หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 005
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 005
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบาย ทำกายให้สบาย ทำใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว
ขณะที่เราหายใจเข้าไปยาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละให้เรารู้มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เราสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เปรียบเสมือนกับนายประตูทวาร รถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้ รถคันไหนวิ่งออกก็รู้ เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ไม่ต้องตามเข้าไปถึงในท้อง
ถ้าเราไปเพ่งสมองของเราก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับลมหายใจ หน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่เราสร้างความรู้สึกรับรู้ว่า ลมวิ่งเข้าก็รู้ ลมวิ่งออกก็รู้ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไป เราก็กระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาใหม่ จิตของเราคิดไปที่อื่น เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่ปลายจมูกของเรา จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกอยู่เหมือนเดิม จิตของเราคิดไปอีก เราก็พยายากระตุ้นความรู้ขึ้นมาใหม่ พยายามศึกษาตรงนี้ให้ละเอียด
ตามความเป็นจริงนั้น การหายใจเข้าออกพวกเราก็หายใจตั้งแต่เกิดนั่นแหละ แต่เราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ จิตของเราก็เกิดส่งออกไปภายนอกตลอดเวลา บางทีก็เรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง บางทีก็ขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจติดที่เข้ามาปรุงแต่งจิต นี่แหละจิตกับความคิดเข้าไปรวมกันทำให้เกิดอัตตาตัวตน ส่วนกายของเรานั้นก็เป็นอัตตาทางด้านรูปธรรม แต่เราขาดการสังเกต ขาดการแยกจิตออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมอีก อันนี้สำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนตนเองจริงๆ ถึงจะเข้าใจ
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัว การสร้างความรู้ตัวแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง พวกเรายังทำไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พวกเราก็ยังไม่เคยสังเกตเลยว่าจิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศล ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง เราก็ขาดการสังเกต เวลาตากระทบรูปเราก็ไม่ได้สังเกต ไม่ว่ารู้จิตของเราปกติไหม เกิดความยินดีไหมยินร้ายไหม เพราะว่าความเคยชินปัญญาเก่า ปัญญาเก่าๆ ที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้า คิดเราก็รู้ทำก็รู้ แต่มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่
แต่ทุกคนก็มีบุญ ไม่ใช่ว่าไม่มีบุญ มีบุญกันทุกคน มีบุญตั้งแต่ภพก่อนถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็อย่าปิดกั้นตัวเราเองว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมมาหมด ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ภพก่อนๆ ขณะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะปฏิบัติธรรมอีก
ทำไมถึงว่าได้ปฏิบัติธรรม เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เด็ก เกิดมาแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลง จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการผ่านเวลามามาก ผิดถูกชั่วดีก็รู้ แล้วก็รู้จักการทำบุญการให้ทาน มีความอดทนอดกลั้น มีพรหมวิหาร อันนี้เป็นการสร้างบารมีอยู่ในระดับของโลกีย์
แต่การเจริญสติการแยกรูปแยกนาม ตรงนี้แหละที่พวกเราไม่ค่อยจะทำกันให้ต่อเนื่องกัน ก็เลยไปปิดกั้นตัวว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ที่ไหนได้ก็ปฏิบัติอยู่ แต่ก็ยังหลง ในส่วนลึกๆ ก็ยังหลงอยู่ เราพยายามมาคลายความหลง หรือว่าคลายโมหะ
ถ้าเราสังเกตดูการเกิดการก่อตัวของความคิดของจิตเขาเข้าไปร่วมกันได้ จิตเขาก็จะแยกออกจากความคิด แยกออกจากอารมณ์ เราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง สัมมาทิฐิก็จะเปิดทางให้ความรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ว่าเราไปนึกไปคิดเอา การเกิดการดับของจิตเขาก็มีอยู่แล้ว นิวรณธรรมต่างๆ ที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา แต่ละวันๆ เราเคยสังเกตไหม เราเคยทำความเข้าใจหรือไม่
จิตของเราฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านเรื่องอะไร จิตของเราเกิดความกังวล เกิดความลังเล เกิดความสงสัย หรือว่าความระลึกรู้ตัว หรือว่าสติของเราพลั้งเผลอ พลั้งเผลอในลักษณะอย่างไร เขาขาดเขาอ่อนในลักษณะอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าฝึกโดยที่ไม่รู้ความหมาย การฝึกการเจริญสติเราต้องให้รู้ความหมายของการฝึก
การสร้างความระลึกรู้ตัว รู้ให้ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ การที่จะเข้าไปรู้จิต เข้าไปรู้ความคิด เข้าไปรู้อารมณ์ เรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุไม่ทัน เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม อยู่คนเดียวเราก็พยายามหมั่นสังเกต สังเกตดูกายดูจิต รู้กายรู้จิตๆ ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหก เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็ผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหก ส่วนวิญญาณ หรือว่าดวงจิตของเราเมื่อตาระทบรูปจิตเกิดหรือไม่ หูกระทบเสียงจิตเกิดหรือไม่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สักแต่ว่าดู’ ‘สักแต่ว่ารู้’ ‘สักแต่ว่าฟัง’
การเกิดของจิต จิตส่งออกไปข้างนอก เราก็น้อมเข้าหลักอริยสัจ สมุทัยสาเหตุแห่งทุกข์ จิตส่งไปข้างนอกเป็นอย่างนี้ เราดับเราควบคุมได้ระดับไหน ใช้สมถะเข้าไปดับ หรือว่าสังเกตวิเคราะห์ตามทำความเข้าใจให้จิตของเรายอมรับความเป็นจริง จิตของเราก็จะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น จะยกอะไรขึ้นมาพิจารณา ก็ให้จิตอยู่ในความสงบ อยู่ในความว่าง รับรู้อยู่
ขณะนี้เวลานี้ จิตของเรายังเกิดทั้งเกิดด้วยวิ่งด้วยทั้งหลงด้วยสารพัดอย่าง การที่จะฝึกหัดปฏิบัติจิต เราจะให้ได้ดั่งใจมันเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยฝึกไปเรื่อยๆ ครั้งนี้เวลานี้วันนี้ เรารู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักระงับรู้จักดับ จิตเกิดความโลภ เราก็รู้จักระงับรู้จักดับ จิตเกิดความโกรธ เราก็รู้จักระงับรู้จักดับ เราก็เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน
จิตของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา จิตของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ แล้วก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี แล้วก็หมั่นสร้างคุณงามความดี เพียงแค่คิดนั่นก็เป็นบุญแล้ว ถ้าเราคิดดี คิดดีทำดี มองโลกในทางที่ดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม
อยู่คนเดียวเราก็พยายามหมั่นฝึกฝนตนเอง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตที่สงบสงบ ความสงบนั่นแหละคือสมาธิ ความสงบนั่นแหละคือศีล สงบในระดับไหน ระดับกลางระดับลึก ระดับฐานเดิมของจิต หรือว่าสงบด้วยสติด้วยปัญญา คลายกิเลส ละความยึดมั่นถือมั่น เดินปัญญาละกิเลสเข้าสู่วิปัสสนา หน่วงเหนี่ยวเอาความว่างเป็นอารมณ์เป็นเครื่องอยู่ของจิต
เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเราตลอดเวลา อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา หมั่นพร่ำสอนตัวเองตลอดเวลา บุคคลเช่นนี้แหละจะเข้าถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ไม่ต้องไปรอเลือกกาลเวลานั่นเวลานี้ถึงจะทำ มีโอกาสก็ให้รีบทำรีบตักตวงเอาเลยทีเดียว หลวงพ่อก็จะพาทำบุญพาสร้างอานิสงส์ตลอด
เอาล่ะ วันนี้ก็จะ ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
ขณะที่เราหายใจเข้าไปยาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละให้เรารู้มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เราสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เปรียบเสมือนกับนายประตูทวาร รถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้ รถคันไหนวิ่งออกก็รู้ เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ไม่ต้องตามเข้าไปถึงในท้อง
ถ้าเราไปเพ่งสมองของเราก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับลมหายใจ หน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่เราสร้างความรู้สึกรับรู้ว่า ลมวิ่งเข้าก็รู้ ลมวิ่งออกก็รู้ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไป เราก็กระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาใหม่ จิตของเราคิดไปที่อื่น เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่ปลายจมูกของเรา จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกอยู่เหมือนเดิม จิตของเราคิดไปอีก เราก็พยายากระตุ้นความรู้ขึ้นมาใหม่ พยายามศึกษาตรงนี้ให้ละเอียด
ตามความเป็นจริงนั้น การหายใจเข้าออกพวกเราก็หายใจตั้งแต่เกิดนั่นแหละ แต่เราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ จิตของเราก็เกิดส่งออกไปภายนอกตลอดเวลา บางทีก็เรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง บางทีก็ขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจติดที่เข้ามาปรุงแต่งจิต นี่แหละจิตกับความคิดเข้าไปรวมกันทำให้เกิดอัตตาตัวตน ส่วนกายของเรานั้นก็เป็นอัตตาทางด้านรูปธรรม แต่เราขาดการสังเกต ขาดการแยกจิตออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมอีก อันนี้สำหรับบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนตนเองจริงๆ ถึงจะเข้าใจ
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัว การสร้างความรู้ตัวแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง พวกเรายังทำไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พวกเราก็ยังไม่เคยสังเกตเลยว่าจิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศล ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง เราก็ขาดการสังเกต เวลาตากระทบรูปเราก็ไม่ได้สังเกต ไม่ว่ารู้จิตของเราปกติไหม เกิดความยินดีไหมยินร้ายไหม เพราะว่าความเคยชินปัญญาเก่า ปัญญาเก่าๆ ที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้า คิดเราก็รู้ทำก็รู้ แต่มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่
แต่ทุกคนก็มีบุญ ไม่ใช่ว่าไม่มีบุญ มีบุญกันทุกคน มีบุญตั้งแต่ภพก่อนถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็อย่าปิดกั้นตัวเราเองว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมมาหมด ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ภพก่อนๆ ขณะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะปฏิบัติธรรมอีก
ทำไมถึงว่าได้ปฏิบัติธรรม เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เด็ก เกิดมาแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลง จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการผ่านเวลามามาก ผิดถูกชั่วดีก็รู้ แล้วก็รู้จักการทำบุญการให้ทาน มีความอดทนอดกลั้น มีพรหมวิหาร อันนี้เป็นการสร้างบารมีอยู่ในระดับของโลกีย์
แต่การเจริญสติการแยกรูปแยกนาม ตรงนี้แหละที่พวกเราไม่ค่อยจะทำกันให้ต่อเนื่องกัน ก็เลยไปปิดกั้นตัวว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ที่ไหนได้ก็ปฏิบัติอยู่ แต่ก็ยังหลง ในส่วนลึกๆ ก็ยังหลงอยู่ เราพยายามมาคลายความหลง หรือว่าคลายโมหะ
ถ้าเราสังเกตดูการเกิดการก่อตัวของความคิดของจิตเขาเข้าไปร่วมกันได้ จิตเขาก็จะแยกออกจากความคิด แยกออกจากอารมณ์ เราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง สัมมาทิฐิก็จะเปิดทางให้ความรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ว่าเราไปนึกไปคิดเอา การเกิดการดับของจิตเขาก็มีอยู่แล้ว นิวรณธรรมต่างๆ ที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา แต่ละวันๆ เราเคยสังเกตไหม เราเคยทำความเข้าใจหรือไม่
จิตของเราฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านเรื่องอะไร จิตของเราเกิดความกังวล เกิดความลังเล เกิดความสงสัย หรือว่าความระลึกรู้ตัว หรือว่าสติของเราพลั้งเผลอ พลั้งเผลอในลักษณะอย่างไร เขาขาดเขาอ่อนในลักษณะอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าฝึกโดยที่ไม่รู้ความหมาย การฝึกการเจริญสติเราต้องให้รู้ความหมายของการฝึก
การสร้างความระลึกรู้ตัว รู้ให้ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ การที่จะเข้าไปรู้จิต เข้าไปรู้ความคิด เข้าไปรู้อารมณ์ เรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุไม่ทัน เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม อยู่คนเดียวเราก็พยายามหมั่นสังเกต สังเกตดูกายดูจิต รู้กายรู้จิตๆ ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหก เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็ผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหก ส่วนวิญญาณ หรือว่าดวงจิตของเราเมื่อตาระทบรูปจิตเกิดหรือไม่ หูกระทบเสียงจิตเกิดหรือไม่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สักแต่ว่าดู’ ‘สักแต่ว่ารู้’ ‘สักแต่ว่าฟัง’
การเกิดของจิต จิตส่งออกไปข้างนอก เราก็น้อมเข้าหลักอริยสัจ สมุทัยสาเหตุแห่งทุกข์ จิตส่งไปข้างนอกเป็นอย่างนี้ เราดับเราควบคุมได้ระดับไหน ใช้สมถะเข้าไปดับ หรือว่าสังเกตวิเคราะห์ตามทำความเข้าใจให้จิตของเรายอมรับความเป็นจริง จิตของเราก็จะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น จะยกอะไรขึ้นมาพิจารณา ก็ให้จิตอยู่ในความสงบ อยู่ในความว่าง รับรู้อยู่
ขณะนี้เวลานี้ จิตของเรายังเกิดทั้งเกิดด้วยวิ่งด้วยทั้งหลงด้วยสารพัดอย่าง การที่จะฝึกหัดปฏิบัติจิต เราจะให้ได้ดั่งใจมันเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยฝึกไปเรื่อยๆ ครั้งนี้เวลานี้วันนี้ เรารู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักระงับรู้จักดับ จิตเกิดความโลภ เราก็รู้จักระงับรู้จักดับ จิตเกิดความโกรธ เราก็รู้จักระงับรู้จักดับ เราก็เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน
จิตของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา จิตของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ แล้วก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี แล้วก็หมั่นสร้างคุณงามความดี เพียงแค่คิดนั่นก็เป็นบุญแล้ว ถ้าเราคิดดี คิดดีทำดี มองโลกในทางที่ดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม
อยู่คนเดียวเราก็พยายามหมั่นฝึกฝนตนเอง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตที่สงบสงบ ความสงบนั่นแหละคือสมาธิ ความสงบนั่นแหละคือศีล สงบในระดับไหน ระดับกลางระดับลึก ระดับฐานเดิมของจิต หรือว่าสงบด้วยสติด้วยปัญญา คลายกิเลส ละความยึดมั่นถือมั่น เดินปัญญาละกิเลสเข้าสู่วิปัสสนา หน่วงเหนี่ยวเอาความว่างเป็นอารมณ์เป็นเครื่องอยู่ของจิต
เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเราตลอดเวลา อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา หมั่นพร่ำสอนตัวเองตลอดเวลา บุคคลเช่นนี้แหละจะเข้าถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ไม่ต้องไปรอเลือกกาลเวลานั่นเวลานี้ถึงจะทำ มีโอกาสก็ให้รีบทำรีบตักตวงเอาเลยทีเดียว หลวงพ่อก็จะพาทำบุญพาสร้างอานิสงส์ตลอด
เอาล่ะ วันนี้ก็จะ ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ