หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 014
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 014
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ทำกายของเราให้สงบ ทำกายของเราให้สบาย หายใจของเราให้เป็นธรรมชาติที่สุด
สร้างความระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเรา ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ฟังไปด้วยน้อมระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกอยู่ที่ปลายจมูกของเรา สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สักเที่ยวสองเที่ยว กายก็รู้สึกว่าสบาย ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามทำความเข้าใจ
แล้วก็สร้างความระลึกรู้ตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกปุ๊บทันทีตั้งแต่ตื่นขึ้น ความระลึกรู้ตัวก็จะตั้งมั่นขึ้น ซึ่งพวกเราเรียกกันว่า‘สติ’ แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง
ส่วนมากคนเราจะไปนึกไปคิดเอาว่าเป็นสติว่าเป็นปัญญา อันนั้นเป็นสติปัญญาของสมมติทั่วไป แต่สติปัญญาที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิต เราต้องสร้างขึ้นมา ความระลึกรู้ตัวไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้น แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง เรารู้จักเอาไปวิเคราะห์เอาไปสังเกตการเกิดการดับของจิต ของความคิด ของอารมณ์ ทำความเข้าใจ มองหาหนทาง
อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ เราต้องหมั่นวิเคราะห์สํารวจตรวจตราดูเราตลอดเวลา ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก ศรัทธาของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น เรามีสัจจะ เรามีความเพียรในการทำความเข้าใจ เรารู้จักละความโลภ รู้จักละความโกรธ รู้จักให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดีอยู่ตลอดเวลา ฝักใฝ่ในบุญ สร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอด
เพียงแค่คิด ตั้งแต่เรื่องของความคิด คิดดีก็เป็นบุญ คิดในทางที่ดี อะไรที่เป็นอกุศลเราก็ไม่คิด แล้วก็คิดตั้งแต่ในทางกุศล อกุศลเราก็ละ สูงขึ้นไปอีกเราก็ไม่ให้ยึด เป็นการคิดด้วยสติด้วยปัญญา ให้จิตของเรารับรู้ แต่เวลานี้จิตของเรายังเกิดยังส่งออกไปภายนอกอยู่ ทั้งหลงด้วย หลงความคิดหลงอารมณ์
ถ้าเรายังแยกไม่ได้ เราก็รู้ว่าเราไม่หลง ถ้าเราแยกได้เมื่อไหร่ เราก็จะรู้ว่าเราหลง ถ้าเราแยกได้เมื่อไหร่ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรืองอนัตตา เข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังในขันธ์ห้า เห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์ของความคิด เห็นความไม่เที่ยงของทุกสิ่งทุกอย่าง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ร่างกายของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
หายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าไม่ออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย การหายใจเข้าออกนี้เราก็หายใจอยู่ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ แต่เราขาดการสร้างความรู้ตัวเฉยๆ เราก็เลยปล่อยลมหายใจของเราทิ้ง มีตั้งแต่ไปไขว่คว้าเอาของภายนอก ไปยึดเอาอันนั้นไปยึดเอาอันนี้บ้าง ทั้งที่ก็ไม่มีสาระแก่นสารอะไร แต่พวกเราก็ไปยึด ไปยึดเอา
ในส่วนลึกๆ ก็มายึดตัวตนนี่แหละ มายึดอัตตาตัวตน ท่านถึงว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ทำอย่างไรเราถึงจะปล่อยถึงจะวางขันธ์ห้าตรงนี้ได้ เราก็ต้องมาสร้างความรู้ตัว หรือว่ามาเจริญสติ มาสร้างปัญญาเพื่อที่จะรู้ให้ทันว่าจิตของเราไปยึดมั่นได้อย่างไร
ลักษณะของจิต จิตที่สงบจากกิเลส สงบจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร จิตที่คลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ถ้าเราแยกได้คลายได้นี่แหละ เราถึงจะปลงถึงจะวางได้ ถึงจะรู้จุดปลงจุดปล่อยจุดวางได้
ทุกคนก็มีบุญ มีบุญแล้วก็มีวาสนามากทีเดียวถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้ประพฤติปฏิบัติกันมาอยู่แล้ว อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ปฏิบัติธรรมกันอยู่ในระดับหนึ่ง ผ่านกาลผ่านเวลา เสียสละ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน มีความอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มีพรหมวิหาร อาจจะมีมากมีน้อย ทำสมมติยังสมมติให้เกิดประโยชน์ จนสมมติของเราอยู่ดีมีความสุข อันนี้ก็ประพฤติปฏิบัติอยู่ในระดับหนึ่ง
ส่วนระดับที่จะเดินปัญญาเข้าไปทำความเข้าใจ เราต้องน้อมกายของเราเข้ามาสร้าง น้อมเข้าไปดูรู้อยู่ในกายของเรา รู้ลมหายใจนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย รู้การเคลื่อนไหวของกาย ต่อไปข้างหน้าก็รู้การเกิด รู้การเกิดของความคิดกับจิตเขาเข้าไปร่วมกัน จนเป็นชั้นของใครชั้นของมันอยู่ รู้จักทำความเข้าใจกับกิเลส กิเลสหยาบๆ เป็นอย่างไร กิเลสความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ความหลงเป็นอย่างไร
เราต้องคลายความหลงให้ได้ หรือว่าโมหะ เราต้องสร้างความระลึกรู้ตัวเข้าไปสังเกต จนกว่าจิตของเราจะคลายออกแยกออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ความหลงถึงจะคลาย ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ รู้ด้วยเห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ได้รับความสงบเยือกเย็นนั้นด้วย
นี่แหละจะเป็นบุคคลที่เข้าวัดตลอดเวลา อยู่บ้านก็เป็นวัด อยู่ที่ทำงานก็เป็นวัด เอากายเป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ หมั่นเจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ เราก็จะมีความสุข เราก็จะได้รับการฟังธรรมะของพระพุทธองค์ตลอดเวลา ตากระทบรูปเราก็ได้ฟังธรรมะ หูกระทบเสียงเราก็ได้ฟังธรรมะ รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา ตาก็มีหน้าที่ดู หูก็มีหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เราก็ต้องทำความเข้าใจ แล้วก็ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่าธาตุ
ทำอย่างไรเราซึ่งจะอยู่กับสมมติพวกนี้ อยู่อย่างอยู่ดีมีความสุข เราก็ต้องศึกษาค้นคว้าให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บจะได้ปั๊บ เราต้องค่อยศึกษาค่อยเป็นค่อยไป แล้วก็หมั่นสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น เราหมั่นชําระสะสางกิเลสของเราอยู่ตลอดเวลา จนไม่เหลืออยู่ในจิตของเราแม้แต่นิดเดียว แม้แต่ในความอยาก อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม แม้แต่อยากคิด เราก็ดับ นอกนั้นเป็นความต้องการสติของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน เอาไว้ทีหลัง ตัวข้างหลัง
ขอให้ทุกคนรู้จักการสร้างความระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน สังเกตระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้เกิดความเคยชิน ระลึกรู้ความปกติของจิต รู้ความปกติของจิต รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุก็รู้จักดับ รู้จักควบคุมเอาไว้ ถ้าเราหมั่นสร้างสติ ถ้าเราไม่เกียจคร้าน เราถึงจะรู้ปัญญาตัวขั้นสูงได้
ส่วนมาก เราไปนึกไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไปอ่านไปได้ยิน ได้ฟังได้อ่านนั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้เท่านั้นเอง บุคคลที่จะเข้าถึงได้ต้องเป็นบุคคลที่ทำความเข้าใจ แล้วก็ละออกจากจิตจากใจของเราให้มันหมด คนที่มีสติมีปัญญารู้จักช่องทางแล้วก็จะไปเร่งทำความเพียร หมั่นวิเคราะห์ตัวเรา หมั่นวิเคราะห์จิตของเรา หาเครื่องตัดสิน สร้างเครื่องตัดสินให้มีให้เกิดขึ้น เครื่องตัดสินก็คือความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเราไม่เข้าข้างคนอื่น นั่นแหละคือเครื่องตัดสิน
รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุเราก็รู้จักดับ ใช้สมถะเข้าไปดับ ดับแล้วก็สังเกตใหม่ เริ่มใหม่เริ่มอยู่บ่อยๆ อย่าไปท้อถอย ถ้าเราท้อถอยก็กิเลสก็เล่นงานเรา เพียงแค่เราว่าจะเริ่มจะฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็รุมเล่นงานเราแล้ว กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ใช่ว่าเราจะปฏิบัติปุ๊บ เราก็จะได้ปั๊บ มันไม่ใช่
เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราหมั่นรดน้ำหมั่นพรวนดิน ถึงวาระถึงเวลาก็เติบโตขึ้นมา เขาจะออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลมาก็ได้ การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราหมั่นชําระสะสางกิเลสออกจากจิตใจของตัวเรา หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุง
ลักษณะของนามธรรมเป็นอย่างไร ลักษณะของรูปธรรมเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์ สอนเรื่องการละทุกข์ การดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา คําว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร ความว่างเป็นอย่างไร จิตที่ว่างจากกิเลสเป็นอย่างไร ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ถึงจะมีความสุข
นี่แหละต้องพยายามหมั่นไขว่คว้า หมั่นศึกษา หมั่นทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าจิตของเราสงบ หรือให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา
ไม่ใช่ว่าไม่ให้คิด คิดอยู่ แต่คิดด้วยสติคิดด้วยปัญญา แต่เวลานี้จิตของเรามันส่งออกไป ส่งคิดออกไปคิดเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เรื่องอดีตบ้างเรื่องอนาคตบ้าง ท่านถึงบอกให้ดับให้แยกให้คลาย ให้ทำความเข้าใจแล้วละ ตัวปัญญานี่แหละจะเป็นตัวคิดแทน ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งก็ยังดีนะ ทำจิตของเราให้โล่ง สมองให้โปร่ง กายให้สบายให้ต่อเนื่องกันสักนาทีสองนาทีดูสิ
สร้างความระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเรา ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ฟังไปด้วยน้อมระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกอยู่ที่ปลายจมูกของเรา สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สักเที่ยวสองเที่ยว กายก็รู้สึกว่าสบาย ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามทำความเข้าใจ
แล้วก็สร้างความระลึกรู้ตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกปุ๊บทันทีตั้งแต่ตื่นขึ้น ความระลึกรู้ตัวก็จะตั้งมั่นขึ้น ซึ่งพวกเราเรียกกันว่า‘สติ’ แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง
ส่วนมากคนเราจะไปนึกไปคิดเอาว่าเป็นสติว่าเป็นปัญญา อันนั้นเป็นสติปัญญาของสมมติทั่วไป แต่สติปัญญาที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิต เราต้องสร้างขึ้นมา ความระลึกรู้ตัวไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้น แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง เรารู้จักเอาไปวิเคราะห์เอาไปสังเกตการเกิดการดับของจิต ของความคิด ของอารมณ์ ทำความเข้าใจ มองหาหนทาง
อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ เราต้องหมั่นวิเคราะห์สํารวจตรวจตราดูเราตลอดเวลา ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก ศรัทธาของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น เรามีสัจจะ เรามีความเพียรในการทำความเข้าใจ เรารู้จักละความโลภ รู้จักละความโกรธ รู้จักให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดีอยู่ตลอดเวลา ฝักใฝ่ในบุญ สร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอด
เพียงแค่คิด ตั้งแต่เรื่องของความคิด คิดดีก็เป็นบุญ คิดในทางที่ดี อะไรที่เป็นอกุศลเราก็ไม่คิด แล้วก็คิดตั้งแต่ในทางกุศล อกุศลเราก็ละ สูงขึ้นไปอีกเราก็ไม่ให้ยึด เป็นการคิดด้วยสติด้วยปัญญา ให้จิตของเรารับรู้ แต่เวลานี้จิตของเรายังเกิดยังส่งออกไปภายนอกอยู่ ทั้งหลงด้วย หลงความคิดหลงอารมณ์
ถ้าเรายังแยกไม่ได้ เราก็รู้ว่าเราไม่หลง ถ้าเราแยกได้เมื่อไหร่ เราก็จะรู้ว่าเราหลง ถ้าเราแยกได้เมื่อไหร่ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรืองอนัตตา เข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังในขันธ์ห้า เห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์ของความคิด เห็นความไม่เที่ยงของทุกสิ่งทุกอย่าง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ร่างกายของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
หายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าไม่ออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย การหายใจเข้าออกนี้เราก็หายใจอยู่ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ แต่เราขาดการสร้างความรู้ตัวเฉยๆ เราก็เลยปล่อยลมหายใจของเราทิ้ง มีตั้งแต่ไปไขว่คว้าเอาของภายนอก ไปยึดเอาอันนั้นไปยึดเอาอันนี้บ้าง ทั้งที่ก็ไม่มีสาระแก่นสารอะไร แต่พวกเราก็ไปยึด ไปยึดเอา
ในส่วนลึกๆ ก็มายึดตัวตนนี่แหละ มายึดอัตตาตัวตน ท่านถึงว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ทำอย่างไรเราถึงจะปล่อยถึงจะวางขันธ์ห้าตรงนี้ได้ เราก็ต้องมาสร้างความรู้ตัว หรือว่ามาเจริญสติ มาสร้างปัญญาเพื่อที่จะรู้ให้ทันว่าจิตของเราไปยึดมั่นได้อย่างไร
ลักษณะของจิต จิตที่สงบจากกิเลส สงบจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร จิตที่คลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ถ้าเราแยกได้คลายได้นี่แหละ เราถึงจะปลงถึงจะวางได้ ถึงจะรู้จุดปลงจุดปล่อยจุดวางได้
ทุกคนก็มีบุญ มีบุญแล้วก็มีวาสนามากทีเดียวถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้ประพฤติปฏิบัติกันมาอยู่แล้ว อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ปฏิบัติธรรมกันอยู่ในระดับหนึ่ง ผ่านกาลผ่านเวลา เสียสละ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน มีความอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มีพรหมวิหาร อาจจะมีมากมีน้อย ทำสมมติยังสมมติให้เกิดประโยชน์ จนสมมติของเราอยู่ดีมีความสุข อันนี้ก็ประพฤติปฏิบัติอยู่ในระดับหนึ่ง
ส่วนระดับที่จะเดินปัญญาเข้าไปทำความเข้าใจ เราต้องน้อมกายของเราเข้ามาสร้าง น้อมเข้าไปดูรู้อยู่ในกายของเรา รู้ลมหายใจนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย รู้การเคลื่อนไหวของกาย ต่อไปข้างหน้าก็รู้การเกิด รู้การเกิดของความคิดกับจิตเขาเข้าไปร่วมกัน จนเป็นชั้นของใครชั้นของมันอยู่ รู้จักทำความเข้าใจกับกิเลส กิเลสหยาบๆ เป็นอย่างไร กิเลสความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ความหลงเป็นอย่างไร
เราต้องคลายความหลงให้ได้ หรือว่าโมหะ เราต้องสร้างความระลึกรู้ตัวเข้าไปสังเกต จนกว่าจิตของเราจะคลายออกแยกออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ความหลงถึงจะคลาย ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ รู้ด้วยเห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ได้รับความสงบเยือกเย็นนั้นด้วย
นี่แหละจะเป็นบุคคลที่เข้าวัดตลอดเวลา อยู่บ้านก็เป็นวัด อยู่ที่ทำงานก็เป็นวัด เอากายเป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ หมั่นเจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ เราก็จะมีความสุข เราก็จะได้รับการฟังธรรมะของพระพุทธองค์ตลอดเวลา ตากระทบรูปเราก็ได้ฟังธรรมะ หูกระทบเสียงเราก็ได้ฟังธรรมะ รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา ตาก็มีหน้าที่ดู หูก็มีหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เราก็ต้องทำความเข้าใจ แล้วก็ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่าธาตุ
ทำอย่างไรเราซึ่งจะอยู่กับสมมติพวกนี้ อยู่อย่างอยู่ดีมีความสุข เราก็ต้องศึกษาค้นคว้าให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บจะได้ปั๊บ เราต้องค่อยศึกษาค่อยเป็นค่อยไป แล้วก็หมั่นสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น เราหมั่นชําระสะสางกิเลสของเราอยู่ตลอดเวลา จนไม่เหลืออยู่ในจิตของเราแม้แต่นิดเดียว แม้แต่ในความอยาก อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม แม้แต่อยากคิด เราก็ดับ นอกนั้นเป็นความต้องการสติของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน เอาไว้ทีหลัง ตัวข้างหลัง
ขอให้ทุกคนรู้จักการสร้างความระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน สังเกตระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้เกิดความเคยชิน ระลึกรู้ความปกติของจิต รู้ความปกติของจิต รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุก็รู้จักดับ รู้จักควบคุมเอาไว้ ถ้าเราหมั่นสร้างสติ ถ้าเราไม่เกียจคร้าน เราถึงจะรู้ปัญญาตัวขั้นสูงได้
ส่วนมาก เราไปนึกไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไปอ่านไปได้ยิน ได้ฟังได้อ่านนั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้เท่านั้นเอง บุคคลที่จะเข้าถึงได้ต้องเป็นบุคคลที่ทำความเข้าใจ แล้วก็ละออกจากจิตจากใจของเราให้มันหมด คนที่มีสติมีปัญญารู้จักช่องทางแล้วก็จะไปเร่งทำความเพียร หมั่นวิเคราะห์ตัวเรา หมั่นวิเคราะห์จิตของเรา หาเครื่องตัดสิน สร้างเครื่องตัดสินให้มีให้เกิดขึ้น เครื่องตัดสินก็คือความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเราไม่เข้าข้างคนอื่น นั่นแหละคือเครื่องตัดสิน
รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุเราก็รู้จักดับ ใช้สมถะเข้าไปดับ ดับแล้วก็สังเกตใหม่ เริ่มใหม่เริ่มอยู่บ่อยๆ อย่าไปท้อถอย ถ้าเราท้อถอยก็กิเลสก็เล่นงานเรา เพียงแค่เราว่าจะเริ่มจะฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็รุมเล่นงานเราแล้ว กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ใช่ว่าเราจะปฏิบัติปุ๊บ เราก็จะได้ปั๊บ มันไม่ใช่
เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราหมั่นรดน้ำหมั่นพรวนดิน ถึงวาระถึงเวลาก็เติบโตขึ้นมา เขาจะออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลมาก็ได้ การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราหมั่นชําระสะสางกิเลสออกจากจิตใจของตัวเรา หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุง
ลักษณะของนามธรรมเป็นอย่างไร ลักษณะของรูปธรรมเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์ สอนเรื่องการละทุกข์ การดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา คําว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร ความว่างเป็นอย่างไร จิตที่ว่างจากกิเลสเป็นอย่างไร ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ถึงจะมีความสุข
นี่แหละต้องพยายามหมั่นไขว่คว้า หมั่นศึกษา หมั่นทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าจิตของเราสงบ หรือให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา
ไม่ใช่ว่าไม่ให้คิด คิดอยู่ แต่คิดด้วยสติคิดด้วยปัญญา แต่เวลานี้จิตของเรามันส่งออกไป ส่งคิดออกไปคิดเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เรื่องอดีตบ้างเรื่องอนาคตบ้าง ท่านถึงบอกให้ดับให้แยกให้คลาย ให้ทำความเข้าใจแล้วละ ตัวปัญญานี่แหละจะเป็นตัวคิดแทน ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งก็ยังดีนะ ทำจิตของเราให้โล่ง สมองให้โปร่ง กายให้สบายให้ต่อเนื่องกันสักนาทีสองนาทีดูสิ