หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 026
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 026
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ตามความเป็นจริงเราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ รู้ตัวรู้กายรู้การหายใจเข้าออก แล้วก็รู้ความปกติของจิต รู้อาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเรา เราเสียสละเสียเวลามาเพื่อที่จะมาศึกษามาดูมาทำความเข้าใจกับจิตของเรากับกายของเรา
อะไรคือสติที่เราสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้ ไปคิดเอาอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกคนก็ต้องการที่จะแสวงหาความสงบความสะอาดความบริสุทธิ์ของจิตของตัวเราเอง แม้ตั้งแต่การเจริญสติการสร้างความระลึกรู้ตัวเป็นอย่างไร เราสร้างขึ้นมาต่อเนื่องไหม ไม่ใช่ว่านึกเอาแบบต่อเนื่อง เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้กาย
ต่อไปข้างหน้าก็รู้อาการของจิต รู้ลักษณะของความปกติ จิตจะก่อตัวส่งออกไปภายนอก เราควบคุมจิตของเราได้หรือไม่ แต่เวลานี้จิตของเรายังส่งออกไปข้างนอกอยู่ ขันธ์ห้าหรือว่าความคิดยังผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เรารู้อยู่ว่าเราคิดแล้วก็รู้อยู่ว่าเราทำ
เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปคลาย เข้าไปสังเกต หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะเป็นกุศล แต่เราต้องคลายความหลงเสียก่อน ถ้าเราคลายได้เราแยกจิตออกจากความคิดได้เมื่อไหร่ เราถึงจะรู้ว่าเราหลงความคิดหลงขันธ์ห้าทำให้เกิดอัตตาตัวตน
ตราบใดที่เราเจริญสติไม่ต่อเนื่อง ถ้าเรามาสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องเราถึงจะรู้ว่าสติก่อนๆ มานั้นเป็นแค่สติระดับของสมมติเท่านั้นเอง ก่อนที่จะทำให้ต่อเนื่องได้ เราต้องมีความขยัน ความขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรม
ขณะที่เราบำเพ็ญเจริญสติอยู่นี้ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในเรื่องของราคะ รูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ ถ้ามีเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาทคิดปองร้าย เราก็รู้จักควบคุมรู้จักให้อภัยอโหสิกรรม ความระลึกรู้ตัว เราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ เริ่มอยู่บ่อยๆ
เราตัดความลังเล ความกังวลสงสัยต่างๆ ที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้า พวกนี้แหละมันมาปรุงแต่งจิต ใช้สมถะเข้าไปดับ อยู่กับลมหายใจ หรือว่าอยู่กับการเดิน ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มีความรู้ ปัญญาฝ่ายดับกับการสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเรายังทำไม่ค่อยจะต่อเนื่อง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง ความระลึกรู้ตัวเราพลั้งเผลอสักกี่ครั้ง ส่วนมากมันจะไม่พลั้งเผลอได้ยังไง เพราะว่ายังไม่ได้สร้างเลย เราต้องสร้างขึ้นมาแล้วไปทำความเข้าใจ ช่วงใหม่ๆ กำลังความระลึกรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่อง สังเกตจิตกับความคิดแยกกันไม่ได้ ส่วนมากก็มีตั้งแต่พลั้งเผลอ พลั้งเผลอบ่อยๆ มีตั้งแต่จะเป็นจะไปนึกเอาไปคิดเอา
บางทีจิตก็สงบอยู่ แต่ความรู้ตัว แต่สติความระลึกรู้จิตไม่มี ก็เปรียบเสมือนกับเรือที่ไม่มีคนขับลอยเคว้งคว้าง เดี๋ยวก็ไปชนอันนั้นบ้างชนอันนี้บ้าง ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อยหมด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย จิตต้องรับรู้ สติต้องคอยดู อันนี้สำหรับบุคคลที่มีปัญญารอบรู้ในดวงจิต รู้จนจิตของเรารับรู้ แต่เวลานี้เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังทำกระท่อนกระแท่น การดับการควบคุม การทำความเข้าใจ
ลักษณะของจิตที่สงบจากความคิดสงบจากอารมณ์เป็นอย่างไร ลักษณะของสมาธิเป็นอย่างไร ลักษณะของศีลเป็นอย่างไร เราต้องเข้าถึงความหมาย ให้รู้ความหมายในสิ่งต่างๆ ไม่ใช่ว่าฝึกหัดไปแบบโดยไม่รู้อะไร ฝึกก็ฝึกไปอย่างนั้น เดินก็เดินไปอย่างนั้น นั่งก็นั่งไปอย่างนั้น อันนั้นเรียกว่า ‘ฝึกด้วยความหลง’ ทั้งที่หลงอยู่แล้วก็มาฝึกด้วยความหลงอีก หลงว่าตัวเราได้ปฏิบัติได้เป็นนักปฏิบัติ อัตตาของนักปฏิบัติมันก็มีขึ้นอีก ทั้งอัตตาของปกติก็ขันธ์ห้าก็มีอยู่แล้ว ขันธ์ห้าของนักปฏิบัติก็เพิ่มขึ้นมาอีกก็เลยเป็น 10 10 ขันธ์ 10 กอง ปฏิบัติเคร่งเข้าไปอีก เพิ่มเข้าไปอีก 5 หนักเกินพิกัดแล้วทีนี้
ถ้าเราทำความเข้าใจรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงแล้วก็ปล่อยแล้วก็วาง จะปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็เพื่อที่จะทำจิตของเราให้สะอาด ชำระสะสางกิเลสให้หมดจด ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะอย่างไรก็ต้องพยายามพากันพิจารณาเอา
อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง คนที่จะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้ เพียงแค่รู้จักแนวทางเท่านั้นแหละ ก็ไปสร้างบารมีหมั่นสำรวจดูตัวเรา แต่ละวันเราได้สร้างอานิสงส์อะไรไว้บ้าง ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรม ไม่รู้จักชำระสะสางกิเลส มันก็ยากอยู่เหมือนกัน
ถ้าจิตไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก จิตไม่เกิดเขาก็นิ่งเขาก็ว่าง เพราะว่าธรรมชาติของจิตนั้นไม่มีอะไร มีตั้งแต่ความว่าง ความว่างนั่นแหละคือวิหารธรรม คือเครื่องอยู่ของจิต แต่เวลานี้จิตของเรายังหลงอยู่ นอกจากบุคคลที่จะเข้าใจเท่านั้นแหละถึงจะเข้าถึงตรงจุดนี้
ทุกคนก็ต้องคิดว่าคนไม่ตายก็ต้องคิด นี่แหละแต่ความคิดของพระพุทธองค์นั้นเป็นความคิดที่เกิดจากสติเกิดจากปัญญา ไม่ใช่ว่าตัวจิต หรือขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต จิตของเราต้องนิ่งรับรู้ สติไปทำหน้าที่ไปวิเคราะห์พิจารณา เป็นปัญญาเข้าไปทำแทน ปัญญาฝ่ายดับฝ่ายควบคุมจิต ฝ่ายชำระสะสางกิเลส ฝ่ายสังเกตของเรายังไม่เต็มที่ มันก็ยากที่จะเดินปัญญาขั้นสูงได้ ตามทำความเข้าใจกับขันธ์ห้าได้ ทำความเข้าใจกับนิวรณ์ละนิวรณ์ ทำความเข้าใจกับมลทิน ละมลทิน
แต่ก็ยังโชคดีที่ยังพากันฝักใฝ่สนใจอยู่ในบุญอยู่ อยู่ในผลบุญผลทานอยู่ มีโอกาสได้ทำบุญได้ทำทานกันอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องพยายามกัน ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ อะไรที่จะเกิดประโยชน์ อะไรที่จะเกิดบุญ เราต้องพยายามทำ ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ เราก็จะอยู่กับบุญ
กายของเราก็สร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ไม่เบียดเบียนคนอื่น วาจาของเราก็รู้จักสำรวม สำรวมวาจา ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด ไม่อคติ ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ดี สิ่งไหนที่เป็นอกุศลเราก็ไม่พูด สิ่งที่เป็นกุศลหรือว่าเป็นประโยชน์เราก็พูดประโยชน์ วาจาก็เป็นบุญ
ส่วนใจนั้นเราก็รู้จักควบคุม ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ มันจะเป็นชั้นๆๆ ต่อไปข้างหน้าก็คลายความหลง หรือว่าคลายขันธ์ห้า ตัวนี้แหละมันเป็นของละเอียด มันก็ยากมันคลายช้า ถ้ากำลังสติไม่เพียงพอนี่คลายช้า ถ้าเราแยกได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจได้อีก มันก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก อันนี้สำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเดินได้ทะลุปรุโปร่งในเรื่องการเจริญวิปัสสนาชำระสะสางกิเลส แต่ละชั้นแต่ละขั้นแต่ละตอน แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามเอา
จิตนี่ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาก็ทั้งเกิดด้วยวิ่งด้วย หลอกตัวเองอีกด้วย ทั้งสติปัญญามันก็หลอกเข้าข้างตัวเอง จิตมันก็หลอกเข้าข้างตัวเอง โดนขันธ์ห้ามาหลอกแล้วก็มันก็ไปด้วยกัน แต่กำลังสติของเราสร้างขึ้นมา ถ้าเราแยกได้ตามทำความเข้าใจได้ หมั่นพร่ำสอนจิตของเราอยู่ตลอดเวลา จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงเขาก็ไม่เกิดหรอก เขาไม่เอาหรอกความทุกข์ รู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเข้าไปเป็นทาสของอารมณ์ทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา เพราะว่ามันเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา
ช่วงที่ยังแยกไม่ได้ทำความเข้าใจไม่ได้ นี่แน่นอน จิตของเราหลงวิ่งเกิดอยู่ตลอดเวลา มันก็หาข้ออ้าง หาทิฏฐิหาอะไรมาอ้างทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะไม่ให้ตกกระแสธรรม ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
อะไรคือสติที่เราสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้ ไปคิดเอาอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกคนก็ต้องการที่จะแสวงหาความสงบความสะอาดความบริสุทธิ์ของจิตของตัวเราเอง แม้ตั้งแต่การเจริญสติการสร้างความระลึกรู้ตัวเป็นอย่างไร เราสร้างขึ้นมาต่อเนื่องไหม ไม่ใช่ว่านึกเอาแบบต่อเนื่อง เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้กาย
ต่อไปข้างหน้าก็รู้อาการของจิต รู้ลักษณะของความปกติ จิตจะก่อตัวส่งออกไปภายนอก เราควบคุมจิตของเราได้หรือไม่ แต่เวลานี้จิตของเรายังส่งออกไปข้างนอกอยู่ ขันธ์ห้าหรือว่าความคิดยังผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เรารู้อยู่ว่าเราคิดแล้วก็รู้อยู่ว่าเราทำ
เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปคลาย เข้าไปสังเกต หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะเป็นกุศล แต่เราต้องคลายความหลงเสียก่อน ถ้าเราคลายได้เราแยกจิตออกจากความคิดได้เมื่อไหร่ เราถึงจะรู้ว่าเราหลงความคิดหลงขันธ์ห้าทำให้เกิดอัตตาตัวตน
ตราบใดที่เราเจริญสติไม่ต่อเนื่อง ถ้าเรามาสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องเราถึงจะรู้ว่าสติก่อนๆ มานั้นเป็นแค่สติระดับของสมมติเท่านั้นเอง ก่อนที่จะทำให้ต่อเนื่องได้ เราต้องมีความขยัน ความขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรม
ขณะที่เราบำเพ็ญเจริญสติอยู่นี้ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในเรื่องของราคะ รูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ ถ้ามีเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาทคิดปองร้าย เราก็รู้จักควบคุมรู้จักให้อภัยอโหสิกรรม ความระลึกรู้ตัว เราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ เริ่มอยู่บ่อยๆ
เราตัดความลังเล ความกังวลสงสัยต่างๆ ที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้า พวกนี้แหละมันมาปรุงแต่งจิต ใช้สมถะเข้าไปดับ อยู่กับลมหายใจ หรือว่าอยู่กับการเดิน ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มีความรู้ ปัญญาฝ่ายดับกับการสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเรายังทำไม่ค่อยจะต่อเนื่อง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง ความระลึกรู้ตัวเราพลั้งเผลอสักกี่ครั้ง ส่วนมากมันจะไม่พลั้งเผลอได้ยังไง เพราะว่ายังไม่ได้สร้างเลย เราต้องสร้างขึ้นมาแล้วไปทำความเข้าใจ ช่วงใหม่ๆ กำลังความระลึกรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่อง สังเกตจิตกับความคิดแยกกันไม่ได้ ส่วนมากก็มีตั้งแต่พลั้งเผลอ พลั้งเผลอบ่อยๆ มีตั้งแต่จะเป็นจะไปนึกเอาไปคิดเอา
บางทีจิตก็สงบอยู่ แต่ความรู้ตัว แต่สติความระลึกรู้จิตไม่มี ก็เปรียบเสมือนกับเรือที่ไม่มีคนขับลอยเคว้งคว้าง เดี๋ยวก็ไปชนอันนั้นบ้างชนอันนี้บ้าง ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อยหมด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย จิตต้องรับรู้ สติต้องคอยดู อันนี้สำหรับบุคคลที่มีปัญญารอบรู้ในดวงจิต รู้จนจิตของเรารับรู้ แต่เวลานี้เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังทำกระท่อนกระแท่น การดับการควบคุม การทำความเข้าใจ
ลักษณะของจิตที่สงบจากความคิดสงบจากอารมณ์เป็นอย่างไร ลักษณะของสมาธิเป็นอย่างไร ลักษณะของศีลเป็นอย่างไร เราต้องเข้าถึงความหมาย ให้รู้ความหมายในสิ่งต่างๆ ไม่ใช่ว่าฝึกหัดไปแบบโดยไม่รู้อะไร ฝึกก็ฝึกไปอย่างนั้น เดินก็เดินไปอย่างนั้น นั่งก็นั่งไปอย่างนั้น อันนั้นเรียกว่า ‘ฝึกด้วยความหลง’ ทั้งที่หลงอยู่แล้วก็มาฝึกด้วยความหลงอีก หลงว่าตัวเราได้ปฏิบัติได้เป็นนักปฏิบัติ อัตตาของนักปฏิบัติมันก็มีขึ้นอีก ทั้งอัตตาของปกติก็ขันธ์ห้าก็มีอยู่แล้ว ขันธ์ห้าของนักปฏิบัติก็เพิ่มขึ้นมาอีกก็เลยเป็น 10 10 ขันธ์ 10 กอง ปฏิบัติเคร่งเข้าไปอีก เพิ่มเข้าไปอีก 5 หนักเกินพิกัดแล้วทีนี้
ถ้าเราทำความเข้าใจรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงแล้วก็ปล่อยแล้วก็วาง จะปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็เพื่อที่จะทำจิตของเราให้สะอาด ชำระสะสางกิเลสให้หมดจด ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะอย่างไรก็ต้องพยายามพากันพิจารณาเอา
อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง คนที่จะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้ เพียงแค่รู้จักแนวทางเท่านั้นแหละ ก็ไปสร้างบารมีหมั่นสำรวจดูตัวเรา แต่ละวันเราได้สร้างอานิสงส์อะไรไว้บ้าง ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรม ไม่รู้จักชำระสะสางกิเลส มันก็ยากอยู่เหมือนกัน
ถ้าจิตไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก จิตไม่เกิดเขาก็นิ่งเขาก็ว่าง เพราะว่าธรรมชาติของจิตนั้นไม่มีอะไร มีตั้งแต่ความว่าง ความว่างนั่นแหละคือวิหารธรรม คือเครื่องอยู่ของจิต แต่เวลานี้จิตของเรายังหลงอยู่ นอกจากบุคคลที่จะเข้าใจเท่านั้นแหละถึงจะเข้าถึงตรงจุดนี้
ทุกคนก็ต้องคิดว่าคนไม่ตายก็ต้องคิด นี่แหละแต่ความคิดของพระพุทธองค์นั้นเป็นความคิดที่เกิดจากสติเกิดจากปัญญา ไม่ใช่ว่าตัวจิต หรือขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต จิตของเราต้องนิ่งรับรู้ สติไปทำหน้าที่ไปวิเคราะห์พิจารณา เป็นปัญญาเข้าไปทำแทน ปัญญาฝ่ายดับฝ่ายควบคุมจิต ฝ่ายชำระสะสางกิเลส ฝ่ายสังเกตของเรายังไม่เต็มที่ มันก็ยากที่จะเดินปัญญาขั้นสูงได้ ตามทำความเข้าใจกับขันธ์ห้าได้ ทำความเข้าใจกับนิวรณ์ละนิวรณ์ ทำความเข้าใจกับมลทิน ละมลทิน
แต่ก็ยังโชคดีที่ยังพากันฝักใฝ่สนใจอยู่ในบุญอยู่ อยู่ในผลบุญผลทานอยู่ มีโอกาสได้ทำบุญได้ทำทานกันอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องพยายามกัน ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ อะไรที่จะเกิดประโยชน์ อะไรที่จะเกิดบุญ เราต้องพยายามทำ ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ เราก็จะอยู่กับบุญ
กายของเราก็สร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ไม่เบียดเบียนคนอื่น วาจาของเราก็รู้จักสำรวม สำรวมวาจา ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด ไม่อคติ ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ดี สิ่งไหนที่เป็นอกุศลเราก็ไม่พูด สิ่งที่เป็นกุศลหรือว่าเป็นประโยชน์เราก็พูดประโยชน์ วาจาก็เป็นบุญ
ส่วนใจนั้นเราก็รู้จักควบคุม ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ มันจะเป็นชั้นๆๆ ต่อไปข้างหน้าก็คลายความหลง หรือว่าคลายขันธ์ห้า ตัวนี้แหละมันเป็นของละเอียด มันก็ยากมันคลายช้า ถ้ากำลังสติไม่เพียงพอนี่คลายช้า ถ้าเราแยกได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจได้อีก มันก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก อันนี้สำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ถึงจะเดินได้ทะลุปรุโปร่งในเรื่องการเจริญวิปัสสนาชำระสะสางกิเลส แต่ละชั้นแต่ละขั้นแต่ละตอน แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามเอา
จิตนี่ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาก็ทั้งเกิดด้วยวิ่งด้วย หลอกตัวเองอีกด้วย ทั้งสติปัญญามันก็หลอกเข้าข้างตัวเอง จิตมันก็หลอกเข้าข้างตัวเอง โดนขันธ์ห้ามาหลอกแล้วก็มันก็ไปด้วยกัน แต่กำลังสติของเราสร้างขึ้นมา ถ้าเราแยกได้ตามทำความเข้าใจได้ หมั่นพร่ำสอนจิตของเราอยู่ตลอดเวลา จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงเขาก็ไม่เกิดหรอก เขาไม่เอาหรอกความทุกข์ รู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเข้าไปเป็นทาสของอารมณ์ทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา เพราะว่ามันเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา
ช่วงที่ยังแยกไม่ได้ทำความเข้าใจไม่ได้ นี่แน่นอน จิตของเราหลงวิ่งเกิดอยู่ตลอดเวลา มันก็หาข้ออ้าง หาทิฏฐิหาอะไรมาอ้างทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะไม่ให้ตกกระแสธรรม ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง