หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 017

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 017
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 017
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามสบายไม่ต้องพนมมือ ทำกายของเราให้สบาย วางใจของเราให้สบาย ฟังไปด้วยแล้วก็น้อมสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว

การที่เราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ก็เพื่อที่จะหยุดความคิดดับความคิด ดับความกังวลต่างๆ ที่เกิดจากจิตของเรา สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกเราก็จะมีความรู้สึกที่เด่นชัด เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ พยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละให้ต่อเนื่องกันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ให้เป็นงานชิ้นแรก พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกของเรา หรือว่ารู้ความปกติของจิต

ถ้าเราไม่ฝึกตรงนี้เราก็จะไม่ได้เข้าใจในเรื่องนามธรรม ว่าเขาเกิดอย่างไร เขาไปอย่างไร จิตเกิดส่งไปข้างนอกได้อย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ถ้าเกียจคร้านไม่ได้สร้างความระลึกรู้ตัวตรงนี้ มันก็มีตั้งแต่ปัญญาเก่าปัญญาโลกีย์ มีตั้งแต่ปัญญาที่ส่งออกไปภายนอก แทนที่จะน้อมเข้าไปสำรวจดูอยู่ในกายของเรา

ไอ้เรื่องภายนอกวางเอาไว้เสียก่อน หมั่นสนใจ หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจ หมั่นตรวจตราดูตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นิวรณธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับจิตของเราเป็นอย่างไร จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงอยู่ขณะปัจจุบันหรือไม่ เราก็พยายามดู จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็ให้อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี

จิตของเราฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ ความระลึกรู้ตัวเผลอเราก็พยายามกระตุ้นขึ้นมาใหม่ จิตของเรามีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็พยายามใช้สมถะไปดับ อยู่กับลมหายใจ อยู่กับลมหายใจให้เกิดความเคยคิดชิน

ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะว่าจิตของคนเรานี้ชอบคิดชอบเที่ยวไปในที่ต่างๆ บางทีก็คิดถึงเรื่องอดีตบ้าง บางทีก็คิดถึงเรื่องอนาคตบ้าง สารพัดเรื่องที่เขาจะคิด เฉพาะจิตส่งออกไปภายนอกก็ยังไม่พอ บางทีก็มีขันธ์ห้า หรือว่าอาการของความคิด เขาก่อตัวเขาเกิดขึ้นมา จิตของเราก็เข้าไปรวม นี่แหละตรงนี้แหละโมหะ ซึ่งเรียกว่า ‘ไม่รอบรู้ในกองสังขาร’ ‘ไม่รอบรู้ในความคิด’ ‘ไม่รอบรู้อารมณ์’ จิตของเราก็เข้าไปร่วมจนเกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก

ตราบใดที่ยังแยกตรงนี้ไม่ได้ เราก็พยายามควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ของเราเอาไว้ หมั่นสังเกตบ่อยๆ จนกว่าจะรู้เวลาเขาก่อตัว เวลาเขาเกิด ความว่าง ลักษณะจิต ลักษะของความว่าง ลักษณะของความสงบ ความสงบที่ปราศจากการเกิด ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น

เราต้องทำความเข้าใจ เราเจริญความระลึกรู้ตัวเพื่อที่จะไปทำความเข้าใจกับจิต ทำความเข้าใจกับความคิด ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย ทวารทั้งหกหูตาจมูกลิ้นกาย เขาทำหน้าที่อย่างไร เราต้องศึกษาให้ละเอียด ตาก็ทำหน้าที่ดูก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟังก็ห้ามไม่ได้ เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว เราต้องสร้างผู้รู้เข้าไปสํารวจตรวจตราดู จิตของเราซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เขาเกิดอย่างไร

ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสพัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ จนมีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรควรละ อะไรควรเจริญ เราต้องแก้ไขปรับปรุงตัวเรา ทั้งภาระหน้าที่การงานสมมติต่างๆ เราก็ต้องทำให้ดี เพราะว่ากายของเรายังอาศัยอยู่กับสมมติอยู่ จิตของเราก็อาศัยกายอยู่ กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ กายของเรานี่ยังอาศัยปัจจัยสี่ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่ายอยู่ ยังอาศัยโลกอยู่ ยังมีหมู่มีคณะ มีพ่อมีแม่ มีพี่มีน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันอยู่

ท่านถึงบอกให้เจริญธรรม เจริญพรหมวิหาร สร้างตบะสร้างบารมี ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ หรือว่ามีตั้งแต่ความเกียจคร้าน ถ้าเราเกียจคร้านเราต้องพยายามละความเกียจคร้าน หมั่นขวนขวายความขยัน พอใจยินดีในสิ่งที่เรามี พอใจยินดีในสิ่งที่เราเป็น มีวิริยะมีความเพียร มีสัจจะกับตัวเอง มีความจริงใจต่อตัวเราเอง แล้วก็ขยันหมั่นเพียรลงไป

เราไม่เข้าใจแนวทาง เราถึงแสวงหาแนวทาง แนวทางนั้นมีอยู่แล้วพระพุทธพระองค์ท่านได้เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม พวกเราจะเดินตามหรือไม่ จิตของเรามีความโลภเราก็ละความโลภ จิตของเรามีความโกรธเราก็ละความโกรธ จิตของเรามีความอิจฉาริษยา เราก็เจริญพรหมวิหารเมตตาให้มากๆ

จิตเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามขัดเกลาเอาออกจากจิตจากใจของเราให้มันหมด จะเอาจะมีจะเป็น เราก็เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา ทำด้วยสติทำด้วยปัญญาทุกเรื่อง ไม่ให้ความอยาก ความทะเยอทะยานอยากเกิดขึ้นที่จิตของเราแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องไปเอาตัวใหญ่ เอาตัวเล็กๆ ความอยาก อยากคิดอยากมีอยากไป อยากเป็นอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากไปไม่อยากมา ทำอย่างไร เราถึงจะทำใจทำจิตของเราให้อยู่ในความเป็นกลาง

ใหม่ๆ จิตของเรานี้หลงกันทุกคนนั่นแหละ แล้วก็เกิด แล้วก็วิ่งไปนั่นวิ่งไปนี่ ในส่วนลึกๆ ก็คือหลงอัตตาหลงตัวตน แล้วก็ไปหลงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องหา น้อมเข้าไปสํารวจจนจิตของเราจะคลาย แยกรูปแยกนามได้ จิตก็คลายอัตตาตัวตนได้

ทีนี้เราก็มาชำระสะสางกิเลสออกจากจิตของเรา สภาวะจิตของทุกคนนั้นสะอาดบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้เท่านั้นเอง บุคคลผู้รู้จะหมั่นวิเคราะห์พิจารณาตัวเองตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ว่าการเกิดการดับเขาเป็นอย่างไร เขาไปอย่างไร เขามาอย่างไร ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างไร ความหมายของศีล ความปกติของกายของวาจา แล้วก็ปกติของจิต ระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ สมาธิก็ความสงบ สงบจากการเกิด สงบจากกิเลส สงบจากความยึดมั่นถือมั่น

อยู่ที่บ้านเราก็พยายามทำ ทำบ้านให้เป็นวัด ทำกายให้เป็นวัด เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา เราก็จะมีสติคอยตรวจสอบจิตของเราตลอดเวลา

แต่เวลานี้ทั้งจิตทั้งสติทั้งปัญญาวิ่งออกไปข้างนอกอย่างเดียว อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติเท่านั้นเอง ในหลักธรรมจริงๆ แล้ว เราต้องคลายจิตของเราออกให้รับรู้อยู่ภายใน ก็ต้องพยายามหมั่นขวนขวาย หมั่นสร้างให้มีให้เกิดขึ้น อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลาพลาดโอกาส ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง