หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 002

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 002
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 002
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมปีใหม่ ขอให้ญาติโยมทุกคนจงทำความสงบ เจริญสติสร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกตัวเองในต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน หยุดดับความคิด ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้หมด

ทำกายให้สบาย ทำใจให้สบาย แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยวความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจกระทบเข้าก็รู้ ลมหายใจ ความรู้สึกรับรู้ลมวิ่งเข้าวิ่งออก เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอตื่นขึ้นมาปุ๊บ เราก็กระตุ้นสร้างความรู้สึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก รู้ความปกติของจิต รู้ความปกติของกาย จิตจะเกิดส่งไปภายนอก เราก็รู้เท่าทัน รู้จักดับรู้จักควบคุม ลึกลงไปเราก็รู้จักสังเกต แยกจิตแยกขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ส่วนกายของเรานี้เป็นส่วนรูปธรรม

เราต้องพยายามทำความเข้าใจศึกษาชีวิตของตัวเราเอง อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนก็มีบุญทุกคนก็มีวาสนา ได้ฝึกหัดปฏิบัติกันมาก่อน มาตั้งแต่ภพก่อนๆ ถ้าไม่มีบุญ ไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติกันมาไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็ยากแสนยาก ในเมื่อเราเกิดขึ้นมาแล้วก็มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จากเด็กเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เติบโตขึ้นมาได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน รู้จักรับผิดชอบตัวเอง

อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ แต่เราอาจจะประพฤติปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติของโลกีย์ รู้จักรับผิดชอบ รู้จักหน้า ที่มีพรหมวิหาร มีความเมตตา รู้จักละความตระหนี่เหนียวแน่น รู้จักการบริจาค รู้จักการให้ทาน ส่วนมากจะอยู่ในระดับนี้ก็เลยว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ

ตามความเป็นจริง เราก็ปฏิบัติอยู่ แต่ในส่วนลึกเรายังหลงอยู่ หลงความคิดหลงอารมณ์ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เราต้องน้อมกายของเราเข้ามาศึกษาจริงๆ เราจึงจะรู้ตรงนี้ ว่าการเกิดของจิต ลักษณะอาการของจิตเขาเกิดอย่างไร อาการของขันธ์ห้าเขาผุดขึ้นมา จิตของเราไปรวมไปหลงจนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร

ตรงนี้แหละที่พวกเราไม่ได้เข้ามาฝึกเข้ามาศึกษากัน ก็เลยว่าตัวเราไม่ได้ปฏิบัติ ตามความเป็นจริงนั้นทุกคนก็ปฏิบัติกันอยู่ระดับหนึ่ง ถูกต้องอยู่ตามระดับของสมมติ รู้จักบุญรู้จักบาป รู้จักคุณรู้จักโทษ รู้จักหน้าที่รู้จักรับผิดชอบ เราอย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง เราพยายามหมั่นสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นตลอดเวลา

สิ่งไหนที่จะเป็นประโยชน์ เราก็พยายามทำ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ต่อส่วนรวม ประโยชน์ในปัจจุบัน เราพยายามทำให้ดี อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ถ้าเราเข้าใจในเรื่องจิต ในเรื่องรูปเรื่องนาม เรื่องดำเนินชีวิต เราก็จะมีความสงบมีความสุข อยู่กับการกับงาน เอาการงานของเราเป็นการปฏิบัติธรรม ทำงานไปด้วยรู้จิตไปด้วย

สิ่งไหนที่เป็นประโยชน์เราก็ทำ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็พยายามละ ลึกๆ ลงไป เราก็สำรวมกายอินทรีย์ของเราตลอดเวลา รู้จักจำแนกแจกแจงแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากจิตของเรา รูปรสกลิ่นเสียงซึ่งผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหกหูตาจมูกลิ้นกายของเรา ตาของเราทำหน้าที่ดู หูของเราก็ทำหน้าที่ฟัง เราก็พยายามทำความเข้าใจกับเขาเสีย เราจะไปห้ามเขาไม่ได้หรอก ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ

พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา คําว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร คําว่าอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร สอนเรื่องความทุกข์ ความทุกข์เกิดขึ้นที่กาย หรือเกิดขึ้นที่จิต จิตกับกายเขาก็อยู่ร่วมกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน เรามาทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย เราก็จะอยู่กับโลกอย่างมีความสุข ไม่ต้องไปหลบหลีกลี้หนีไปไหนหรอก อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่จิตของเรานี่แหละ

ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อยู่ที่ไหนเราก็ได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เราตลอดเวลา เราต้องมันพร่ำสอนตัวเราเองตลอดเวลา บุคคลผู้มีบุญบุคคลผู้มีกุศล มีสติมีปัญญาฟังนิดเดียวรู้แนวทางแล้วก็ไปทำความเข้าใจ

การสร้างสติ การเจริญสติระลึกรู้ตัวเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์เป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้ การดับการละเป็นอย่างนี้ จิตของเรามีความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการบริจาคด้วยการให้ ละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา จิตของเรามีความโกรธ เราก็พยายามควบคุมความโกรธ แล้วก็รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี จิตของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักดับ เราต้องเจริญสติไปหาเหตุหาผล

ทุกคนก็มีสติมีปัญญากันเต็มเปี่ยม แต่เป็นสติปัญญาระดับโลกียะของสมมุติเท่านั้นเอง ทำอย่างไรสติปัญญาในด้านของหลักธรรม เราต้องสร้างขึ้นมา ความระลึกรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง เราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง เราก็รู้จักรักษา เราก็รู้จักเอาไปใช้

จิตของคนเรานี่ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็จะวิ่งอยู่นั้น เขาก็เกิดอยู่นั้น บางที ไม่ว่า 5 นาที 10 นาที เขาไปสักกี่เรื่องก็ไม่รู้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าขึ้นมา เขาไปสักกี่เรื่องเราก็ขาดการสังเกต เรื่องอะไรที่เขาเกิดขึ้นมาบ้าง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราก็ขาดการพิจารณา ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง เราก็ขาดการพิจารณา เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้จิตเกิด หรือว่าเกิดจากข้างในโดยตรง นี่แหละเราขาดการวิเคราะห์ เราก็เลยไม่รู้ความจริง

เราอาจจะทำด้วยปัญญาในระดับของโลกีย์ อาจจะถูกต้องในระดับของสมมติเท่านั้นเอง เราก็ต้องพยายามหมั่นศึกษาหมั่นค้นคว้า อยู่คนเดียวเราก็พยายามวิเคราะห์เรา แก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี มันก็จะค่อยล้นออกไปภายนอก อย่าไปรีบเร่งๆ ทำไปเรื่อยๆ

ขอให้เราทำให้ถูกต้อง ขอให้เราแยกรูปแยกนามได้ เราถึงจะรู้ว่าเราไม่มีสติที่เข้าจะไปรู้สติของเราได้เลย กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เราจะเริ่มฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็เริ่มเล่นงานเราทันที เราก็ต้องพยายามสร้างตบะสร้างบารมี ศรัทธาของทุกคนก็มีเต็มเปี่ยม ศรัทธาเต็มเปี่ยม ความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น

ใหม่ๆ เราไม่เข้าใจ เราก็ต้องแสวงหาสถานที่ แสวงหาครูบาอาจารย์ ถ้าเราเข้าใจแล้ว อยู่ที่ไหนเราได้ทั้งนั้น อยู่กลางห้องน้ำกลางตลาด อยู่ที่ทำการทำงาน เราก็ดูรู้จิตของเราได้ตลอดเวลาว่าจิตของเราเป็นกลางไหม สงบไหม สะอาดไหม บริสุทธิ์ไหม จิตของเราได้พักผ่อนหรือไม่ เราก็จะได้ดูรู้จิตของเราได้ตลอดเวลา

บุคคลเช่นนี้แหละจะเป็นบุคคลที่ไม่เสียเที่ยวในการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนว่าอย่าพากันประมาท พยายามพากันสร้าง ทุกคนก็พยายาม จิตของทุกคนนั้นสะอาดบริสุทธิ์กันหมดทุกคน ความไม่รู้อวิชชาความหลงเท่านั้นเองมาครอบงำเอาไว้ เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน เราไม่เข้าใจวันนี้เราต้องเข้าใจในวันพรุ่งนี้ ตราบใดที่เราสนใจ เราไม่เข้าใจวันพรุ่งนี้เราพยายามขยันหมั่นเพียรไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะเข้าใจ

เราไม่หลุดพ้นวันนี้ก็ต้องหลุดพ้นในวันหน้า ถ้าเราไม่หลุดพ้นในวันหน้าก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าจะเป็นอุปนิสัยติดตามตัวเราไปตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมให้ทุกคนต้องมีแต่ความสงบความสุขกันไปตลอด ขอเจริญธรรม พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง