดของจิตอีกด้วย ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิดหรอก เราดับความเกิดของจิต เราดับได้ระดับไหน หยุดได้ระดับไหน ระดับกลางระดับปลายระดับต้นเหตุ ตั้งแต่เขากำลังจะเริ่มก่อตัว เราก็พยายามดับเสีย พอดับแล้วเขาก็จะนิ่ง นิ่งขึ้นๆ แล้วก็หนุนกำลังสติเข้าไปคิดไปพิจารณา เขาเรียกว่า ‘ปัญญา’ จนเป็นอัตโนมัติในการตามดูตามรู้ตามทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ ปัญญาฝ่ายสำรวจฝ่ายดับฝ่ายละฝ่ายเกิด มันก็จะตามมาเรื่อยๆ
ก็ต้องพยายามฝึกฝนตนเองเอา สร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที เรามีความขยันหมั่นเพียร มองโลกในทางที่ดี คิดดี ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนนั้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ ถ้าเราชนะตัวเราแล้วเราก็จะชนะหมด แต่ส่วนมากไม่ค่อยอยากจะชนะตัวเราเอง อยากจะไปเอาชนะตั้งแต่ภายนอกกัน
พยายามสร้างอานิสงส์ คนเราเกิดมาก็มีบุญอยู่แล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มาสร้างสะสมบุญต่อ มาสร้างสะสมอานิสงส์ต่อ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีบุญ ทุกคนก็มีบุญกันทั้งนั้นแหละถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาด้วย ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ตั้งแต่ยังไม่เกิดเสียด้วย ตั้งแต่ภพก่อนๆ แต่ยังไม่ถึงจุดหมายเท่านั้นเอง แต่ยังละกิเลสไม่หมด ยังทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์หมดจดยังไม่ได้เท่านั้นเอง เราก็ต้องพยายาม
การงานทุกวัน การทำงานทุกวันมีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี มีความเสียสละ มีความอดทนอดกลั้น ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว นั่นแหละคือตัวการปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะถูกบ้างผิดบ้างๆ ก็เป็นของธรรมดา แต่การเจริญสติเข้าไปสำรวจการสร้างความรู้ตัว พวกเราทำไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่องกัน ส่วนมากจะไม่ค่อยจะทำ อาจจะทำบ้างกระปริดกระปอยบ้างเล็กๆ น้อยๆ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความรู้สึกตัวของเราต่อเนื่องกันได้สัก 5 นาทีไหม 10 นาทีไหม จนกลายเป็นชั่วโมงจนกลายเป็นวัน วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งเรามีความรู้สึกตัวต่อเนื่องกันสัก 5 นาทีไหม อันไหนมันมากกว่ากัน ให้เราวิเคราะห์พิจารณาดู ไม่ใช่ว่าเราจะมาสร้างสติอย่างเดียวให้นั่น
การเจริญสติถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ ตามทำความเข้าใจได้ เขาก็จะเป็นมหาสติของเขาเอง เราไม่จำเป็นต้องมาสร้างเขาตลอดเวลาหรอก ต่อไปข้างหน้า เราหมั่นสร้างตั้งแต่ใหม่ๆ ออกไปแยกแยะทำความเข้าใจ แล้วก็เอา แล้วก็ละ สำรวจจิตของเราให้ได้ให้ต่อเนื่องกันให้ได้
ต่อไปข้างหน้า สติปัญญา สมาธิ ความว่าง เขาจะรักษาเราเอง ช่วงใหม่ๆ สติไม่มีความรู้ตัวไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา จิตไม่สงบเราก็พยายามทำจิตของเราให้สงบ จิตเกิดกิเลสเราก็พยายามละกิเลส ขันธ์ห้าเข้ามาเราก็ต้องทำความเข้าใจให้รู้ความจริงแล้วค่อยละเสีย นิวรณธรรมต่างๆ เราก็ทำความเข้าใจแล้วค่อยละเสีย ต่อไปข้างหน้าเขาก็จะรักษาเราเองนั่นแหละ
ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นเพียงแค่อิริยาบถ ทำไปเรื่อยๆ แต่อย่าให้ขาดอย่าให้พลั้งเผลอ สติอย่าให้คลาดสายตาของสติปัญญาของเราไปได้ จนเป็นอัตโนมัติ จนไม่ได้ฝึก ยืนเดินนั่งนอน จิตของเราก็จะอยู่ในความว่างความบริสุทธิ์ รับรู้อยู่ในกายของเรา ถ้าเราสร้างความว่าง จิตว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากกิเลส เขาก็จะอยู่ในความว่าง ความว่างนั่นแหละคือวิหารธรรมเครื่องอยู่ของจิต
เราพยายามสร้างความว่างให้มีให้เกิด หรือว่าความว่างนั่นแหละคือสมาธิ ความสงบความปกตินั่นแหละก็คือศีล ศีลสมาธิแล้วก็ปัญญา รอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ถ้าเราจะเอาจริงๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไรมากมาย ก็มีตั้งแต่รูปกับนาม กายของเรา เราก็ดูแลรักษาทำความเข้าใจกับเขาเสีย แล้วก็บริหารเขาให้ถูกทางเสีย ถึงเวลาแล้วเขาก็จะแตกดับของเขาเองนั่นแหละ เพราะว่าทุกคนเกิดมาแล้วก็เดินเข้าไปหาความเสื่อม มีความเสื่อมความสลายกลับคืนสู่สภาพเดิม ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นมาแล้วจะเดินเข้าไปหาตั้งแต่ความเจริญ มันไม่ใช่ ตั้งแต่วันเกิดนั่นแหละ มันเสื่อมตั้งแต่วันเกิดนั่นแหละ เสื่อมขึ้นกับเสื่อมลง ถึงเวลาแล้วจะเอาอะไรมาผูกมัดมันไว้ก็ไม่อยู่ มันต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม
ขณะที่ยังไม่ถึงเวลาเราก็ทำความเข้าใจกับเขาให้เรียบร้อยเสีย เราก็จะอยู่ดีมีความสุข อยู่กับสมมติใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ รู้จักขยันหมั่นเพียร รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบต่อตัวเราต่อคนอื่น ต่อส่วนรวมต่อสังคม เราก็จะอยู่ดีมีความสุขไม่เห็นแก่ตัว ก็พยายามกันนะ พยายามฝักใฝ่กัน
พระเราภิกษุสงฆ์ของเราแม่ชีของเรา หรือว่าญาติโยมของเรามีอะไรก็ให้ช่วยกัน ขยันหมั่นเพียรอย่าพากันเกียจคร้าน รู้จักตัวเอง ใช้ตัวเองให้เป็น ทำความเข้าใจกับตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเราให้ได้ รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ ส่วนการชำระสะสางกิเลสก็พยายามชำระสะสางกิเลสของตัวเราให้หมดสิ้น มันไม่หมดสิ้นวันนี้มันก็ต้องหมดสิ้นวันพรุ่งนี้
ให้มีความรักความสมัครสมานสามัคคีกัน มีอะไรก็ให้ช่วยเหลือกันเท่าที่เราจะอำนวยความสะดวกให้ได้ เรามาอยู่ร่วมกัน เรามีวิบากร่วมกันนั่นแหละเราถึงมาอยู่ร่วมกัน เป็นเครือญาติเป็นพี่เป็นพ่อเป็นแม่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ถ้าคนเราไม่มีวิบากร่วมกันก็ยากที่จะได้มาอยู่ร่วมกัน มีอะไรก็ให้ช่วยเหลือกัน อย่าไปคิดอคติ อย่าไปเพ่งโทษ พยามถ้ามีแล้วก็กำจัดออก อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข ถ้าเราเข้าใจ
สถานที่ของเราก็พร้อม สิ่งแวดล้อมเราก็พร้อมอำนวยความสะดวกให้สำหรับการประพฤติปฏิบัติ ทั้งฆราวาสญาติโยมก็มาช่วยกัน มีอะไรก็ดูแล ก็พยายามเปิดน้ำใส่ให้เต็ม เดินเข้าไปดูห้องไหนสกปรกเราก็ทำความสะอาดเสีย ห้องไหนน้ำไม่เต็มเราก็พยายามเปิดใส่ให้เต็มเสีย ไม่ใช่ไปคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคน ถ้าคนเราคิดว่าแค่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง ถ้าต่างคนก็ต่างคิดต่างคนก็ต่างไม่ทำ อยู่คนเดียวก็สกปรก อยู่คนเดียวก็ไม่มีความสุข เราก็ต้องพยายาม เป็นหน้าที่ของทุกคน
ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ถนนหนทางช่วงไหนไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเราก็ทำเสีย ทำช่วยกันนั่นแหละ กว่าจะได้มาเป็นสถานที่น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ มันก็ต้องผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านความร่วมมือร่วมใจของทุกคน หล่อหลอมช่วยกันทำ หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงเสาหลักเป็นสะพานหลักให้ทุกคนได้มาอยู่ร่วมกันได้มาดูแลรักษา เป็นสมบัติของทุกคน เป็นสมบัติของแผ่นดิน มิใช่เป็นของคนใดคนหนึ่ง
เรามาอาศัยสมมติตรงนี้อยู่ สักวันสักเวลาเราก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติ ซึ่งมองด้วยตาเนื้อ ลึกลงไปเราก็มองด้วยตาสติปัญญา เห็นการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า แล้วก็ชำระสะสาง ทำความเข้าใจกับเขาให้เรียบร้อย ให้ได้รอบรู้ทั้งภายในรอบรู้ทั้งภายนอก ไปอยู่ที่ไหนเราก็จะไม่ได้เก้อได้เขิน ไปอยู่ที่ไหนเราก็จะมีตั้งแต่ความองอาจ มีแต่ความกล้าหาญ รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง มีความเข้มแข็งตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง