หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 035

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 035
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 035
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ตามความเป็นจริง เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวหมั่นสำรวจกายสำรวจจิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้เกิดความเคยชินให้เป็นธรรมชาติที่สุด

การหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้าแล้วก็หายใจออก คนเราเนื่องอยู่ด้วยลมหายใจ ถ้าเราหายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย แต่คนเราขาดการวิเคราะห์ขาดการพิจารณา ตั้งแต่เกิดมานั่นแหละ พอเกิดมาปุ๊บเราก็หายใจปั๊ป แต่เราขาดความรู้ว่าการหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร รู้ที่ต่อเนื่องเป็นอย่างไร

เพียงแค่ง่ายๆ ของง่ายๆ เราจะไปเอาตั้งแต่ของยากๆ ไปดิ้นรนแสวงหาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักทำ ไม่รู้จักสร้างความรู้ตัว รู้กายแล้วก็รู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต รู้ลักษณะของความสงบ เรารู้ตั้งแต่ชื่อของเขาว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่เราต้องรู้หน้าตา รู้อาการรู้ลักษณะของเขาด้วยถึงจะเข้าถึง แล้วก็ตามทำความเข้าใจได้ด้วยว่า ทำไมจิตของเราถึงเป็นทาสของกิเลส จิตของเราถึงเป็นทาสของอารมณ์ ทำไมจิตของเราถึงหลง เราอาจจะว่าเราไม่หลง ถ้าเราได้มาเจริญสติที่ต่อเนื่องกันแล้ว เราถึงจะรู้ว่าเราไม่มีสติที่จะเข้าไปรู้จิตของเราได้เลย

สติแบบโลกๆ ก็อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ สติในหลักธรรมแล้วเราต้องทำต้องสร้างต้องรักษา ต้องรู้จักเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ จิตจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมจิตของเรา เรามีกิเลสมากน้อยขนาดไหน เราพยายามดูรู้ให้ทัน แล้วก็รู้จักแก้ไข รู้จักปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา

ถ้าเราเข้าใจจะทำของยากให้เป็นของง่าย ทำของง่ายให้เหมือนกับไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างเราไม่เอา เราละความอยากออกจากจิตของเราให้หมด ดับความอยาก ทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย ทำหน้าที่ให้ถูกต้องเสีย

สำรวจกายของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาหูจมูกลิ้นกายซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ดูจิตของเรา หรือว่าวิญญาณนั่นแหละ ดวงจิตของเรานั่นแหละ เวลานี้เขาทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วยทั้งยึดด้วย ทั้งเป็นทาสของอารมณ์ด้วยสารพัดอย่าง ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเราแล้วไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย เราต้องฝึกฝนขนาบแล้วขนาบอีกๆ ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของกิเลส ไม่ให้จิตของเราหลง แล้วก็รู้จักเจริญพรหมวิหาร เจริญสร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้นให้เต็มที่

ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละ การให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี มีความจริงใจต่อตัวเราเอง มีความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความแข็งกระด้างว่านอนสอนง่าย ใช้ตัวเองให้ถูก ใช้ตัวเองให้เป็น อะไรถูกอะไรผิด อะไรควร อะไรกุศลอะไรคืออกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ

คำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร ‘อนัตตา’ เป็นอย่างไร เราต้องพยายามเจาะให้รู้เท่าทัน อริยสัจสี่เป็นอย่างไร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเป็นอย่างไร ทุกข์ กายของเรานี่ก็ก้อนทุกข์ จิตของเรานี่แหละ มันเกิดๆ ดับๆ มันปรุงแต่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ นั่นแหละสมุทัยที่ส่งออกไปภายนอก เขาเรียกว่า ‘ทุกข์’

เราควบคุมจิตของเราได้ระดับไหน เพียงแค่ความสงบระงับเอาไว้อันนี้ก็เปรียบเสมือนกับหินทับหญ้า หรือสมถะภาวนา ถ้าเราหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า คลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ ตามทำความเข้าใจให้จิตรับรู้อยู่ในความว่าง เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ว่าเขาเกิดๆ ดับๆ มันไม่มีประโยชน์สาระอะไร อันนี้มีกันทุกคน มีกันทุกคนหมด

ถ้าสังเกตไม่แยบคายจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าถึงตรงนี้ สังเกตให้แยบคายถึงวาระเวลาเขาจะแยกออกจากกัน อวิชชาก็หาย วิชาก็ผุดขึ้นมา สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ เพียงแค่เริ่มต้น ตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องแสวงหา ต้องทำความเข้าใจ เพราะว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของคนใดเป็นเรื่องของคนหนึ่ง เป็นเรื่องของตัวเราเอง ทุกคนที่จะเดินให้ถึงจุดหมายคือ ความหลุดพ้น

เราเข้าใจวิธี เราเข้าใจแนวทางแล้วก็หมั่นทำในใจ หมั่นสำเหนียกอยู่ในใจทุกอิริยาบถ จนดูจนรู้ จิตจะเกิดส่งออกไปภายนอกเราก็รู้จักดับ จิตจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ความคิดผุดขึ้นมาเราก็ตามทำความเข้าใจ ดูให้จิตรับรู้ว่าเรื่องอะไรบ้าง ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร

อะไรคือธาตุสี่ อะไรคือดินน้ำลมไฟ อะไรคือนิวรณธรรม นิวรณ์ห้าเราต้องรู้ให้หมดทุกอย่าง อะไรคือมลทิน จิตของเราเกิดความอิจฉาริษยาหรือไม่ จิตของเราเกิดความตระหนี่เหนียวแน่นหรือไม่ สารพัดอย่างที่เราจะเข้าไปแก้ไขตัวเราเอง มีให้เป็นทำให้เป็นเอาให้เป็น ไม่ให้จิตเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว แต่คนทั่วไป ทั้งจิตเกิดความอยากด้วย ทั้งทะเยอทะยานอยากด้วย ทั้งอยากด้วยทั้งหวังด้วยทั้งยึดด้วย มันทุกข์อยู่ในตัวเลย

จิตนี้ก็แปลก ถ้าคนเราขาดการฝึกหัดปฏิบัติเขาก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ เขาก็วิ่งอยู่อย่างนั้นแหละ เขาก็หลงอยู่อย่างนั้นแหละ ทั้งความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ทั้งจิตของเราก็กระโดดเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียวกันไปด้วยกัน กำลังสติของเราต้องตามแยกตามทำความเข้าใจ ตามดูตามรู้หาเหตุหาผล จนจิตรู้ความจริงแล้วเขาถึงจะคลายเขาถึงจะเบื่อหน่าย

ถ้าทำอย่างพวกเรา ทำเล็กๆ น้อยๆ มันก็ได้แค่ความสงบ ความสงบบ้างไม่ได้บ้าง มันก็แค่นั้น เดินปัญญาไม่ได้เด็ดขาด ถ้าจะให้เดินปัญญาให้ได้ ต้องขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน หมั่นดูหมั่นรู้ๆ อะไรคือสติ อะไรคือความระลึกรู้ตัว อะไรคือจิต ลักษณะของจิต ลักษณะของความว่าง ลักษณะของความคิด เข้าปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร จิตเกิดความอยากส่งออกไปข้างนอกสักกี่ครั้ง

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจิตของเราส่งไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรมาทำให้จิตของเราเกิด ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอไหม เราต้องขยันหมั่นเพียรในการสำรวจตรวจตราดูอยู่จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ กำลังความระลึกรู้ตัวสติไม่ต่อเนื่อง เราก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง อยู่คนเดียวเราก็ระลึกรู้ลมหายใจ ระลึกรู้กาย ระลึกรู้จิต เวลาจะก้าวจะเดินก็สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การเดิน

ใหม่ๆ ก็ฝึก ถ้าแยกแยะทำความเข้าใจได้ ตามทำความเข้าใจได้ ไม่เกียจคร้าน สติของเราก็จะเป็นมหาสติ จนกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงจิต รอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ในโลกธรรม เอาไปใช้กับสมมติได้ตลอดเวลา ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจนถึงจุดหมายปลายทางได้

ถ้าเราเพียงแค่ทำเล็กๆ น้อยๆ มันก็ได้เล็กๆน้อยๆ นั่นแหละ มันไม่ได้มากหรอก แต่ก็อย่าไปทอดทิ้งไม่เหลือวิสัย ถ้าถึงวาระเวลาแล้วอานิสงส์บารมีของเราเต็มมันก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง ตราบใดที่เรายังฝักใฝ่ ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ หมั่นเดิน ถ้าเรามีสติละลึกรู้ตัวอยู่ ยืนเดินนั่งนอนนั่นแหละคือการปฏิบัติ ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถเท่านั้นเอง สติปัญญา ความว่างความบริสุทธิ์เขาก็จะรักษาเรา ถ้าถึงวาระ

ใหม่ๆ สติไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา ปัญญาไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา ความว่างไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา รู้จักดูแลรักษาเขาประคับประคองเขา ถึงวาระเวลาแล้วเขาก็จะกลับมารักษาเราเองนั่นแหละ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสของกิเลสมันไม่ดีมันเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เขาก็จะอยู่ในความสงบความสุข ความว่าง ว่างที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างที่ปราศจากกิเลส ปราศจากความทะเยอทะยานอยาก เป็นความสุขที่ถาวร ความสุขข้างนอกเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีตามสภาพตามสภาวะของสมมติ เราก็ได้เองได้ทั้งทรัพย์ภายนอกได้ทั้งทรัพย์ภายใน

ถ้าเราไม่ทำแล้ว ใครเขาจะทำให้ล่ะ เราก็ต้องพยายามทำพยายามสร้างกันเอานะ อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง แต่ละวันก็เล่าของเก่านี่แหละ ไม่ได้เล่าของใหม่หรอก ก็เล่าของเก่านี่แหละ ขึ้นมาเล่าเป็น 10 20 ปี แต่พวกเรายังทำกันไม่ได้ต่อเนื่อง จะไปเอาตั้งแต่ผลเอาตั้งแต่ปลายเหตุ แต่เริ่มต้นตั้งแต่การเจริญสติตั้งแต่ลุกขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่รู้ตัวก็ยังทำกันไม่ได้

แม้แต่การหายใจเข้าออกก็ยังรู้ไม่ต่อเนื่อง จะไปเอาตั้งแต่นั่น ตั้งแต่ความสะอาดความบริสุทธิ์ของจิต ความหลุดพ้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราก็ต้องเริ่มต้นสำรวจตรวจตราดูตัวเรา สมมติของเราราบรื่นไหม บริบูรณ์ไหม อะไรติดขัดไหม ภาระอะไรที่มันยังจะต้องแก้ไขปรับปรุง เรามีความขยันหมั่นเพียรหมั่นชำระสะสางกิเลสของเราหรือไม่ เราก็ต้องพยายามน้อมพิจารณาแก้ไขอยู่ตลอดเวลาแล้วก็ทำ เราก็เจริญสติให้ต่อเนื่องกันไหม

กิเลสต่างๆ มันเป็นอย่างไร กิเลสหยาบหรือว่ากิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นจากภายในใจของเราโดยตรง หรือว่าเหตุเกิดจากข้างนอกมาทำให้ใจของเรามันเกิด หรือว่าเกิดขึ้นมาโดยอาการของขันธ์ห้า เราจำแนกแจกแจงได้ไหม ปัจจุบันขณะตื่นตัวอยู่นี่กิเลสมันมาหลอกเราได้อย่างไร เราทำความเข้าใจให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว บางทีมันเล่นงานเราขณะที่เราตื่นตัวไม่ได้ มันยังไปเล่นงานเราอยู่ในนิมิตอีก สารพัดอย่างที่มันจะเข้ามาเล่นงาน

บางทีจิตก็หลอกจิต จิตหลอกจิตเป็นอย่างไร ขันธ์ห้ามาหลอกจิตเป็นอย่างไร สติมันหลอกตัวเองเป็นอย่างไร มันหลายอย่างสลับซับซ้อนกันมากทีเดียว ถ้าเราไม่เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่ละวันๆ จิตของเรามันเกิด เราดับความเกิดได้สักกี่เรื่อง เราดับได้ระดับไหน ระดับต้นเหตุ ระดับกลางเหตุ ระดับปลายเหตุ

ระดับต้นเหตุตั้งแต่มันเริ่มก่อตัวเราก็ดับ เราละเราดับทีนั้นทีนี้ มันก็บั่นกำลังของมัน ไม่ให้มันเกิด เอาสติปัญญาไปเกิดแทน หรือเราดับภายในไม่ได้ เราดับช่วงกลางช่วงมันเกิด มันออกแสดงออกทางกายแล้วหรือยัง แสดงออกทางวาจาแล้วหรือยัง ถ้าออกทางกายทางวาจาแล้ว เราก็รู้จักควบคุมกายรู้จักควบคุมวาจา ถ้าเราควบคุมกายควบคุมวาจาไม่ได้ เราก็ใช้ปัญญาหลบหลีกเสียก่อน อันนี้ไม่เลย ปล่อยให้มันเกิดอย่างเดียว สารพัดเรื่องที่มันจะวิ่งที่มันจะหลอก อย่าพากันมัวเมาเล่น ต้องขยันหมั่นเพียรสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นเต็มที่ ก็ต้องพยายามเอา

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง