หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 037

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 037
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 037
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยแล้วก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุดนิ่ง ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกก็จะมีความรู้สึกรับรู้ที่ชัดเจน ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละให้ต่อเนื่อง

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกรับรู้สติของเราก็จะตั้งมั่นขึ้น ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไปเราก็พยายามสร้างขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็สร้างขึ้นมาใหม่ ก็จะเกิดความเคยชิน

แต่คนส่วนมากก็จะไม่ค่อยจะได้สร้างกัน คิดก็คิดไปเลย ทำก็ทำไปเลย จิตก็เลยเกิดส่งออกไปข้างนอกอยู่ตลอดเวลา บางทีความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตกับความคิดเขารวมกันไป เราเลยรู้อยู่เพียงแค่ว่าเราคิด มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่

ถ้าเรามาสร้างความรู้สึกบ่อยๆ เราก็จะเข้าใจในเรื่องการเกิดการดับของจิต เข้าใจในเรื่องการเกิดการดับของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ทุกคนก็มีใจที่ฝักใฝ่ในบุญในกุศล อยากจะสร้างบุญสร้างกุศลกัน ทุกคนๆ ก็มีจิตที่น้อมเข้ามาเพื่อที่จะสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น พวกเราได้สร้างบุญอยู่ตลอดเวลา ได้ทำบุญอยู่ตลอดเวลา

โอกาสก็เปิดให้ ทางด้านสมมติก็ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ ก็มีโอกาส เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในบุญในบาปในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านทุกข์ผ่านสุขมามากต่อมาก ทีนี้เราก็พยายามมาเจริญสติเข้าไปทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ เราไม่ได้ทำด้วยอารมณ์ทำด้วยอำนาจของกิเลส ให้ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา หาเหตุหาผล รู้เหตุรู้ผล สักวันหนึ่งเราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง

การควบคุมจิตเราควบคุมได้ในระดับไหนบ้าง ระดับภายในตั้งแต่ยังไม่เกิด ระดับก่อตัวแล้วเกิดแล้ว ควบคุมไม่ให้แสดงออกทางกาย หรือว่าจะแสดงออกทางวาจา เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเป็นชั้นๆ ลึกลงไปก็ควบคุมตั้งแต่ความคิด ควบคุมอารมณ์ที่ก่อเกิดขึ้นที่จิตของตัวเราเอง ทำบ่อยๆ ควบคุมบ่อยๆ แล้วก็หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ รู้เห็นตามความเป็นจริง จิตก็จะปล่อยก็จะวางได้เร็วได้ไวขึ้น

เพียงแค่พวกเราทำไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่านั้นเอง บางคนบางท่านจิตก็สงบดี แต่ขาดสติเข้าไปวิเคราะห์ ก็เปรียบเสมือนกับเรือที่ไม่มีคนขับก็ลอยเคว้งคว้างลอยไปที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ลอยไปชนอันนั้นบ้างอันนี้บ้าง อยากได้สิ่งนั้นบ้าง อยากได้สิ่งนี้บ้าง แต่จิตไม่ยึดก็มี ก็ไปด้วยความทะเยอทะยานอยาก แต่ความยึดมั่นถือมั่นไม่มีก็มี

นี่แหละถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ จะเอาจะมีจะเป็นก็เอามาด้วยสติเอามาด้วยปัญญา ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา จิตนี่ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็จะส่งออกไปภายนอกอยู่อย่างนั้น ทั้งส่งออกไปภายนอกทั้งหลงด้วยทั้งยึดด้วย

ถ้าเรามาเจริญสติ เพียงแค่คำว่า ‘ความระลึกรู้ตัว’ เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมาเสียก่อน สร้างขึ้นมาบ่อยๆ พลั้งเผลอก็สร้างขึ้นมาบ่อยๆ ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราไม่ให้รับความสงบ จิตของเรามีความกำหนัดเรื่องราคะ รูปรสกลิ่นเสียงเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเสีย รู้จักละเสีย จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาทให้ใคร เราก็พยายามอโหสิกรรมให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี คิดดี

ความระลึกรู้สึกตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามสร้างขึ้นมาใหม่ สร้างขึ้นมาบ่อยๆ จิตของเรามีความฟุ้งซ่านไม่ว่าเรื่องไหนก็ช่าง เราก็พยายามดับพยายามละ จิตของเรามีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็พยายามดับ ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำหน้าที่ทำสมมติให้ดีด้วย

สมมติความเป็นอยู่ภายนอกเราก็ต้องพยายามทำให้ดี ถ้าปากท้องของเรายังมีความหิวโหยอยู่ มันก็ยากที่จะเข้าไปประพฤติปฏิบัติจิตได้ ถ้าอันนั้นก็ยังไม่เรียบร้อย อันนี้ก็ยังไม่เรียบร้อย เราต้องพยายามทำให้เรียบร้อยเสีย มีความพอใจยินดีในสิ่งที่เรามีในสิ่งที่เราเป็น แล้วก็หมั่นสนใจแก้ไขอยู่ปัจจุบันให้ดี

ส่วนภายในซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เรารู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม แก้ไขได้ทั้งภายนอกทั้งภายใน วิมุตติกับสมมติเขาก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละ ไม่ได้หนีไปไหนหรอก ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน เพียงแค่เราทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสียเราก็จะอยู่ที่มีความสุข ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามพากันทำ

อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราต้องหมั่นวิเคราะห์ดูตัวเรา แต่ละวันๆ นี่ จิตมันเกิดอยู่ตลอดทั้งวันนั่นแหละ ความคิดก็มาปรุงแต่งจิตอยู่นั่นแหละ เราพยายามสร้างตัวรู้ตัวใหม่เข้าไปสังเกตดู รู้ไม่ทันเราพยายามดับ เขาไม่เกิดก็รู้ความปกติเอาไว้

ถ้ากำลังสติของเรามีมาก สักวันหนึ่งเราก็จะสังเกตเห็นตั้งแต่อาการเขาเริ่มเกิดเขาเริ่มก่อตัว ทำความเข้าใจกับภาษาธรรม ภาษาธรรมภาษาโลก ภาษาธรรมที่ท่านเรียกว่า ‘สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง’ ตาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามตาไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามหูไม่ได้ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับเขาเสีย

เวลาตากระทบรูปนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สัมผัส’ หรือว่า ‘สักแต่ว่าดู’ เราก็พยายามรู้จิตของเรา เวลาตากระทบรูปจิตของเราเกิดกิเลสไหม เกิดความโลภไหม เกิดความยินดีไหมยินร้ายไหม ผลักไสไหมดึงเข้ามาไหม เราพยายามหมั่นตรวจสอบตัวเราตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พอตื่นขึ้นมาปุ๊บเราก็ตรวจสอบเราแก้ไขเรา เหตุการณ์จากข้างนอกมาทำให้จิตของเราเกิด หรือว่าเกิดขึ้นจากภายในโดยตรง เราก็รู้จักหาเหตุหาผล แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา

บุคคลเช่นนั้นแหละจะเป็นบุคคลที่ได้เข้าวัด เป็นบุคคลที่ได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา สติก็จะคอยตรวจสอบจิตเราตลอดเวลา ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย แสวงหาอยู่ในกายของเรานี่แหละ หาความเป็นกลางหาความว่าง นั่นแหละคือความถูกต้อง ความว่างนั่นแหละคือเครื่องอยู่ของจิต

เวลาจิตไม่มีความโลภความโกรธไม่มีความทะเยอทะยานอยาก เขาก็นิ่งเขาก็โล่งเขาก็โปร่ง เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นทาสของกิเลสเป็นทาสของอารมณ์ แต่เราขาดสติเข้าไปวิเคราะห์ดูเท่านั้นเอง พยายามหมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเราตลอดเวลา ศรัทธาของเราตั้งมั่นหรือไม่ ต้องศรัทธาด้วย แล้วก็สติปัญญาต้องรู้แจ้งเห็นจริงด้วย ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบไม่รู้ความหมาย ศรัทธาแล้วก็ประพฤติปฏิบัติที่รู้แจ้งเห็นจริง

พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา คำว่าอัตตา อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา สอนเรื่องทุกข์ สอนเรื่องดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์อยู่ในระดับไหน ระดับของสมมติระดับของวิมุตติ ทุกข์ภายนอกทุกภายใน

อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นค้นคว้า ถ้าเราไม่วิเคราะห์ตัวเราก็ไม่มีใครที่จะวิเคราะห์ให้เราได้เลย นอกจากตัวของเราเอง เวลาทุกลมหายใจมีค่ามีประโยชน์ อย่าปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา

เราเกิดมาเราก็หายใจอยู่แล้วตั้งแต่เกิดนั่นแหละ เกิดจากท้องแม่มาก็หายใจแล้ว ก็มีการหายใจมาตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ หยุดไม่ได้หยุดก็ตาย ลมหายใจเข้าไม่ออกก็ตาย หายใจออกไม่เข้าก็ตายก็เป็นธรรมชาติ เพียงแค่เรามาสร้างความรู้ตัวกับธรรมชาติตรงนี้

กายของเราก็เปลี่ยนสภาพจากเด็กโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคต่างๆ ผ่านทุกข์ผ่านสุขมามากต่อมาก มีความรับผิดชอบอะไรผิดถูกชั่วดีก็รู้จักรับผิดชอบรู้จักหน้าที่ อันนี้เป็นการปฏิบัติอยู่ในระดับหนึ่ง อย่าว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติ ถึงไม่ได้ปฏิบัติก็เป็นการปฏิบัติอยู่ในตัว รู้จักหน้าที่รู้จักรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอดทนผ่านกาลผ่านเวลา

แต่การเจริญสติเข้าไปดูแลจิตควบคุมจิตแยกรูปแยกนาม ตรงนี้เองที่ยังไม่ค่อยจะศึกษากัน ถึงศึกษาก็ศึกษากันไม่ได้ตลอด ก็ต้องพยายาม ถ้าอยากจะให้ได้ตลอดก็ต้องพยายามสร้างความระลึกรู้ตัว หรือว่าเจริญสติให้มากๆ ในทุกอิริยาบถ การเจริญสติเข้าไปควบคุมจิต ทำความเข้าใจกับจิต แล้วก็รู้จักสร้างบารมี

จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาคด้วยการให้ เรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่โกหกตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีสัจจะกับตัวเราเอง มีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีความกตัญญูกตเวที รู้จักบุญคุณของพ่อของแม่ ของพี่ของน้อง ให้อภัยทานอโหสิกรรมซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา

สักวันหนึ่งเราก็จะถึงจุดหมายปลายทางกัน พยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง แม้ตั้งแต่เรื่องของการหายใจเข้าออกเราก็พยายามศึกษาให้เป็นธรรมชาติให้ต่อเนื่อง เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละเรามองข้าม

เรื่องอยู่เรื่องกินก็เหมือนกัน ก่อนที่จะกินก่อนที่จะรับประทานอาหาร เราก็ต้องดูเสียก่อนว่ากายของเราหิวหรือไม่ จิตของเราเกิดความอยากไหม ถ้าเกิดความอยากเราก็ควบคุมความอยาก ให้หายอยากเสียก่อนแล้วค่อยทาน แล้วก็ความเป็นระเบียบภายนอกด้วย เราก็ต้องหัดพยายามสร้างความเป็นระเบียบให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งภายนอกภายใน สักวันหนึ่งเราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง