หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 020
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 020
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ทำใจของเราให้สบาย ทำกายของเราให้สบาย ฟังไปด้วยแล้วก็น้อมสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่ปลายจมูกของเรา สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ซัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดนิ่ง กายของเราก็สบาย
สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เราก็มีความรู้สึกรับรู้ที่เด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ แล้วพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘สติ’ แล้วก็ ‘สัมปชัญญะ’ พยายามฝึกฝนความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
ความรู้สึกตัวก็จะตั้งมั่นขึ้น รู้กาย ถ้าความรู้สึกตัวมีมากขึ้น เราก็จะรู้จิต รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ รู้ความปกติของจิต รู้การเกิดการดับของจิต รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งจิต ว่าจิตกับความคิดเขาไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวได้อย่างไร ตรงนี้เป็นของละเอียด ของโมหะเลยแหละ
เรามาคลายโมหะตรงนี้ ถ้าเราคลายโมหะ หรือแยกรูปแยกนามได้ วิปัสสนาความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้เรา เราก็จะได้ตามทำความเข้าใจ รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ถ้าเรายังแยกตรงนี้ไม่ได้ ก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศล จิตของเราก็ยังวิ่งยังเกิดยังหลงอยู่ หลงในส่วนลึกๆ แต่ในทางสมมติเราอาจจะว่าเราไม่หลง ถ้าเรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้นี่หลงกันหมดทุกคนเลยแหละ
นั่นแหละ เราต้องมาสร้างความรู้ตัวเพื่อที่จะเข้าไปคลายโมหะให้ได้เสียก่อน โมหะนี่เป็นของละเอียดอ่อนคลายยาก ส่วนความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากนั้นมันเห็นได้ชัด เราก็รู้จักดับรู้จักละได้เร็วได้ไวขึ้น ด้วยการเจริญพรหมวิหาร หรือการเจริญความเมตตา ขอให้เราหมั่นสำรวจตรวจตราดูตัวเราตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้ทำบุญอะไรบ้าง เราละความเกียจคร้านของเราแล้วหรือยัง เรามีสติคอยสังเกตเราหรือไม่ ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร เรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยไหม เรามีความเกียจคร้านไหม เราหมั่นสำรวจตรวจตราดู ย้อนดูตั้งแต่ตื่น ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ตื่นขึ้นมาเราก็รีบดูวันนี้เราจะทำอะไรไว้บ้าง วันนี้เดือนที่ผ่านมาปีที่ผ่านมา จนกระทั่งตั้งแต่เด็กไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ กิเลสตัวไหนมันมาหลอกเรา เราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน เราทำอะไรไว้บ้าง เราก็จะได้ย้อนเอามาแก้ไขอยู่ปัจจุบัน ก็จะส่งผลถึงอนาคต
แต่คนเราส่วนมากจะไม่ค่อยจะย้อนเก็บมาวิเคราะห์พิจารณา ก็เลยมีตั้งแต่อยู่กับกองทุกข์ แต่ไม่รู้จักทุกข์ เราทำความเข้าใจกับทุกข์ ทำความเข้าใจกับกายของเราเสีย ทำความเข้าใจกับจิตกับความคิดกับอารมณ์ของเราเสีย ว่าความทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร ถ้าเรารู้จักเหตุรู้จักผล รู้เหตุรู้ผล เราก็หาวิธีแก้ ถ้าเราแก้ได้ดับได้ เราไม่ต้องการความสุข ความสุขก็จะเกิดขึ้นมาเองนั่นแหละ ก็พยายามทำกัน
สร้างตบะสร้างบารมี สร้างความอดทนอดกลั้น มีสัจจะกับตัวเราเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มองโลกในทางที่ดี คิดดี ขยันหมั่นเพียรทั้งภาระหน้าที่การงาน มีความพอใจเพลิดเพลินในการฝึกฝนตนเอง ในการทำการทำงานมีความสุข ความสุขด้วยการให้ด้วยการเอาออก คลายความยึดมั่นถือมั่น
คนเราทุกคนอยากจะปล่อยอยากจะวาง แต่ไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวางก็วางไม่ได้ จุดปล่อยจุดวางก็คือการคลายความหลง แยกรูปแยกนาม แยกจิตออกจากความคิดนั่นแหละ ตัวจิตเป็นลักษณะอย่างไร ความว่างนั่นแหละคือตัวจิต
ความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตเป็นลักษณะอาการอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร เราจะมองด้วยตาเนื้อก็ยากที่จะมองเห็น เราต้องสร้างความระลึกรู้ตัว รู้ด้วยลักษณะอาการ ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า ‘เป็นกองเป็นขันธ์’ เป็นกองของใครของมัน
กองรูปก็กองร่างกายของเรา ไอ้ส่วนจิตเป็นนามธรรม อันนั้นก็อีกกองหนึ่ง ส่วนความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งนั้นก็อีกกองหนึ่ง เรื่องอะไรที่เขามาปรุงแต่งจิตทำให้จิตของเราหลง บางทีก็เป็นเรื่องอดีต บางทีก็เป็นเรื่องของอนาคต เรื่องอดีตก็เรียกว่า ‘กองของสัญญา’ ความคิดทุกชนิดจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็เป็นกองของสังขาร ไอ้ตัววิญญาณนั่นน่ะกองหนึ่ง ตัววิญญาณตรวจสุดท้ายหลวงพ่อจะชอบเรียก ‘จิต’ เรียกว่า ‘จิต’ เขาเข้าไปร่วมได้อย่างไร เข้าไปหลงได้อย่างไรในส่วนละเอียดตรงนี้ เราต้องหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต
อีกอย่างหนึ่งนั้น เราจะไปบังคับกันไม่ได้ ของพวกนี้ถ้ายังไม่ถึงวาระเวลาวิบากกรรมสมมติยังไม่คลาย ก็ยากที่จะเดินเข้าถึงตรงจุดนี้ เพราะวิบากกรรมสมมติ ปากท้องก็ยังลำบากอยู่ ทำอันนั้นทำอันนี้ ที่นั่นที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าถึงวาระเวลา ถ้าอานิสงส์ของพวกเราพอ แต่ละบุคคลก็คงจะได้แยกรูปแยกนามได้ คนทุกคนเกิดมาก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างอานิสงส์มาดีก็ไปได้เร็วได้ไว สร้างทั้งทรัพย์ภายนอกสร้างทั้งทรัพย์ภายใน บางคนก็มีตั้งแต่ทรัพย์ภายใน แต่ทรัพย์ภายนอกก็ไม่มี บางคนก็มีทั้งสองอย่าง บางคนก็มีอย่างเดียว หรืออาจจะมีไม่มากพอ เราก็มาสร้างขึ้นมาใหม่ ช่วงขณะที่เรายังมี ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พยายามสร้างเอา สร้างมากสร้างน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป ก็ต้องพยายามกันเอา ทุกเรื่องเราต้องสำรวจตรวจตราดูให้หมด
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กิเลสจากภายนอก หรือว่าเกิดขึ้นจากข้างใน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมานั่นแหละ ตั้งแต่นิวรธรรมต่างๆ ความละเอียดต่างๆ ความระลึกรู้ตัวของเราตั้งมั่นขึ้นมาไหม จิตของเราเกิดความฟุ้งซ่าน หรือเกิดความกำหนัดยินดีในเรื่องรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ มีความลังเลสงสัยหรือไม่ จิตเกิดจิตส่งออกไปปรุงแต่ง จิตฟุ้งซ่านได้อย่างไร เราก็ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ เราควบคุมได้ระดับไหน ระดับตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เพียงแค่การเจริญสติสร้างความระลึกรู้ตัวเราก็ยังทำกันไม่ค่อยได้ต่อเนื่อง ถ้าพวกเราทำกันได้ต่อเนื่องแล้ว อานิสงค์อันอื่นก็จะตามมาหมดนั่นแหละ
ถ้าเกียจคร้านก็ยากเข้าไปอีก ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร อย่าให้คลาดสายตาของสติของปัญญาได้แม้ตั้งแต่เสี้ยววินาที จนเป็นอัตโนมัติ จนเป็นมหาสติ ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ ถ้าเราตามทำความเข้าใจได้ทุกเรื่อง สติของเราก็จะมีพลัง เป็นมหาสติจนกลายเป็นปัญญา ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ เราตามทำความเข้าใจเล็กๆน้อยๆ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจแล้วก็ละแล้วก็ดับ เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมอีก ก็จริงยากกว่าเก่า
เราก็ต้องตามทำความเข้าใจได้ทุกเรื่อง ทุกอิริยาบถ แม้แต่ความอยากนิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่จิต อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากมา แม้แต่อยากจะรู้ธรรม อยากเจริญธรรม ถ้าเป็นความทะเยอทะยานอยากจากจิตนี้ให้หยุดให้ดับ เอาออกให้หมดเลย ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ก็รีบกำจัดเสีย ถ้าเราดับละกิเลสความอยากเล็กๆ น้อยๆ แล้วความอยากตัวใหญ่ๆ ไม่เกิดหรอก ตัวใหญ่มันก็เกิดจากตัวน้อยนั่นแหละ
คนเราไม่รู้จักดับ ไม่รู้จักจุดในการละในการดับ ในการปล่อยในการวาง มีตั้งแต่จะไปหาทางแก้ไขเอาตั้งแต่ข้างนอก แก้ไขอันนั้นแก้ไขอันนี้มันก็ยิ่งห่างไกล ห่างไกลดวงจิตของเรา ไปแก้ไขภายนอกนั้นก็มันก็ส่งผลถึงภายในได้เหมือนกัน เราก็ดูเหตุดูผลเสียก่อน ก็ต้องควบคู่กันทั้งภายนอกทั้งภายในถ้าสมมุติไม่บริบูรณ์การฝึกหัดปฏิบัติจิตไปก็ลำบาก กายก็ลำบาก จิตก็ยิ่งยากในการปล่อยในการวาง
ทุกคนเข้ามาในวัดของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีความพร้อม เป็นสถานที่สัปปายะน่ารื่นรมย์น่าอาศัย เพราะว่าได้ทำเอาไว้ก่อนตั้งแต่หลายปี 20 กว่าปีที่ได้เริ่มทำเอาไว้ ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข เป็นพรหมวิหารความเมตตา ถ้าไม่มีพรหมวิหารไม่มีความเมตตา ไม่ได้อาศัยกาลอาศัยเวลาอาศัยความอดทนก็คงจะไม่ได้น่ารื่นรมย์ถึงขนาดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง นี่แหละเขาเรียกว่าสถานที่พร้อม สถานที่สัปปายะ บริวารญาติมิตรก็พร้อมเป็นสหธรรมมิก เป็นคนฝักใฝ่ในบุญในกุศลในธรรมกันทุกคน ก็เป็นบุญของทุกคนที่จะเข้ามา ได้เข้ามาแล้วจิตใจก็สบาย มีความสงบมีความสุข
ให้เราพยายามทำช่วยกัน มีอะไรก็ทำช่วยกัน เพื่อที่จะส่งต่อให้คนรุ่นหลัง เมื่อพวกเราไปแล้วคนรุ่นหลังก็ได้มาสร้างสานต่อ อย่าไปคิดว่าไม่ใช่ของเรา เป็นของทุกคน เป็นสมบัติของแผ่นดิน เป็นสมบัติของทุกคน ถึงวาระเวลาเราก็ได้วางทุกสิ่งทุกอย่าง
ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็พยายามหมั่นสร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดีฝากเอาไว้กับสมมติ คนรุ่นหลังมาก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ ถ้าเราไปคิดเสียว่าไม่ใช่หน้าที่ของเราๆ ไม่มีความขยันหมั่นเพียรในการทำ คนรุ่นหลังมาก็ลำบาก เราไปอยู่ที่ไหนก็ลำบากถ้าคนคิดอย่างเรา ถ้าเรามีตั้งแต่เป็นผู้ให้ผู้เอาออกผู้เสียสละ ถึงจะเหนื่อยก็เหนื่อยกาย แต่ใจก็มีความสุข ก็จะส่งสืบทอดกันไปเรื่อยๆๆๆ ไป คนรุ่นหลังมาก็มาสร้างสานต่ออานิสงส์ก็ยิ่งมากมายขึ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าเรามีตั้งแต่ความขยันหมั่นเพียรในการจัดในการทำในการสร้าง ทั้งภายนอกภายใน สร้างภายนอกก็เพื่อจะยังสมมติให้เกิดประโยชน์สำหรับทุกๆ คน ก็จะส่งผลถึงภายใน ภายในก็มีความสุข ถ้าข้างนอกไม่บริบูรณ์ อันนั้นก็ยังลำบากอยู่อันนี้ก็ยังลำบากอยู่ อย่างเช่นศาลาที่เรานั่งอยู่นี้ ถ้าไม่ทำก็ลำบาก ถ้าฝนตกฟ้าร้องฝนตกลงมาก็ลำบาก
จะว่าประพฤติปฏิบัติทำที่ไหนก็ได้ อันนั้นอย่าเพิ่งไปพูดถึง เราก็ต้องมาทำสมมติให้บริบูรณ์เสียก่อน ถ้าฝนตกฟ้าร้องมันลำบากไหม ห้องส้วมห้องน้ำลำบากไหม โรงครัวทำกับข้าวกับปลา ถ้าไม่มีลำบาก เราต้องทำสมมติให้บริบูรณ์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้บริบูรณ์ ก็จะส่งผลถึงการเจริญภายในด้วย ใครไปใครมาก็อยู่ดีมีความสุข คนรุ่นหลังก็อยู่ดีความสุขสืบต่อกันไปเรื่อยๆ จนเป็นแหล่งบุญแหล่งกุศล ทุกสิ่งทุกอย่างทำเอาไว้ให้ ทั้งสมมติก็ทำไว้ให้ ทางด้านวิมุตติก็ชี้ทางเดินให้ แล้วแต่พวกท่านจะเดินหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เราก็มีความรู้สึกรับรู้ที่เด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ แล้วพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘สติ’ แล้วก็ ‘สัมปชัญญะ’ พยายามฝึกฝนความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
ความรู้สึกตัวก็จะตั้งมั่นขึ้น รู้กาย ถ้าความรู้สึกตัวมีมากขึ้น เราก็จะรู้จิต รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ รู้ความปกติของจิต รู้การเกิดการดับของจิต รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งจิต ว่าจิตกับความคิดเขาไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวได้อย่างไร ตรงนี้เป็นของละเอียด ของโมหะเลยแหละ
เรามาคลายโมหะตรงนี้ ถ้าเราคลายโมหะ หรือแยกรูปแยกนามได้ วิปัสสนาความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้เรา เราก็จะได้ตามทำความเข้าใจ รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ถ้าเรายังแยกตรงนี้ไม่ได้ ก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศล จิตของเราก็ยังวิ่งยังเกิดยังหลงอยู่ หลงในส่วนลึกๆ แต่ในทางสมมติเราอาจจะว่าเราไม่หลง ถ้าเรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้นี่หลงกันหมดทุกคนเลยแหละ
นั่นแหละ เราต้องมาสร้างความรู้ตัวเพื่อที่จะเข้าไปคลายโมหะให้ได้เสียก่อน โมหะนี่เป็นของละเอียดอ่อนคลายยาก ส่วนความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากนั้นมันเห็นได้ชัด เราก็รู้จักดับรู้จักละได้เร็วได้ไวขึ้น ด้วยการเจริญพรหมวิหาร หรือการเจริญความเมตตา ขอให้เราหมั่นสำรวจตรวจตราดูตัวเราตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้ทำบุญอะไรบ้าง เราละความเกียจคร้านของเราแล้วหรือยัง เรามีสติคอยสังเกตเราหรือไม่ ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร เรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยไหม เรามีความเกียจคร้านไหม เราหมั่นสำรวจตรวจตราดู ย้อนดูตั้งแต่ตื่น ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ตื่นขึ้นมาเราก็รีบดูวันนี้เราจะทำอะไรไว้บ้าง วันนี้เดือนที่ผ่านมาปีที่ผ่านมา จนกระทั่งตั้งแต่เด็กไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ กิเลสตัวไหนมันมาหลอกเรา เราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน เราทำอะไรไว้บ้าง เราก็จะได้ย้อนเอามาแก้ไขอยู่ปัจจุบัน ก็จะส่งผลถึงอนาคต
แต่คนเราส่วนมากจะไม่ค่อยจะย้อนเก็บมาวิเคราะห์พิจารณา ก็เลยมีตั้งแต่อยู่กับกองทุกข์ แต่ไม่รู้จักทุกข์ เราทำความเข้าใจกับทุกข์ ทำความเข้าใจกับกายของเราเสีย ทำความเข้าใจกับจิตกับความคิดกับอารมณ์ของเราเสีย ว่าความทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร ถ้าเรารู้จักเหตุรู้จักผล รู้เหตุรู้ผล เราก็หาวิธีแก้ ถ้าเราแก้ได้ดับได้ เราไม่ต้องการความสุข ความสุขก็จะเกิดขึ้นมาเองนั่นแหละ ก็พยายามทำกัน
สร้างตบะสร้างบารมี สร้างความอดทนอดกลั้น มีสัจจะกับตัวเราเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มองโลกในทางที่ดี คิดดี ขยันหมั่นเพียรทั้งภาระหน้าที่การงาน มีความพอใจเพลิดเพลินในการฝึกฝนตนเอง ในการทำการทำงานมีความสุข ความสุขด้วยการให้ด้วยการเอาออก คลายความยึดมั่นถือมั่น
คนเราทุกคนอยากจะปล่อยอยากจะวาง แต่ไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวางก็วางไม่ได้ จุดปล่อยจุดวางก็คือการคลายความหลง แยกรูปแยกนาม แยกจิตออกจากความคิดนั่นแหละ ตัวจิตเป็นลักษณะอย่างไร ความว่างนั่นแหละคือตัวจิต
ความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตเป็นลักษณะอาการอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร เราจะมองด้วยตาเนื้อก็ยากที่จะมองเห็น เราต้องสร้างความระลึกรู้ตัว รู้ด้วยลักษณะอาการ ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า ‘เป็นกองเป็นขันธ์’ เป็นกองของใครของมัน
กองรูปก็กองร่างกายของเรา ไอ้ส่วนจิตเป็นนามธรรม อันนั้นก็อีกกองหนึ่ง ส่วนความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งนั้นก็อีกกองหนึ่ง เรื่องอะไรที่เขามาปรุงแต่งจิตทำให้จิตของเราหลง บางทีก็เป็นเรื่องอดีต บางทีก็เป็นเรื่องของอนาคต เรื่องอดีตก็เรียกว่า ‘กองของสัญญา’ ความคิดทุกชนิดจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็เป็นกองของสังขาร ไอ้ตัววิญญาณนั่นน่ะกองหนึ่ง ตัววิญญาณตรวจสุดท้ายหลวงพ่อจะชอบเรียก ‘จิต’ เรียกว่า ‘จิต’ เขาเข้าไปร่วมได้อย่างไร เข้าไปหลงได้อย่างไรในส่วนละเอียดตรงนี้ เราต้องหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต
อีกอย่างหนึ่งนั้น เราจะไปบังคับกันไม่ได้ ของพวกนี้ถ้ายังไม่ถึงวาระเวลาวิบากกรรมสมมติยังไม่คลาย ก็ยากที่จะเดินเข้าถึงตรงจุดนี้ เพราะวิบากกรรมสมมติ ปากท้องก็ยังลำบากอยู่ ทำอันนั้นทำอันนี้ ที่นั่นที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าถึงวาระเวลา ถ้าอานิสงส์ของพวกเราพอ แต่ละบุคคลก็คงจะได้แยกรูปแยกนามได้ คนทุกคนเกิดมาก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างอานิสงส์มาดีก็ไปได้เร็วได้ไว สร้างทั้งทรัพย์ภายนอกสร้างทั้งทรัพย์ภายใน บางคนก็มีตั้งแต่ทรัพย์ภายใน แต่ทรัพย์ภายนอกก็ไม่มี บางคนก็มีทั้งสองอย่าง บางคนก็มีอย่างเดียว หรืออาจจะมีไม่มากพอ เราก็มาสร้างขึ้นมาใหม่ ช่วงขณะที่เรายังมี ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พยายามสร้างเอา สร้างมากสร้างน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป ก็ต้องพยายามกันเอา ทุกเรื่องเราต้องสำรวจตรวจตราดูให้หมด
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กิเลสจากภายนอก หรือว่าเกิดขึ้นจากข้างใน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมานั่นแหละ ตั้งแต่นิวรธรรมต่างๆ ความละเอียดต่างๆ ความระลึกรู้ตัวของเราตั้งมั่นขึ้นมาไหม จิตของเราเกิดความฟุ้งซ่าน หรือเกิดความกำหนัดยินดีในเรื่องรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ มีความลังเลสงสัยหรือไม่ จิตเกิดจิตส่งออกไปปรุงแต่ง จิตฟุ้งซ่านได้อย่างไร เราก็ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ เราควบคุมได้ระดับไหน ระดับตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เพียงแค่การเจริญสติสร้างความระลึกรู้ตัวเราก็ยังทำกันไม่ค่อยได้ต่อเนื่อง ถ้าพวกเราทำกันได้ต่อเนื่องแล้ว อานิสงค์อันอื่นก็จะตามมาหมดนั่นแหละ
ถ้าเกียจคร้านก็ยากเข้าไปอีก ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร อย่าให้คลาดสายตาของสติของปัญญาได้แม้ตั้งแต่เสี้ยววินาที จนเป็นอัตโนมัติ จนเป็นมหาสติ ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ ถ้าเราตามทำความเข้าใจได้ทุกเรื่อง สติของเราก็จะมีพลัง เป็นมหาสติจนกลายเป็นปัญญา ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ เราตามทำความเข้าใจเล็กๆน้อยๆ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจแล้วก็ละแล้วก็ดับ เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมอีก ก็จริงยากกว่าเก่า
เราก็ต้องตามทำความเข้าใจได้ทุกเรื่อง ทุกอิริยาบถ แม้แต่ความอยากนิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่จิต อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากมา แม้แต่อยากจะรู้ธรรม อยากเจริญธรรม ถ้าเป็นความทะเยอทะยานอยากจากจิตนี้ให้หยุดให้ดับ เอาออกให้หมดเลย ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ก็รีบกำจัดเสีย ถ้าเราดับละกิเลสความอยากเล็กๆ น้อยๆ แล้วความอยากตัวใหญ่ๆ ไม่เกิดหรอก ตัวใหญ่มันก็เกิดจากตัวน้อยนั่นแหละ
คนเราไม่รู้จักดับ ไม่รู้จักจุดในการละในการดับ ในการปล่อยในการวาง มีตั้งแต่จะไปหาทางแก้ไขเอาตั้งแต่ข้างนอก แก้ไขอันนั้นแก้ไขอันนี้มันก็ยิ่งห่างไกล ห่างไกลดวงจิตของเรา ไปแก้ไขภายนอกนั้นก็มันก็ส่งผลถึงภายในได้เหมือนกัน เราก็ดูเหตุดูผลเสียก่อน ก็ต้องควบคู่กันทั้งภายนอกทั้งภายในถ้าสมมุติไม่บริบูรณ์การฝึกหัดปฏิบัติจิตไปก็ลำบาก กายก็ลำบาก จิตก็ยิ่งยากในการปล่อยในการวาง
ทุกคนเข้ามาในวัดของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีความพร้อม เป็นสถานที่สัปปายะน่ารื่นรมย์น่าอาศัย เพราะว่าได้ทำเอาไว้ก่อนตั้งแต่หลายปี 20 กว่าปีที่ได้เริ่มทำเอาไว้ ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข เป็นพรหมวิหารความเมตตา ถ้าไม่มีพรหมวิหารไม่มีความเมตตา ไม่ได้อาศัยกาลอาศัยเวลาอาศัยความอดทนก็คงจะไม่ได้น่ารื่นรมย์ถึงขนาดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง นี่แหละเขาเรียกว่าสถานที่พร้อม สถานที่สัปปายะ บริวารญาติมิตรก็พร้อมเป็นสหธรรมมิก เป็นคนฝักใฝ่ในบุญในกุศลในธรรมกันทุกคน ก็เป็นบุญของทุกคนที่จะเข้ามา ได้เข้ามาแล้วจิตใจก็สบาย มีความสงบมีความสุข
ให้เราพยายามทำช่วยกัน มีอะไรก็ทำช่วยกัน เพื่อที่จะส่งต่อให้คนรุ่นหลัง เมื่อพวกเราไปแล้วคนรุ่นหลังก็ได้มาสร้างสานต่อ อย่าไปคิดว่าไม่ใช่ของเรา เป็นของทุกคน เป็นสมบัติของแผ่นดิน เป็นสมบัติของทุกคน ถึงวาระเวลาเราก็ได้วางทุกสิ่งทุกอย่าง
ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็พยายามหมั่นสร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดีฝากเอาไว้กับสมมติ คนรุ่นหลังมาก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ ถ้าเราไปคิดเสียว่าไม่ใช่หน้าที่ของเราๆ ไม่มีความขยันหมั่นเพียรในการทำ คนรุ่นหลังมาก็ลำบาก เราไปอยู่ที่ไหนก็ลำบากถ้าคนคิดอย่างเรา ถ้าเรามีตั้งแต่เป็นผู้ให้ผู้เอาออกผู้เสียสละ ถึงจะเหนื่อยก็เหนื่อยกาย แต่ใจก็มีความสุข ก็จะส่งสืบทอดกันไปเรื่อยๆๆๆ ไป คนรุ่นหลังมาก็มาสร้างสานต่ออานิสงส์ก็ยิ่งมากมายขึ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าเรามีตั้งแต่ความขยันหมั่นเพียรในการจัดในการทำในการสร้าง ทั้งภายนอกภายใน สร้างภายนอกก็เพื่อจะยังสมมติให้เกิดประโยชน์สำหรับทุกๆ คน ก็จะส่งผลถึงภายใน ภายในก็มีความสุข ถ้าข้างนอกไม่บริบูรณ์ อันนั้นก็ยังลำบากอยู่อันนี้ก็ยังลำบากอยู่ อย่างเช่นศาลาที่เรานั่งอยู่นี้ ถ้าไม่ทำก็ลำบาก ถ้าฝนตกฟ้าร้องฝนตกลงมาก็ลำบาก
จะว่าประพฤติปฏิบัติทำที่ไหนก็ได้ อันนั้นอย่าเพิ่งไปพูดถึง เราก็ต้องมาทำสมมติให้บริบูรณ์เสียก่อน ถ้าฝนตกฟ้าร้องมันลำบากไหม ห้องส้วมห้องน้ำลำบากไหม โรงครัวทำกับข้าวกับปลา ถ้าไม่มีลำบาก เราต้องทำสมมติให้บริบูรณ์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้บริบูรณ์ ก็จะส่งผลถึงการเจริญภายในด้วย ใครไปใครมาก็อยู่ดีมีความสุข คนรุ่นหลังก็อยู่ดีความสุขสืบต่อกันไปเรื่อยๆ จนเป็นแหล่งบุญแหล่งกุศล ทุกสิ่งทุกอย่างทำเอาไว้ให้ ทั้งสมมติก็ทำไว้ให้ ทางด้านวิมุตติก็ชี้ทางเดินให้ แล้วแต่พวกท่านจะเดินหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ