หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 010
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 010
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบาย วางใจให้สบาย วางใจให้สบาย สร้างความรู้สึกรับรู้ของสัมผัสลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่อง
ฟังไปด้วยสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปเพ่งอย่าไปจ้องอย่าไปจดจ่อ เพียงแค่เราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้เป็นธรรมชาติ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อของร่างกาย กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด นี่แหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตัวตั้งตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
เราได้เจริญสติแล้วหรือยัง เราได้สำรวจเราแล้วหรือยัง สำรวจกายสำรวจจิต รู้ว่าจิตปกติ หรือว่าจิตฟุ้งซ่าน หรือว่าจิตเกิดความกังวลเรื่องอะไร เรารู้จักดับรู้จักควบคุมหรือไม่ เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง
ทุกคนมีปัญญา ทุกคนมีปัญญาในทางสมมติกันเต็มเปี่ยม แต่ปัญญาที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิต ไม่ใช่ว่าปัญญาที่เราไปนึกไปคิดไปปรุงไปแต่งเอา ต้องเกิดจากการเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันอาการของความคิด ว่าจิตส่งออกไปข้างนอก เขาก่อตัว ขณะเขาเริ่มก่อตัวเขาเริ่มก่อตัวอย่างไร อาการของความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้า เขาก่อตัวอย่างไร จิตกับความคิดตรงนี้เขาเข้าไปร่วมกันได้อย่างไร
กําลังสติของเรามีน้อย เราถึงรู้ไม่ทัน เรารู้เมื่อเขาคิด เมื่อเขารวมกันไปแล้วเราถึงรู้ว่าเราคิด แล้วก็ทำตามความคิด บางทีความคิดตรงนี้ก็อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ไม่ได้ถูกในระดับของหลักธรรม ในระดับของหลักธรรมแล้วต้องสังเกต รู้ว่าอาการของขันธ์ห้ากับจิตเคลื่อนเข้าไปรวมกัน รู้เท่าทันเขาก็จะแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ก็จะเห็น รู้เป็นสามส่วน ตัวรู้ที่เราสร้างขึ้นมาเรียกว่า ‘สติ’ ความว่างคือจิต อาการของความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เรียกว่า‘อาการของขันธ์ห้า’
นี่แหละ คนเราไปหลงเอาอาการของความคิดของอารมณ์ อาการของขันธ์ห้าทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายเลยหนักจิตก็เลยหนัก ถ้าเราแยกได้กายก็เบาจิตก็ว่าง สติของเราก็ตามทำความเข้าใจรู้สภาวธรรม รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอารมณ์ของตัวเราเอง จิตก็จะคลายความยึดมั่นถือมั่น เราก็ละกิเลสจากหยาบไปหาละเอียด เราพยายามมีความเพียรขยันหมั่นเพียร ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรให้ตัวเรา ยากที่จะเข้าใจ
จะไปอยู่ที่ไหนก็ช่าง จะไปประพฤติปฏิบัติธรรมที่ไหน ถ้าเราไม่รู้จักการเจริญสติเข้าไปสํารวจตรวจตราตรวจตัวเราก็เหมือนเดิม เราฝึกหัดปฏิบัติ จุดมุ่งหมายของการฝึกหัดปฏิบัติอยู่ที่ไหน เราฝึกเดินไปเพื่ออะไร เราก็ต้องดูรู้ เพื่อที่จะชําระสะสางกิเลส
อานิสงส์บุญบารมีของเรา ความเสียสละของเรามีหรือไม่ ความอดทนอดกลั้นของเรามีหรือไม่ เรามีความสัจจะ มีความจริงใจต่อตัวเองหรือเปล่า เรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา มองโลกในทางที่ดี คิดดี จิตของเรามีความอิจฉาริษยา เราก็รู้จักละรู้จักดับ รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา
จิตของเรามีความโกรธ เราก็รู้จักดับความโกรธ ให้อภัยทานอโหสิกรรม เป็นคนขยันหมั่นเพียร หมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต หมั่นพิจารณา สติความระลึกรู้เราพลั้งเผลอเราก็พยายามเริ่มขึ้นใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่
อย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง เพียงแค่ระลึกรู้ลมหายใจให้ต่อเนื่อง ซึ่งเราก็หายใจอยู่แล้วตั้งแต่เกิด เราขาดการวิเคราะห์พิจารณาน้อมเข้าไปดูรู้ภายใน ส่วนมากก็วิ่งออกไปภายนอก เราไม่ได้ทิ้งภายนอก เราทำความเข้าใจกับภายในของเราให้ได้เสียก่อน ทำความเข้าใจภายในแล้ว สติปัญญาก็จะล้นออกไปพิจารณาสมมติ
อะไรคือโลกธรรมแปด อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา ขณะนี้เราต้องพยายามเจริญสติให้มากๆ รู้ไม่ทันต้นเหตุของการเกิดความคิดเราก็ต้องดับ ใช้สมถะดับอยู่กับลมหายใจบ้าง อยู่กับคําบริกรรมบ้าง หรือว่าอยู่กับการเดินบ้าง จนกําลังความรู้ตัวของเรามีกําลังพอเพียงที่จะเข้าไปสังเกตรู้เท่าทันจิตได้ รู้เท่าทันความคิดได้นั่นแหละ จนแยกได้นั่นแหละ ถึงจะเข้าสู่วิปัสสนา ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง
รู้ด้วยเห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย เราก็จะมองเห็นทาง สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ เราต้องพยายามหัดสังเกตแยกตรงนี้ให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ความนึกความคิดที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้า อันนั้นเป็นปัญญาของโลกีย์
เราต้องพยายามดับ พยายามสังเกต ความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากความคิดนั้นมีอยู่เดิมอยู่แล้ว เรามาสร้างผู้รู้ตัวใหม่เข้าไปสังเกตดู สังเกตไม่ทัน เราก็รู้จักดับ พยายามเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน นอกจากกายของเราจะเพลีย เราพักผ่อนให้กาย
อยู่คนเดียวก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ถ้าเรารู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด รู้จักควบคุมจิต สังเกตดูความคิดได้ทันแล้วจะสนุก กิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกเราเราก็รู้เท่าทัน เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสหรือไม่ ถ้าเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นใหม่ เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา
เราต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกภายใน ภายนอกคือสมมติต่างๆ เรามาอยู่ร่วมกันก็มีความรักความสมัครสมานสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ค่อยพูดค่อยจา อย่าไปอคติอย่าไปเพ่งโทษ อย่าไปอิจฉาริษยากัน
เราก็ต้องพยายามหมั่นชําระสะสางกิเลสของเราอยู่ตลอดเวลา มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าคนเรารู้จักรับผิดชอบต่อตัวเรา แล้วก็รับผิดชอบต่อส่วนรวม มีความเสียสละ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถ้าคนเราเกียจคร้าน อยู่คนเดียวก็ไม่ถึงจุดหมายปลายทาง อยู่คนเดียวก็ทุกข์อ ยู่หลายคนก็ทุกข์
เราต้องฝึกหัดปฏิบัติให้ตรง ฝึกให้เดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ทั้งภายในทั้งภายนอก ภายนอกก็สมมติที่เราอยู่อาศัยนี่แหละ แม้แต่กายของเราก็ยังเป็นก้อนสมมติ เราก็ต้องทำความเข้าใจ โลกกับธรรมก็อยู่ร่วมกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน เราทำความเข้าใจทั้งสองอย่าง อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข
เพียงแค่การสร้างความระลึกรู้ตัว พวกเราก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรในการสร้าง เรียกว่า ‘สร้างสติ’ ให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ถ้าเราเกียจคร้านในการเจริญสติ ก็ยากที่จะเดินปัญญาตัวขั้นสูงได้
ทั้งที่ปัญญาทางสมมตินั้นก็มีอยู่แล้ว เราไม่ได้ทิ้ง เราอย่าเพิ่งเอาเก็บมาคิดมาโต้แย้ง เอามาคิด ความคิดเห็นของเราต่างๆ ซึ่งเรียกว่า ‘ทิฐิ’ เราก็พยายามดับ พยายามข่ม ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดบ้าง จนกว่าเราจะแยกได้ จิตของเราคลายได้นั่นแหละถึงจะโล่งโปร่ง
กิเลสมาาต่างๆ ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็โหมกําลังเข้ามาต่อสู้กับเราเหมือนกัน ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ ยิ่งเจริญสติไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ แล้วค่อยละ จะมีมากมีน้อย มีในสิ่งต่างๆ เราก็พยายามให้มีด้วยสติมีด้วยปัญญา ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข พยายามพากันไปพิจารณา แล้วก็ไปเจริญสติ ไปทำความเข้าใจกันเอา
สร้างความระลึกรู้สัมผัสลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ ทำใจของเราให้สบาย ทำกายของเราให้สบาย กระตุ้นความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูกให้เด่นชัด อย่าไปเพ่ง ถ้าเราไปเพ่งสมองก็ตึง เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับลมหายใจหน้าอกก็แน่น เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา แล้วพยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ขณะที่จะเปลี่ยนอิริยาบถ ทำอะไรก็ช่าง จะลุกจะก้าวจะเดิน เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่กับลมหายใจ รู้อยู่กับความปกติ
เวลาก้าวเดิน เราก็พยายามเปลี่ยนความรู้สึกที่ฝ่าเท้าของเรา ซ้ายหรือขวากระทบพื้นก็ให้มีความรู้สึกรับรู้ ถ้ากําลังสติของเรามีเพียงพอ เราก็รู้ความปกติของจิตไว้เป็นหลัก ตากระทบรูปจิตปกติ หูกระทบเสียงจิตปกติหรือไม่ เราก็ต้องพยายามดู ถ้าเราทำได้อย่างนี้ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาจนกระทั่งเราเข้านอน สักวันหนึ่งเราก็คงจะแยกรูปแยกนาม แยกจิตแยกความคิดได้
แต่เราอย่าทำด้วยความอยาก เราหมั่นสังเกตไปเรื่อยๆ รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันสักพักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ
ฟังไปด้วยสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปเพ่งอย่าไปจ้องอย่าไปจดจ่อ เพียงแค่เราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้เป็นธรรมชาติ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อของร่างกาย กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด นี่แหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตัวตั้งตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
เราได้เจริญสติแล้วหรือยัง เราได้สำรวจเราแล้วหรือยัง สำรวจกายสำรวจจิต รู้ว่าจิตปกติ หรือว่าจิตฟุ้งซ่าน หรือว่าจิตเกิดความกังวลเรื่องอะไร เรารู้จักดับรู้จักควบคุมหรือไม่ เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง
ทุกคนมีปัญญา ทุกคนมีปัญญาในทางสมมติกันเต็มเปี่ยม แต่ปัญญาที่จะเข้าไปทำความเข้าใจกับจิต ไม่ใช่ว่าปัญญาที่เราไปนึกไปคิดไปปรุงไปแต่งเอา ต้องเกิดจากการเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันอาการของความคิด ว่าจิตส่งออกไปข้างนอก เขาก่อตัว ขณะเขาเริ่มก่อตัวเขาเริ่มก่อตัวอย่างไร อาการของความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้า เขาก่อตัวอย่างไร จิตกับความคิดตรงนี้เขาเข้าไปร่วมกันได้อย่างไร
กําลังสติของเรามีน้อย เราถึงรู้ไม่ทัน เรารู้เมื่อเขาคิด เมื่อเขารวมกันไปแล้วเราถึงรู้ว่าเราคิด แล้วก็ทำตามความคิด บางทีความคิดตรงนี้ก็อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ไม่ได้ถูกในระดับของหลักธรรม ในระดับของหลักธรรมแล้วต้องสังเกต รู้ว่าอาการของขันธ์ห้ากับจิตเคลื่อนเข้าไปรวมกัน รู้เท่าทันเขาก็จะแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ก็จะเห็น รู้เป็นสามส่วน ตัวรู้ที่เราสร้างขึ้นมาเรียกว่า ‘สติ’ ความว่างคือจิต อาการของความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เรียกว่า‘อาการของขันธ์ห้า’
นี่แหละ คนเราไปหลงเอาอาการของความคิดของอารมณ์ อาการของขันธ์ห้าทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายเลยหนักจิตก็เลยหนัก ถ้าเราแยกได้กายก็เบาจิตก็ว่าง สติของเราก็ตามทำความเข้าใจรู้สภาวธรรม รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอารมณ์ของตัวเราเอง จิตก็จะคลายความยึดมั่นถือมั่น เราก็ละกิเลสจากหยาบไปหาละเอียด เราพยายามมีความเพียรขยันหมั่นเพียร ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรให้ตัวเรา ยากที่จะเข้าใจ
จะไปอยู่ที่ไหนก็ช่าง จะไปประพฤติปฏิบัติธรรมที่ไหน ถ้าเราไม่รู้จักการเจริญสติเข้าไปสํารวจตรวจตราตรวจตัวเราก็เหมือนเดิม เราฝึกหัดปฏิบัติ จุดมุ่งหมายของการฝึกหัดปฏิบัติอยู่ที่ไหน เราฝึกเดินไปเพื่ออะไร เราก็ต้องดูรู้ เพื่อที่จะชําระสะสางกิเลส
อานิสงส์บุญบารมีของเรา ความเสียสละของเรามีหรือไม่ ความอดทนอดกลั้นของเรามีหรือไม่ เรามีความสัจจะ มีความจริงใจต่อตัวเองหรือเปล่า เรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา มองโลกในทางที่ดี คิดดี จิตของเรามีความอิจฉาริษยา เราก็รู้จักละรู้จักดับ รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา
จิตของเรามีความโกรธ เราก็รู้จักดับความโกรธ ให้อภัยทานอโหสิกรรม เป็นคนขยันหมั่นเพียร หมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต หมั่นพิจารณา สติความระลึกรู้เราพลั้งเผลอเราก็พยายามเริ่มขึ้นใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่
อย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง เพียงแค่ระลึกรู้ลมหายใจให้ต่อเนื่อง ซึ่งเราก็หายใจอยู่แล้วตั้งแต่เกิด เราขาดการวิเคราะห์พิจารณาน้อมเข้าไปดูรู้ภายใน ส่วนมากก็วิ่งออกไปภายนอก เราไม่ได้ทิ้งภายนอก เราทำความเข้าใจกับภายในของเราให้ได้เสียก่อน ทำความเข้าใจภายในแล้ว สติปัญญาก็จะล้นออกไปพิจารณาสมมติ
อะไรคือโลกธรรมแปด อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา ขณะนี้เราต้องพยายามเจริญสติให้มากๆ รู้ไม่ทันต้นเหตุของการเกิดความคิดเราก็ต้องดับ ใช้สมถะดับอยู่กับลมหายใจบ้าง อยู่กับคําบริกรรมบ้าง หรือว่าอยู่กับการเดินบ้าง จนกําลังความรู้ตัวของเรามีกําลังพอเพียงที่จะเข้าไปสังเกตรู้เท่าทันจิตได้ รู้เท่าทันความคิดได้นั่นแหละ จนแยกได้นั่นแหละ ถึงจะเข้าสู่วิปัสสนา ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง
รู้ด้วยเห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย เราก็จะมองเห็นทาง สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ เราต้องพยายามหัดสังเกตแยกตรงนี้ให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ความนึกความคิดที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้า อันนั้นเป็นปัญญาของโลกีย์
เราต้องพยายามดับ พยายามสังเกต ความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากความคิดนั้นมีอยู่เดิมอยู่แล้ว เรามาสร้างผู้รู้ตัวใหม่เข้าไปสังเกตดู สังเกตไม่ทัน เราก็รู้จักดับ พยายามเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน นอกจากกายของเราจะเพลีย เราพักผ่อนให้กาย
อยู่คนเดียวก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ถ้าเรารู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด รู้จักควบคุมจิต สังเกตดูความคิดได้ทันแล้วจะสนุก กิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกเราเราก็รู้เท่าทัน เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสหรือไม่ ถ้าเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นใหม่ เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา
เราต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกภายใน ภายนอกคือสมมติต่างๆ เรามาอยู่ร่วมกันก็มีความรักความสมัครสมานสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ค่อยพูดค่อยจา อย่าไปอคติอย่าไปเพ่งโทษ อย่าไปอิจฉาริษยากัน
เราก็ต้องพยายามหมั่นชําระสะสางกิเลสของเราอยู่ตลอดเวลา มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าคนเรารู้จักรับผิดชอบต่อตัวเรา แล้วก็รับผิดชอบต่อส่วนรวม มีความเสียสละ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถ้าคนเราเกียจคร้าน อยู่คนเดียวก็ไม่ถึงจุดหมายปลายทาง อยู่คนเดียวก็ทุกข์อ ยู่หลายคนก็ทุกข์
เราต้องฝึกหัดปฏิบัติให้ตรง ฝึกให้เดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ทั้งภายในทั้งภายนอก ภายนอกก็สมมติที่เราอยู่อาศัยนี่แหละ แม้แต่กายของเราก็ยังเป็นก้อนสมมติ เราก็ต้องทำความเข้าใจ โลกกับธรรมก็อยู่ร่วมกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน เราทำความเข้าใจทั้งสองอย่าง อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข
เพียงแค่การสร้างความระลึกรู้ตัว พวกเราก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรในการสร้าง เรียกว่า ‘สร้างสติ’ ให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ถ้าเราเกียจคร้านในการเจริญสติ ก็ยากที่จะเดินปัญญาตัวขั้นสูงได้
ทั้งที่ปัญญาทางสมมตินั้นก็มีอยู่แล้ว เราไม่ได้ทิ้ง เราอย่าเพิ่งเอาเก็บมาคิดมาโต้แย้ง เอามาคิด ความคิดเห็นของเราต่างๆ ซึ่งเรียกว่า ‘ทิฐิ’ เราก็พยายามดับ พยายามข่ม ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดบ้าง จนกว่าเราจะแยกได้ จิตของเราคลายได้นั่นแหละถึงจะโล่งโปร่ง
กิเลสมาาต่างๆ ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็โหมกําลังเข้ามาต่อสู้กับเราเหมือนกัน ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ ยิ่งเจริญสติไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ แล้วค่อยละ จะมีมากมีน้อย มีในสิ่งต่างๆ เราก็พยายามให้มีด้วยสติมีด้วยปัญญา ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข พยายามพากันไปพิจารณา แล้วก็ไปเจริญสติ ไปทำความเข้าใจกันเอา
สร้างความระลึกรู้สัมผัสลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ ทำใจของเราให้สบาย ทำกายของเราให้สบาย กระตุ้นความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูกให้เด่นชัด อย่าไปเพ่ง ถ้าเราไปเพ่งสมองก็ตึง เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับลมหายใจหน้าอกก็แน่น เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา แล้วพยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ขณะที่จะเปลี่ยนอิริยาบถ ทำอะไรก็ช่าง จะลุกจะก้าวจะเดิน เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่กับลมหายใจ รู้อยู่กับความปกติ
เวลาก้าวเดิน เราก็พยายามเปลี่ยนความรู้สึกที่ฝ่าเท้าของเรา ซ้ายหรือขวากระทบพื้นก็ให้มีความรู้สึกรับรู้ ถ้ากําลังสติของเรามีเพียงพอ เราก็รู้ความปกติของจิตไว้เป็นหลัก ตากระทบรูปจิตปกติ หูกระทบเสียงจิตปกติหรือไม่ เราก็ต้องพยายามดู ถ้าเราทำได้อย่างนี้ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาจนกระทั่งเราเข้านอน สักวันหนึ่งเราก็คงจะแยกรูปแยกนาม แยกจิตแยกความคิดได้
แต่เราอย่าทำด้วยความอยาก เราหมั่นสังเกตไปเรื่อยๆ รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันสักพักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ