หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 015
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 015
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน ตามความเป็นจริง เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวให้ได้ทุกอิริยาบถจนรู้จักรู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะอาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ
ใหม่ๆ เราก็ต้องวางภาระหน้าที่ ทุกสิ่งทุกอย่าง หมั่นสังเกตน้อมเข้าไปดูรู้ในกายของเรา การเกิดของจิตนั้นเขาก็มีอยู่แล้ว จิตของเราเดี๋ยวเขาคิดไปเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง บางทีก็อาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตซึ่งเขามีมาตั้งนาน ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ จิตที่คิดปรุงแต่งส่งออกไปเรียกว่า ‘สมุทัย’ หรือว่าเข้าหลักของอริยสัจสี่ ทุกคนก็ฝีกใฝ่ ทุกคนก็สนใจ แต่กําลังสติมีน้อย เราต้องพยายามสร้างความระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าความระลึกพลั้งเผลอเราก็ระลึกขึ้นมาใหม่ ระลึกรู้ไม่ทัน เราก็รู้จักควบคุมจิตของเรา
จิตของทุกคนก็ฝักใฝ่ในบุญ หมั่นสนใจหมั่นฝักใฝ่ ปรารถนาที่จะดับทุกข์ ปรารถนาที่จะหลุดพ้น แต่ถ้าเป็นความอยากที่จะหลุดพ้น อยากที่จะรู้ธรรม อยากที่จะเห็น เป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิต หรือเกิดจากขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต ให้ดับให้ควบคุม จนกว่าเราจะคลายจิตออกจากความคิดของเราได้นั่นแหละ เขาก็จะมองเห็นทาง จิตก็จะโล่ง กายก็จะเบา ความรู้ตัวก็จะตามทำความเข้าใจอาการของความคิดได้เด่นชัด
ขณะเราทำความเข้าใจ เราต้องรู้ว่านิวรณธรรมต่างๆ มาครอบงำจิตของเราเอาไว้ไหม จิตของเราเกิดควากำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง กำหนัดในเรื่องของราคะขณะปัจจุบันนี้แหละ เราก็รู้จักดับ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี
ความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามสร้างขึ้นมา พลั้งเผลอเราก็สร้างขึ้นมาใหม่ เพียงแค่การสร้างความระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำไม่เกิดความเคยชิน แม้แต่ระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก ซึ่งเราก็หายใจมาตั้งแต่เกิด ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ผล อยากจะได้ตั้งแต่รับความสงบ อยากจะรู้ตั้งแต่ธรรม อยากจะเห็นตั้งแต่ธรรม แต่ไม่ได้สร้างผู้รู้ ไม่ได้สร้างระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่อง
ปัญญาของทุกคนนั่นมีเต็มเปี่ยม ปัญญาโลกีย์ ปัญญาในทางโลก ปัญญาในทางโลกถึงจะฝักใฝ่ในธรรม มันก็ยังเป็นธรรมโลกีย์อยู่ดีๆ จิตยังไม่ได้คลายออกจากสมมติ หรือว่าคลายออกจากขันธ์ห้า ทำอย่างไรเราถึงจะให้จิตของเราคลายออก เราต้องหมั่นสร้างความระลึกรู้ตัว แล้วก็รู้ให้ทันจิต รู้ให้ทันอาการของความคิดขณะเขาเริ่มก่อตัว
เขาก่อตัวอย่างไร ขณะเขาก่อตัว จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ถ้าเรารู้ทันตรงนั้นปุ๊บ จิตมันจะดีดตัวออกจากความคิด แล้วมันก็จะหงาย นั่นแหละสัมมาทิฐิเปิดทางทันที ความรู้ตัวก็จะตามทำความเข้าใจ ตามดูเห็นการเกิดการดับของความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘เห็นสภาวะธรรม’ รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ
เรื่องเก่าหายไปเรื่องใหม่เข้ามา บางทีจิตของเราก็เข้าไปผสมโรง ซึ่งเรียกว่า ‘ไปรวมเป็นตัวเดียวกัน’ เราต้องสังเกตจนเขาแยกออกจากกันให้ได้ ถ้าเขาแยกออกจากกันได้เมื่อไร เราก็จะมองเห็นอะไรชัดเจน รู้สมมติชัดเจน รู้วิมุตติชัดเจน รู้อัตตา รู้อนัตตา รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่มันเกิด
อย่าไปนึกไปคิดเอาเด็ดขาด การได้ศึกษาการได้เรียน การได้อ่านการได้ฟัง ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การน้อมเข้าไปทำความเข้าใจ ตรงนี้ต้องทำให้ต่อเนื่อง สติปัญญาของเราจะมีมากมายถึงขนาดไหน อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่ถูกต้องในระดับของหลักธรรมจริงๆ ในระดับของหลักธรรม เราต้องน้อมเข้าไปดูรู้เห็นตั้งแต่การเกิด การร่วม การแยกการคลาย การตามทำความเข้าใจให้เห็นตั้งแต่แรก แล้วก็ทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมะ สักแต่ว่าดูเป็นลักษณะอย่างไร สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ถ้าเรามีสติคอยสังเกต คอยวิเคราะห์ คอยตรวจตรา
ใหม่ๆ กําลังสติความระลึกรู้ของเรามันน้อย กำลังจิตกำลังของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดมันมาก มันถึงส่งออกไปข้างนอกถึงรู้ไม่ทัน รู้ทันก็เมื่อเขาเกิดไปได้ครึ่ง ได้ปลายเหตุ เราต้องรู้จักควบคุม ควบคุมกายอินทรีย์ขแงเรา ควบคุมวาจา แล้วก็ควบคุมใจ
รู้จักวิเคราะห์หาเหตุหาผล อดพูดแล้วก็อดคิด แล้วก็สังเกตดูความคิดว่าเขาเกิดอย่างไร ทุกเรื่องในชีวิต ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้พูด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ทำ ถ้าเราเข้าใจภายใน แยกแยะภายในแล้วยิ่งจะสนุก
จิตของเราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้างเราก็รู้ จิตของเราส่งออกไปภายนอก เราก็รู้สติมีความรู้ตัว รู้กายรู้จิตได้ทันกิเลส เป็นกุศลหรือว่าอกุศล มันก็จะรู้หมด กิเลสหยาบหรือว่ากิเลสละเอียดก็จะรู้หมด ขอให้เราสร้างผู้รู้ หรือว่าสร้างความระลึกรู้ให้ต่อเนื่องให้ได้ พยายามกันไม่ว่าอยู่ใน อริยาบถไหน
เวลาจะรับประทานอาหารก็เหมือนกัน รู้จักกะประมาณ รู้จักวิเคราะห์พิจารณา กายของเราหิว จิตของเราจะปรุงแต่งความอยากได้เร็วได้ไว เราก็ต้องพยายามดับ ความอยากมันก็เกิดที่ฐานของจิตนั่นแหละ ฐานของจิตมันอยู่ตรงไหน ก็อยู่ที่หัวใจของเรานั่นแหละ อยู่กลางใจของเรานั่นแหละ
ถ้ากําลังสติของเราไม่ชัดเจน เขาก็จะไม่เผยตัวออกมาให้เห็นเราเห็นชัด ถ้ากําลังสติของเราชัดเจน จิตก็จะเผยตัวออกมา จิตนี่ก็แปลก ถ้าเราไม่ได้ฝึกไม่ได้หัด ไม่ได้ขัดไม่ได้เกลาเขา เขาก็จะปิดบังอำพรางตัวเองเหมือนกัน เพราะว่าเขายังเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส เพราะว่าเขาอยู่กับอารมณ์ อยู่กับกิเลส อยู่กับขันธ์ห้ามาไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ เราจะไปจับเขาแยกแค่นาทีสองนาที มันเป็นไปไม่ได้
เราต้องหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ แล้วก็หมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีสัจจะกับตัวเองหรือเปล่า เรามีพรหมวิหารมีความเมตตาไหม เรารู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเราไหม วาจาของเรา เราก็รู้จักควบคุม ใจของเราก็รู้จักควบคุม จนกว่าจะสังเกตได้รู้ได้ ทำความเข้าใจได้นั่นแหละ จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว
อยู่คนเดียวก็หมั่นสังเกตเรา อยู่หลายคนแล้วก็หมั่นสังเกตเรา หมั่นพร่ำสอนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาได้พร่ำสอน อะไรผิด อะไรถูก เรารู้ไม่ทัน เราดับเราวาง แก้ไขอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทันมัน พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ผิดพลาดเราก็แก้ไขใหม่ ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ช่วยกัน ช่วยกันข้างนอกเราก็ช่วยกัน ข้างในเราก็วิเคราะห์จิตของเรา
ช่วงนี้ฝนฟ้ากำลังจะตก ก็คงจะเริ่มตกเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่าง อากาศก็เริ่มเย็น เข้ามาแล้วก็ทำใจของเราให้สบาย ทำกายของเราให้สบาย ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคนที่มีความสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่าไปอคติอ ย่าไปเพ่งโทษอย่าไปว่ากัน มันไม่ใช่หนทางที่จะดับทุกข์
หนทางที่จะดับทุกข์ได้ เราต้องแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง มีความเสียสละกับหมู่กับคณะ มีความอดทน ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วก็ยกตนข่มท่าน มีอคติ มีมลทิน ยิ่งฝึกเยอะเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะนะกิเลส ขณะที่ไม่ได้มาเจริญสติไม่ค่อยจะรู้เท่าไหร่ เพราะว่าพอมาเจริญสติ มาน้อมมาทำความเข้าใจ กิเลสมันก็ยิ่งผุดขึ้นมาให้เห็น ตัวละเอียดๆ ก็ยิ่งผุดขึ้นมาให้เห็น ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ
เมื่อจิตยอมรับความเป็นจริงแล้ว ก็ค่อยละออกไป ไม่ใช่ว่าฝึกแค่วันสองวันมันจะกร่อนออกไปเลยทีเดียว ไม่ใช่ เราก็ต้องขัดเกลาไปเรื่อยๆ มันเกิดไหร่เราก็รู้จักดับรู้จักละ เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เราก็ดับเดี๋ยวนี้ มันเกิดเมื่อไหร่เราก็ละ แล้วก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม มันเกิดความอยาก ความตระหนี่เหนี่ยวแน่น เราก็พยายามละความอยาก ความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาคด้วยการให้ให้ระดับของสมมติ แล้วก็ให้ระดับของวิมุตติ คือให้อภัยทานให้อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี แล้วก็รู้จักจุดทาน ทานความคิดทานอารมณ์
ถ้าเรายังแยกไม่ได้ ตามดูไม่ได้ เราก็คงจะเอาตรงนั้นออกไม่ได้ เราต้องหาจุด เราต้องให้รู้ ให้จิตของเราคลายออกจากความคิดให้ได้เสียก่อน กําลังสติของเราตามทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน จิตของเราจะเกิดความเบื่อหน่ายเองนั่นแหละ การเกิดก็เป็นทุกข์ การเข้าไปร่วม เข้าไปยินดีกับอารมณ์ต่างๆ เขาก็เป็นทุกข์ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ใหม่ๆ เราก็ต้องวางภาระหน้าที่ ทุกสิ่งทุกอย่าง หมั่นสังเกตน้อมเข้าไปดูรู้ในกายของเรา การเกิดของจิตนั้นเขาก็มีอยู่แล้ว จิตของเราเดี๋ยวเขาคิดไปเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง บางทีก็อาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตซึ่งเขามีมาตั้งนาน ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ จิตที่คิดปรุงแต่งส่งออกไปเรียกว่า ‘สมุทัย’ หรือว่าเข้าหลักของอริยสัจสี่ ทุกคนก็ฝีกใฝ่ ทุกคนก็สนใจ แต่กําลังสติมีน้อย เราต้องพยายามสร้างความระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าความระลึกพลั้งเผลอเราก็ระลึกขึ้นมาใหม่ ระลึกรู้ไม่ทัน เราก็รู้จักควบคุมจิตของเรา
จิตของทุกคนก็ฝักใฝ่ในบุญ หมั่นสนใจหมั่นฝักใฝ่ ปรารถนาที่จะดับทุกข์ ปรารถนาที่จะหลุดพ้น แต่ถ้าเป็นความอยากที่จะหลุดพ้น อยากที่จะรู้ธรรม อยากที่จะเห็น เป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิต หรือเกิดจากขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต ให้ดับให้ควบคุม จนกว่าเราจะคลายจิตออกจากความคิดของเราได้นั่นแหละ เขาก็จะมองเห็นทาง จิตก็จะโล่ง กายก็จะเบา ความรู้ตัวก็จะตามทำความเข้าใจอาการของความคิดได้เด่นชัด
ขณะเราทำความเข้าใจ เราต้องรู้ว่านิวรณธรรมต่างๆ มาครอบงำจิตของเราเอาไว้ไหม จิตของเราเกิดควากำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง กำหนัดในเรื่องของราคะขณะปัจจุบันนี้แหละ เราก็รู้จักดับ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี
ความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามสร้างขึ้นมา พลั้งเผลอเราก็สร้างขึ้นมาใหม่ เพียงแค่การสร้างความระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำไม่เกิดความเคยชิน แม้แต่ระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก ซึ่งเราก็หายใจมาตั้งแต่เกิด ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ผล อยากจะได้ตั้งแต่รับความสงบ อยากจะรู้ตั้งแต่ธรรม อยากจะเห็นตั้งแต่ธรรม แต่ไม่ได้สร้างผู้รู้ ไม่ได้สร้างระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่อง
ปัญญาของทุกคนนั่นมีเต็มเปี่ยม ปัญญาโลกีย์ ปัญญาในทางโลก ปัญญาในทางโลกถึงจะฝักใฝ่ในธรรม มันก็ยังเป็นธรรมโลกีย์อยู่ดีๆ จิตยังไม่ได้คลายออกจากสมมติ หรือว่าคลายออกจากขันธ์ห้า ทำอย่างไรเราถึงจะให้จิตของเราคลายออก เราต้องหมั่นสร้างความระลึกรู้ตัว แล้วก็รู้ให้ทันจิต รู้ให้ทันอาการของความคิดขณะเขาเริ่มก่อตัว
เขาก่อตัวอย่างไร ขณะเขาก่อตัว จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ถ้าเรารู้ทันตรงนั้นปุ๊บ จิตมันจะดีดตัวออกจากความคิด แล้วมันก็จะหงาย นั่นแหละสัมมาทิฐิเปิดทางทันที ความรู้ตัวก็จะตามทำความเข้าใจ ตามดูเห็นการเกิดการดับของความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘เห็นสภาวะธรรม’ รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ
เรื่องเก่าหายไปเรื่องใหม่เข้ามา บางทีจิตของเราก็เข้าไปผสมโรง ซึ่งเรียกว่า ‘ไปรวมเป็นตัวเดียวกัน’ เราต้องสังเกตจนเขาแยกออกจากกันให้ได้ ถ้าเขาแยกออกจากกันได้เมื่อไร เราก็จะมองเห็นอะไรชัดเจน รู้สมมติชัดเจน รู้วิมุตติชัดเจน รู้อัตตา รู้อนัตตา รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่มันเกิด
อย่าไปนึกไปคิดเอาเด็ดขาด การได้ศึกษาการได้เรียน การได้อ่านการได้ฟัง ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การน้อมเข้าไปทำความเข้าใจ ตรงนี้ต้องทำให้ต่อเนื่อง สติปัญญาของเราจะมีมากมายถึงขนาดไหน อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่ถูกต้องในระดับของหลักธรรมจริงๆ ในระดับของหลักธรรม เราต้องน้อมเข้าไปดูรู้เห็นตั้งแต่การเกิด การร่วม การแยกการคลาย การตามทำความเข้าใจให้เห็นตั้งแต่แรก แล้วก็ทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมะ สักแต่ว่าดูเป็นลักษณะอย่างไร สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ถ้าเรามีสติคอยสังเกต คอยวิเคราะห์ คอยตรวจตรา
ใหม่ๆ กําลังสติความระลึกรู้ของเรามันน้อย กำลังจิตกำลังของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดมันมาก มันถึงส่งออกไปข้างนอกถึงรู้ไม่ทัน รู้ทันก็เมื่อเขาเกิดไปได้ครึ่ง ได้ปลายเหตุ เราต้องรู้จักควบคุม ควบคุมกายอินทรีย์ขแงเรา ควบคุมวาจา แล้วก็ควบคุมใจ
รู้จักวิเคราะห์หาเหตุหาผล อดพูดแล้วก็อดคิด แล้วก็สังเกตดูความคิดว่าเขาเกิดอย่างไร ทุกเรื่องในชีวิต ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้พูด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ทำ ถ้าเราเข้าใจภายใน แยกแยะภายในแล้วยิ่งจะสนุก
จิตของเราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้างเราก็รู้ จิตของเราส่งออกไปภายนอก เราก็รู้สติมีความรู้ตัว รู้กายรู้จิตได้ทันกิเลส เป็นกุศลหรือว่าอกุศล มันก็จะรู้หมด กิเลสหยาบหรือว่ากิเลสละเอียดก็จะรู้หมด ขอให้เราสร้างผู้รู้ หรือว่าสร้างความระลึกรู้ให้ต่อเนื่องให้ได้ พยายามกันไม่ว่าอยู่ใน อริยาบถไหน
เวลาจะรับประทานอาหารก็เหมือนกัน รู้จักกะประมาณ รู้จักวิเคราะห์พิจารณา กายของเราหิว จิตของเราจะปรุงแต่งความอยากได้เร็วได้ไว เราก็ต้องพยายามดับ ความอยากมันก็เกิดที่ฐานของจิตนั่นแหละ ฐานของจิตมันอยู่ตรงไหน ก็อยู่ที่หัวใจของเรานั่นแหละ อยู่กลางใจของเรานั่นแหละ
ถ้ากําลังสติของเราไม่ชัดเจน เขาก็จะไม่เผยตัวออกมาให้เห็นเราเห็นชัด ถ้ากําลังสติของเราชัดเจน จิตก็จะเผยตัวออกมา จิตนี่ก็แปลก ถ้าเราไม่ได้ฝึกไม่ได้หัด ไม่ได้ขัดไม่ได้เกลาเขา เขาก็จะปิดบังอำพรางตัวเองเหมือนกัน เพราะว่าเขายังเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส เพราะว่าเขาอยู่กับอารมณ์ อยู่กับกิเลส อยู่กับขันธ์ห้ามาไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ เราจะไปจับเขาแยกแค่นาทีสองนาที มันเป็นไปไม่ได้
เราต้องหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ แล้วก็หมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีสัจจะกับตัวเองหรือเปล่า เรามีพรหมวิหารมีความเมตตาไหม เรารู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเราไหม วาจาของเรา เราก็รู้จักควบคุม ใจของเราก็รู้จักควบคุม จนกว่าจะสังเกตได้รู้ได้ ทำความเข้าใจได้นั่นแหละ จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว
อยู่คนเดียวก็หมั่นสังเกตเรา อยู่หลายคนแล้วก็หมั่นสังเกตเรา หมั่นพร่ำสอนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาได้พร่ำสอน อะไรผิด อะไรถูก เรารู้ไม่ทัน เราดับเราวาง แก้ไขอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทันมัน พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ผิดพลาดเราก็แก้ไขใหม่ ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ช่วยกัน ช่วยกันข้างนอกเราก็ช่วยกัน ข้างในเราก็วิเคราะห์จิตของเรา
ช่วงนี้ฝนฟ้ากำลังจะตก ก็คงจะเริ่มตกเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่าง อากาศก็เริ่มเย็น เข้ามาแล้วก็ทำใจของเราให้สบาย ทำกายของเราให้สบาย ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคนที่มีความสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่าไปอคติอ ย่าไปเพ่งโทษอย่าไปว่ากัน มันไม่ใช่หนทางที่จะดับทุกข์
หนทางที่จะดับทุกข์ได้ เราต้องแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง มีความเสียสละกับหมู่กับคณะ มีความอดทน ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วก็ยกตนข่มท่าน มีอคติ มีมลทิน ยิ่งฝึกเยอะเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะนะกิเลส ขณะที่ไม่ได้มาเจริญสติไม่ค่อยจะรู้เท่าไหร่ เพราะว่าพอมาเจริญสติ มาน้อมมาทำความเข้าใจ กิเลสมันก็ยิ่งผุดขึ้นมาให้เห็น ตัวละเอียดๆ ก็ยิ่งผุดขึ้นมาให้เห็น ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ
เมื่อจิตยอมรับความเป็นจริงแล้ว ก็ค่อยละออกไป ไม่ใช่ว่าฝึกแค่วันสองวันมันจะกร่อนออกไปเลยทีเดียว ไม่ใช่ เราก็ต้องขัดเกลาไปเรื่อยๆ มันเกิดไหร่เราก็รู้จักดับรู้จักละ เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เราก็ดับเดี๋ยวนี้ มันเกิดเมื่อไหร่เราก็ละ แล้วก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม มันเกิดความอยาก ความตระหนี่เหนี่ยวแน่น เราก็พยายามละความอยาก ความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาคด้วยการให้ให้ระดับของสมมติ แล้วก็ให้ระดับของวิมุตติ คือให้อภัยทานให้อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี แล้วก็รู้จักจุดทาน ทานความคิดทานอารมณ์
ถ้าเรายังแยกไม่ได้ ตามดูไม่ได้ เราก็คงจะเอาตรงนั้นออกไม่ได้ เราต้องหาจุด เราต้องให้รู้ ให้จิตของเราคลายออกจากความคิดให้ได้เสียก่อน กําลังสติของเราตามทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน จิตของเราจะเกิดความเบื่อหน่ายเองนั่นแหละ การเกิดก็เป็นทุกข์ การเข้าไปร่วม เข้าไปยินดีกับอารมณ์ต่างๆ เขาก็เป็นทุกข์ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา เพียงแค่เล่าให้ฟัง