หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 021

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 021
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 021
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทำความสงบ เจริญสติสร้างความระลึกรู้สำรวจกายของเรา ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราสำรวจกายแล้วหรือยัง สำรวจกายสำรวจจิต ทำความเข้าใจกับสมมติกับวิมุตติ ทำความเข้าใจกับความเป็นอยู่ของเรา เราจะทำอะไร เราจะไปอย่างไร สิ่งไหนที่จะเป็นประโยชน์ เรารู้จักน้อม รู้จักวิเคราะห์รู้จักพิจารณา หมั่นใคร่ครวญดูตลอดเวลาจนเป็นกิจวัตรประจำวัน ระลึกรู้ระลึกดู รู้จิตรู้กาย รู้การกระทำตัวเรา

สิ่งไหนที่จะเป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ ประโยชน์น้อยประโยชน์มาก ประโยชน์ส่วนตัวประโยชน์ส่วนรวม เราก็ต้องรู้จักวิเคราะห์รู้จักพิจารณา ความเสียสละของเรามีความมีเต็มที่หรือไม่ ไม่ใช่ว่าตื่นขึ้นมาแต่ละวันแต่ละวันให้ผ่านเลยไป ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ

ถ้ากําลังสติของเราเป็นมหาสติ แยกรูปแยกนามได้ ตามทำความเข้าใจได้ เราก็ทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นชําระสะสางกิเลส รู้จักทรงความว่าง จิตที่ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น มันก็มีไม่มาก ถ้าคนเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณาตัวเอง หมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ก็มีตั้งแต่กุศลกับอกุศล อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม คนมีปัญญาพอรู้แนวทางแล้วจะหมั่นวิเคราะห์พิจารณาตัวเอง ไม่เข้าข้างตัวเอง เอาความเป็นกลางเป็นที่ตั้ง เป็นเครื่องตัดสิน ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น

แต่ส่วนมากไม่ค่อยจากคลายจิตออกจากขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน เพราะว่าจิตของเรายังหลงอยู่ ขณะจิตยังหลงยังรวมยังร่วมอยู่ ก็ยังว่าตัวเองไม่หลงนะ ตราบใดที่ยังแยกไม่ได้ ถ้าแยกได้เมื่อไหร่ ตามทำความเข้าใจได้เมื่อไหร่นั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าจิตของเราก็เป็นหลงเข้าไปร่วมเข้าไปยึด

เรื่องจิตนี่เป็นของละเอียดอ่อน ตัวจิตนั่นแหละคือองค์ธรรม ความว่างนั่นแหละคือตัวจิต ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู เราก็ต้องพยายามฝึกฝนตนเอง แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา มีเรื่องเดียวคือเรื่องชำระจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ แล้วก็ทำความเข้าใจกับสมมติ

อยู่กับสมมติไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ ใช้สมมติให้ถูก ใช้สมมติให้เป็น มีให้เป็นทำให้เป็น ถ้าเรามีไม่เป็นก็เป็นทุกข์ ทำไม่เป็นก็เป็นทุกข์ มีเป็นทำเป็นก็จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่กับบุญตลอดเวลา ต้องรู้จักตัวบุญ จิตของเรานั่นแหละคือตัวบุญ จิตของเรามีความสุขมีความอิ่ม จิตไม่มีความเร่าร้อนนั่นแหละคือบุญ บุญเต็มบุญอิ่ม ถ้าจิตของเราจะเกิดเราก็รู้จักดับ

อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง ถ้าเราไม่ศึกษาค้นคว้าจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ ต้องเป็นคนขยันหมั่นวิเคราะห์ สร้างความระลึกรู้ตัว แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ให้รู้เท่าทัน รู้แล้วก็เห็น เห็นอาการลักษณะอาการของจิต ลักษณะอาการของความคิด ลักษณะอาการของกิเลส

จะมองด้วยตาเนื้อเรามองไม่เห็นหรอก เราต้องมองด้วยตาปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ความระลึกรู้ตัวไม่ต่อเนื่องเราก็สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง เรารู้ไม่ทันต้นเหตุของจิต เราก็ใช้สมถะเข้าไปควบคุมเข้าไปดับ อย่างเช่นอยู่กับลมหายใจ หรือว่าอยู่กับคําบริกรรม

การได้ยินได้อ่านได้ศึกษาได้ค้นคว้า ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การเริ่มลงมือ การชําระสะสาง การทำความเข้าใจ การละกิเลส ตรงนี้มีไม่ค่อยต่อเนื่อง มีกระปิดกระปอยเป็นบางครั้งบางคราว แต่ก็ต้องพยายาม อย่าพากันเกียจคร้านทั้งภายนอกทั้งภายใน

ข้างนอกเราก็พยายามทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั่นด้วย ถ้าคนเราเกียจคร้านไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข มีความเห็นแก่ตัว มีความตระหนี่เหนี่ยวแน่น ก็ยากที่จะเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นของจิตได้ เราต้องชําระสะสางความอยาก ความตระหนี่เหนียวแน่น ความอิจฉาริษยาออกจากจิตของเราให้มันหมด อย่าให้มีอย่าให้เกิดขึ้นได้เลย

ให้มองเห็นทุกสิ่งทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา ธรรมดาธรรมชาติภายนอกก็เป็นอยู่อย่างนี้ โลกธรรมแปดก็เป็นอยู่อย่างนี้ ธรรมชาติภายในเราก็หมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ถ้าเราชำระสะสางออกหมด จิตรู้ความเป็นจริง เขาก็ไม่เอาหรอกทุกข์

การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลสเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ถ้าเราแยกแยะทำความเข้าใจได้ เขารู้เห็นตามความเป็นจริงเขาก็ไม่เข้าไปยึด แต่เวลานี้ก็ยังเขาหลงอยู่ ยังเข้าไปร่วมอยู่

เราต้องหมั่นพร่ำสอนจิตของเราตลอดเวลา พร่ำสอนเฉยๆ ไม่ได้ เราต้องตามทำความเข้าใจให้จิตรู้ด้วยเห็นด้วย เขาถึงจะยอมวาง รู้เห็นรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้าว่าเป็นของไม่เที่ยง แต่ตาเนื้อเรามองเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน ตาปัญญาเราเห็นการเกิดการดับของสภาวะธรรม เห็นนามธรรมเกิดๆ ดับๆ อันนี้ส่วนรูปนะ อันนี้ส่วนนามนะ มันเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา เวลามันดับไปอนัตตาความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ

นั่นแหละพวกเราไปหลงไปยึด มันก็เลยเกิดอัตตาตัวตน อยากจะปล่อยอยากจะวาง แต่ไม่รู้จักจุดวาง ก็ต้องพยายามหมั่นสร้างกุศลกันนะ อย่างน้อยถึงเราปล่อยวางไม่ได้ ทำความเข้าใจในระดับขั้นสูงไม่ได้ เราก็ให้จิตของเราอยู่ในกองบุญกองกุศล หมั่นทำบุญหมั่นให้ทาน รู้จักควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ได้บ้างก็ยังดี ไม่ใช่ว่าปล่อยไปเลยตามเลยตามยถากรรม

วิบากกรรมภายใน ก็คืออาการของขันธ์ห้านั่นแหละมาปรุงแต่งจิตของเรา ทั้งจิตปรุงแต่งเข้าไปรวมเข้าไปยึด ถ้าเราอยากจะรู้จักกรรม เราก็ต้องพยายามเดินปัญญา สร้างความรู้ตัวให้มากๆ แล้วก็รู้จิต แล้วก็รู้ความคิดรู้อารมณ์ เราก็จะเห็นอาการของขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิตของเรา หมุนอยู่อย่างนั้นแหละ ทั้งจิตก็ไปรวมหมุนไปด้วยกัน

ท่านเปรียบเสมือนกับล้อเกวียน มันหมุนไม่มีวันหยุด ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่ เราก็เหมือนกับล้อเกวียนมันขาดออกจากกัน มันก็หมุนต่อไม่ได้ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจมันก็จะเข้าไปรวม สร้างล้อขึ้นมาใหม่ก็หมุนต่อ เราก็ต้องทำความเข้าใจแล้วก็ชำระสะสางกําจัดออกไปให้หมด

ตัวใหม่ วิบากกรรมใหม่ เราก็สร้างตั้งแต่กุศลกรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์ สูงขึ้นไปเราก็ไม่เข้าไปยึดเข้าไปยินดียินร้าย ก็เลยอยู่เหนือกรรม เหนือกรรมเหนือวิบากกรรม เหนือบุญเหนือบาปกรรม อยู่ในความบริสุทธิ์ มองเห็นหนทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด ก็ต้องพยายามหมั่นขวนขวายกัน ได้เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี

พระสงฆ์องคเจ้าของเราก็พยายามขยันหมั่นเพียร อย่าพากันเกียจคร้าน ถ้ากำลังกายหมดก็หมดสภาพ ขณะเรายังมีกำลังอยู่เราก็รีบทำเสีย สถานที่เราก็พอมีอำนวยให้ ความเป็นอยู่ก็ไม่ได้ลำบาก ทั้งพระทั้งชีนั่นแหละ พยายามขยันหมั่นเพียรช่วยกัน ภาระหน้าที่ข้างนอกมีอะไรเราก็ช่วยกัน

ก็ขอขอบคุณขอบใจทุกคนที่ได้ช่วยกัน ได้ช่วยกันทำ ทำภาระหน้าที่ความเป็นอยู่ภายนอก พวกเรานั่นแหละได้รับความสะดวกสบาย คนอื่นมาก็พลอยได้รับความสะดวกสบาย ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน เราพยายามหมั่นทำความสะอาด ถ้าเราไม่ฝึกฝนสิ่งพวกนี้แล้ว ก็ยากที่จะเข้าถึงข้างใน เราก็พยายามสร้างรั้วล้อมเรา

สมมติวิมุตติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ เรารู้จักหน้าที่ ทำหน้าที่ของเราให้ดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ถ้าทำลงไปแล้วทำให้จิตของเราเศร้าหมองเราก็ไม่ทำ อะไรทำลงไปแล้วเพื่อที่ทำให้จิตของเราประเทืองสติประเทืองปัญญาของเราให้สูงก็ให้รีบทำ เพื่อที่ยังประโยชน์ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างต่อ ทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง